ทำเนียบรัฐบาล--25 ม.ค.--รอยเตอร์
คณะรัฐมนตรีพิจารณาการแปรสัญญาร่วมการงานในกิจการโทรคมนาคม ตามที่คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) เสนอ แล้วมีมติ ดังนี้
1. ให้ความเห็นชอบมติคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการแปรสัญญาร่วมการงานในกิจการโทรคมนาคม ดังนี้
1.1 ให้มีการดำเนินการแปรสัญญาร่วมการงาน เพื่อนำไปสู่การเปิดการแข่งขันเสรี
1.2 เห็นด้วยกับหลักการ วิธีการ ขบวนการ และขั้นตอนการแปรสัญญาตามรายงานฉบับสมบูรณ์ การประมวลผลการแปรสัญญาร่วมการงานในกิจการโทรคมนาคม ตามที่ TDRI เสนอ ในกรณีที่มีการแปรสัญญา การคำนวณมูลค่าเงินชดเชยระหว่างผู้ให้สัมปทานและบริษัทเอกชนผู้เป็นคู่สัญญา ให้ประมาณการกระแสรายได้ไปจนสิ้นสุดอายุของแต่ละสัญญา เนื่องจากหลักการดังกล่าวมีความสอดคล้องกับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2541 คือ การแปรสัญญาร่วมการงานจะต้องไม่ทำให้รัฐและประชาชนต้องได้รับผลประโยชน์ตามเงื่อนไขตามสัญญาต่าง ๆ น้อยกว่าที่ระบุไว้ในสัญญา และบริษัทเอกชนซึ่งเป็นคู่สัญญาจะต้องไม่ได้รับผลประโยชน์ที่มากไปกว่า หรือน้อยไปกว่าในกรณีที่ไม่มีการแปรสัญญา โดยคณะกรรมการมีความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้
1) วิธีการชดเชย ให้ชดเชยผลประโยชน์ในรูปของเงินสด หรือตราสารหนี้ และในกรณีจำเป็นอาจชดเชยเป็นหุ้นได้ แต่ทั้งนี้ มูลค่าหุ้นจะต้องไม่เกินร้อยละ 5 ของทุนที่เรียกชำระแล้วของบริษัทเอกชนคู่สัญญา สำหรับระยะเวลาการชำระคืนอาจกำหนดให้มีระยะเวลาการชำระคืนเกิน 4 ปีได้ ขึ้นอยู่กับฐานะการเงินของบริษัทฯ แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกินอายุสัญญาที่เหลืออยู่ โดยบริษัทฯ ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับหน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้ให้สัมปทานด้วย
2) การคำนวณค่าชดเชยจะต้องคำนวณกระแสรายได้ไปจนสิ้นสุดอายุแต่ละสัญญา ในกรณีที่มีการลดอัตราค่าบริการก่อนการแข่งขันจะมีผลจากการเปิดเสรีโทรคมนาคมในปี พ.ศ.2549 ถ้าเป็นสัญญาบริการโทรศัพท์พื้นฐาน 2 สัญญา การลดค่าบริการดังกล่าวจะต้องนำไปคำนวณในกระแสรายได้ตามเงื่อนไขของแต่ละสัญญา ที่รัฐต้องชดเชยกลับให้แก่คู่สัญญาอยู่แล้ว แต่ในกรณีอื่น ๆ สัญญามิได้ปิดกั้นการแข่งขันและการลดราคา โดยปกติแล้ว การแข่งขันดังกล่าวจะทำให้ราคาลดลงเอง แต่ถ้ารัฐเห็นว่ากว่าที่จะมีคู่แข่งขันรายใหม่เข้ามาในตลาด ก็อาจจะกำหนดให้คู่สัญญาลดราคาได้ โดยคำนวณค่าบริการที่ลดราคาลง ให้เป็นส่วนหนึ่งของค่าชดเชยในการแปรสัญญาได้จนถึงปี พ.ศ.2549 ทั้งนี้ การคำนวณค่าชดเชยจะต้องคำนึงถึงการเพิ่มขึ้นของการใช้บริการจากการที่ราคาค่าบริการลดลงด้วย หลังจากระยะเวลาดังกล่าว ราคาที่ลดลงจะเกิดจากกระแสการแข่งขันเอง รัฐจึงไม่จำเป็นจะต้องชดเชยอีกต่อไป
1.3 เห็นสมควรให้คณะรัฐมนตรีมีมติให้นำสัญญาร่วมการงานด้านกิจการโทรคมนาคมทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการกำกับการแปรสัญญาที่จะกำหนด โดยให้คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับการแปรสัญญาร่วมการงานด้านกิจการโทรคมนาคม (กปส.) ซึ่งจะมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ และให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 9 เดือน และเมื่อสิ้นสุดกระบวนการดังกล่าว จะไม่มีการแปรสัญญาอีก 5 ปี ถัดไป
2. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทั้งหมดของคณะอนุกรรมการกำกับการแปรสัญญาร่วมการงานในกิจการโทรคมนาคม (กปส.) รวมทั้งค่าจ้างที่ปรึกษา ให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) และการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) เป็นผู้รับภาระตามสัดส่วนของจำนวนสัญญาที่จะต้องพิจารณาดำเนินการแปรสัญญา
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 25 มกราคม 2543--
คณะรัฐมนตรีพิจารณาการแปรสัญญาร่วมการงานในกิจการโทรคมนาคม ตามที่คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ (กนร.) เสนอ แล้วมีมติ ดังนี้
1. ให้ความเห็นชอบมติคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการแปรสัญญาร่วมการงานในกิจการโทรคมนาคม ดังนี้
1.1 ให้มีการดำเนินการแปรสัญญาร่วมการงาน เพื่อนำไปสู่การเปิดการแข่งขันเสรี
1.2 เห็นด้วยกับหลักการ วิธีการ ขบวนการ และขั้นตอนการแปรสัญญาตามรายงานฉบับสมบูรณ์ การประมวลผลการแปรสัญญาร่วมการงานในกิจการโทรคมนาคม ตามที่ TDRI เสนอ ในกรณีที่มีการแปรสัญญา การคำนวณมูลค่าเงินชดเชยระหว่างผู้ให้สัมปทานและบริษัทเอกชนผู้เป็นคู่สัญญา ให้ประมาณการกระแสรายได้ไปจนสิ้นสุดอายุของแต่ละสัญญา เนื่องจากหลักการดังกล่าวมีความสอดคล้องกับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2541 คือ การแปรสัญญาร่วมการงานจะต้องไม่ทำให้รัฐและประชาชนต้องได้รับผลประโยชน์ตามเงื่อนไขตามสัญญาต่าง ๆ น้อยกว่าที่ระบุไว้ในสัญญา และบริษัทเอกชนซึ่งเป็นคู่สัญญาจะต้องไม่ได้รับผลประโยชน์ที่มากไปกว่า หรือน้อยไปกว่าในกรณีที่ไม่มีการแปรสัญญา โดยคณะกรรมการมีความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้
1) วิธีการชดเชย ให้ชดเชยผลประโยชน์ในรูปของเงินสด หรือตราสารหนี้ และในกรณีจำเป็นอาจชดเชยเป็นหุ้นได้ แต่ทั้งนี้ มูลค่าหุ้นจะต้องไม่เกินร้อยละ 5 ของทุนที่เรียกชำระแล้วของบริษัทเอกชนคู่สัญญา สำหรับระยะเวลาการชำระคืนอาจกำหนดให้มีระยะเวลาการชำระคืนเกิน 4 ปีได้ ขึ้นอยู่กับฐานะการเงินของบริษัทฯ แต่ทั้งนี้ ต้องไม่เกินอายุสัญญาที่เหลืออยู่ โดยบริษัทฯ ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับหน่วยงานของรัฐที่เป็นผู้ให้สัมปทานด้วย
2) การคำนวณค่าชดเชยจะต้องคำนวณกระแสรายได้ไปจนสิ้นสุดอายุแต่ละสัญญา ในกรณีที่มีการลดอัตราค่าบริการก่อนการแข่งขันจะมีผลจากการเปิดเสรีโทรคมนาคมในปี พ.ศ.2549 ถ้าเป็นสัญญาบริการโทรศัพท์พื้นฐาน 2 สัญญา การลดค่าบริการดังกล่าวจะต้องนำไปคำนวณในกระแสรายได้ตามเงื่อนไขของแต่ละสัญญา ที่รัฐต้องชดเชยกลับให้แก่คู่สัญญาอยู่แล้ว แต่ในกรณีอื่น ๆ สัญญามิได้ปิดกั้นการแข่งขันและการลดราคา โดยปกติแล้ว การแข่งขันดังกล่าวจะทำให้ราคาลดลงเอง แต่ถ้ารัฐเห็นว่ากว่าที่จะมีคู่แข่งขันรายใหม่เข้ามาในตลาด ก็อาจจะกำหนดให้คู่สัญญาลดราคาได้ โดยคำนวณค่าบริการที่ลดราคาลง ให้เป็นส่วนหนึ่งของค่าชดเชยในการแปรสัญญาได้จนถึงปี พ.ศ.2549 ทั้งนี้ การคำนวณค่าชดเชยจะต้องคำนึงถึงการเพิ่มขึ้นของการใช้บริการจากการที่ราคาค่าบริการลดลงด้วย หลังจากระยะเวลาดังกล่าว ราคาที่ลดลงจะเกิดจากกระแสการแข่งขันเอง รัฐจึงไม่จำเป็นจะต้องชดเชยอีกต่อไป
1.3 เห็นสมควรให้คณะรัฐมนตรีมีมติให้นำสัญญาร่วมการงานด้านกิจการโทรคมนาคมทั้งหมดเข้าสู่กระบวนการกำกับการแปรสัญญาที่จะกำหนด โดยให้คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับการแปรสัญญาร่วมการงานด้านกิจการโทรคมนาคม (กปส.) ซึ่งจะมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ และให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 9 เดือน และเมื่อสิ้นสุดกระบวนการดังกล่าว จะไม่มีการแปรสัญญาอีก 5 ปี ถัดไป
2. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทั้งหมดของคณะอนุกรรมการกำกับการแปรสัญญาร่วมการงานในกิจการโทรคมนาคม (กปส.) รวมทั้งค่าจ้างที่ปรึกษา ให้องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) และการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) เป็นผู้รับภาระตามสัดส่วนของจำนวนสัญญาที่จะต้องพิจารณาดำเนินการแปรสัญญา
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 25 มกราคม 2543--