ทำเนียบรัฐบาล--25 ม.ค.--รอยเตอร์
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานการแก้ไขการรั่วไหลในระบบการจัดเก็บภาษีศุลกากรตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 28 กันยายน 2542 ตามที่กระทรงการคลังเสนอ ดังนี้ กรณีกรมศุลกากร
1. กรณีเงินรั่วไหลในระบบการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งกรมศุลกากรได้ร่วมมือและประสานงานกับกรมสรรพากรในการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ในการตรวจสอบและติดตามการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ข้อมูลการนำเข้า-ส่งออกตามใบขนสินค้าแต่ละฉบับ สำเนาใบขนสินค้ามุมน้ำเงิน รายละเอียดผู้ส่งออกที่ขอชดเชยค่าภาษีและขอคืนอากรตามมาตรา 19 ทวิ เป็นจำนวนสูง ๆ การจัดระดับผู้นำเข้า-ส่งออก ฯลฯ รวมทั้งจัดทำทะเบียนผู้ส่งออกไว้ต่างหาก เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบติดตามและการบริหารความเสี่ยง และดำเนินการตามมาตรการอื่นที่สามารถปฏิบัติควบคู่ไปกับกรณีเงินรั่วไหลในระบบการจัดเก็บภาษีศุลกากร
2. กรณีเงินรั่วไหลในระบบการจัดเก็บภาษีศุลกากร กรมศุลกากรได้ดำเนินการแล้ว ดังนี้
2.1 กำหนดระบบและนโยบายภาษีที่ชัดเจนโปร่งใส โดยให้มีจำนวนอัตราอากรขาเข้าน้อยและต่ำ เพื่อลดแรงจูงใจจะกระทำผิด ลดอำนาจการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ เปิดให้มีการอุทธรณ์
2.2 ปรับปรุงขั้นตอนการทำงานให้โปร่งใส โดยรับงานขั้นตอนเดียว เจ้าหน้าที่ดำเนินการเอง ผู้มาติดต่อเข้าไปในระบบงานไม่ได้ และนำระบบคอมพิวเตอร์อัตโนมัติเข้ามาช่วยดำเนินการ
2.3 ดำเนินการปรับปรุงการบริหารการจัดการ โดยจัดแบ่งหน้าที่รับผิดชอบให้ชัดเจน การมอบอำนาจในการควบคุมและสั่งการลงสู่ระดับสำนัก ส่วน และด่านต่างๆ ถ่ายโอนงานให้ภาคเอกชนดำเนินการแทน ฝึกอบรมหรือจัดสัมมนาอย่างต่อเนื่อง โยกย้ายหมุนเวียนตามเกณฑ์ รณรงค์ให้บุคลากรมีจิตสำนึกและทัศนคติที่ดี และเสริมสร้างความเข้าใจนโยบายและวิสัยทัศน์ให้แก่เจ้าหน้าที่
2.4 กำหนดมาตรฐานการทำงาน โดยกำหนดเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ให้แต่ละสำนักและด่านศุลกากรสอดคล้องกับเป้าหมายของกระทรวงการคลัง กำหนดมาตรฐานเวลาการพิจารณาคืนภาษี เช่น การคืนอากรทั่วไปต้องแล้วเสร็จภายใน 30 วัน การคืนอากรให้ตัวแทนออกของระดับดีต้องแล้วเสร็จใน 15 วัน หรือ 1 วัน ถ้าเป็นของตัวแทนออกของระดับพิเศษ ผู้ส่งออกระดับพิเศษ หรือผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นผู้ประกอบการระดับบัตรทอง
2.5 การป้องกันการรั่วไหลในระบบการจัดเก็บ โดยใช้มาตรการสืบสวนปรามปรามการกระทำผิดด้วยเทคโนโลยีใหม่ ได้แก่ พัฒนาระบบ Intelligence ระบบ NIPS ทำการวิเคราะห์ตรวจสอบการกระทำผิดระบบ Post Audit ควรตรวจสอบการนำเข้าและการเสียภาษีภายหลังการตรวจปล่อย พัฒนาระบบงานให้ได้มาตรฐาน ISO 9002 กำหนดให้ตรวจสอบภายในเป็นประจำทุกปี
2.6 ปรับปรุงกรมศุลกากรทั้งระบบ ได้แก่ ด้านระเบียบพิธีการเพิ่มมาตรการส่งเสริมการส่งออก ปรับโครงสร้างองค์กร พัฒนาบุคลากร พัฒนาการป้องกันและปราบปราม
2.7 พัฒนาและโยกย้ายบุคลากรจากส่วนที่ใช้เทคโนโลยีใหม่
2.8 จัดจ้างผู้เชี่ยวชาญจัดทำโครงการและแผนการปรับปรุงศุลกากรทั้งระบบ ได้แก่ ด้านการปฏิบัติการ (Customs Operation) ด้านระบบข้อมูลเพื่อการบริหาร (MIS) ด้านพัฒนาองค์กร (Organization Development) ด้านพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)
กรณีกรมสรรพากร
1. การจัดทำทะเบียนผู้ส่งออกการพัฒนาระบบการจัดเก็บ และการจัดระบบการขอคืนภาษี กรมสารพพากรได้ดำเนินแล้ว ดังนี้
1) จัดทำทะเบียนผู้ส่งออกที่มียอดส่งออกในปีที่ผ่านมาไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของยอดขายทั้งสิ้น และได้กำหนดแนวทางปฏิบัติให้คืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ส่งออกที่มีรายชื่อในทะเบียนผู้ส่งออกทันที เมื่อกระบวนงานการบันทึกข้อมูลด้านระบบ Computer แล้วเสร็จ ยกเว้นผู้ประกอบการที่มีผลขาดทุนติดต่อกัน 3 ปี หรือมิได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีจะถูกชะลอไว้ก่อนจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเสร็จ จึงจะคืนภาษีให้และผู้ประกอบการที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนผู้ส่งออกนี้ หน่วยงานปฏิบัติจะต้องรับรองว่ามีตัวตนจริง ประกอบการจริงเท่านั้น และจะทำการสุ่มตรวจสอบความถูกต้อง
2) กรณีผู้ประกอบการอื่นที่อาจมีการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงินสด เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้องเข้าไปตรวจสอบสภาพข้อเท็จจริงและเอกสาร ณ สถานประกอบการ จึงจะคืนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการได้
สำหรับผู้ประกอบการขายสินค้า หรือให้บริการภายในประเทศ กรมสรรพากรจะเน้นความถูกต้องของการตรวจสอบก่อนจะคืนภาษีมูลค่าเพิ่มและมีนโยบายที่จะไม่คืนเป็นเงินสด
3) ให้หน่วยปฏิบัติจัดทำทะเบียนธุรกิจในระดับจังหวัด ระดับภาค เพื่อสร้างฐานข้อมูลใหม่อย่างเป็นระบบ
4) กรมสรรพากรได้สั่งให้มีการขยายฐานภาษีอย่างมีระบบและต่อเนื่อง โดยจะต้องมีการจัดทำโครงสร้างเพื่อากรขยายฐานภาษีให้หน่วยปฏิบัติให้มีความชัดเจนและสมบูรณ์ที่สามารถปฏิบัติการได้จริง
2. การพัฒนาระบบการตรวจสอบ กรมสรรพากรได้พัฒนาทะเบียนธุรกิจดังกล่าวข้างต้นไปแล้วบางส่วน และนำมาวิเคราะห์ความเสี่ยงของกิจการบางประเภท เพื่อควบคุมดูแลและประเมินความเสี่ยงของผู้ประกอบการที่มีโอกาสใช้ใบกำกับภาษีปลอม และนำเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการบริหารการจัดเก็บภาษีอากร
3. การประสานความร่วมมือกับกรมศุลกากรในการตรวจสอบการส่งออกสินค้า
4. การพัฒนาระบบตรวจสอบ กรณีการค้าชายแดน โดยการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาปัญหาการส่งออกชายแดน เพื่อควบคุมการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มและการเสียภาษีเงินได้ของผู้ส่งออกชายแดน
5. การกำหนดป้ายราคาสินค้าต้องระบุว่าต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 25 มกราคม 2543--
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานการแก้ไขการรั่วไหลในระบบการจัดเก็บภาษีศุลกากรตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 28 กันยายน 2542 ตามที่กระทรงการคลังเสนอ ดังนี้ กรณีกรมศุลกากร
1. กรณีเงินรั่วไหลในระบบการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งกรมศุลกากรได้ร่วมมือและประสานงานกับกรมสรรพากรในการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ในการตรวจสอบและติดตามการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ข้อมูลการนำเข้า-ส่งออกตามใบขนสินค้าแต่ละฉบับ สำเนาใบขนสินค้ามุมน้ำเงิน รายละเอียดผู้ส่งออกที่ขอชดเชยค่าภาษีและขอคืนอากรตามมาตรา 19 ทวิ เป็นจำนวนสูง ๆ การจัดระดับผู้นำเข้า-ส่งออก ฯลฯ รวมทั้งจัดทำทะเบียนผู้ส่งออกไว้ต่างหาก เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบติดตามและการบริหารความเสี่ยง และดำเนินการตามมาตรการอื่นที่สามารถปฏิบัติควบคู่ไปกับกรณีเงินรั่วไหลในระบบการจัดเก็บภาษีศุลกากร
2. กรณีเงินรั่วไหลในระบบการจัดเก็บภาษีศุลกากร กรมศุลกากรได้ดำเนินการแล้ว ดังนี้
2.1 กำหนดระบบและนโยบายภาษีที่ชัดเจนโปร่งใส โดยให้มีจำนวนอัตราอากรขาเข้าน้อยและต่ำ เพื่อลดแรงจูงใจจะกระทำผิด ลดอำนาจการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ เปิดให้มีการอุทธรณ์
2.2 ปรับปรุงขั้นตอนการทำงานให้โปร่งใส โดยรับงานขั้นตอนเดียว เจ้าหน้าที่ดำเนินการเอง ผู้มาติดต่อเข้าไปในระบบงานไม่ได้ และนำระบบคอมพิวเตอร์อัตโนมัติเข้ามาช่วยดำเนินการ
2.3 ดำเนินการปรับปรุงการบริหารการจัดการ โดยจัดแบ่งหน้าที่รับผิดชอบให้ชัดเจน การมอบอำนาจในการควบคุมและสั่งการลงสู่ระดับสำนัก ส่วน และด่านต่างๆ ถ่ายโอนงานให้ภาคเอกชนดำเนินการแทน ฝึกอบรมหรือจัดสัมมนาอย่างต่อเนื่อง โยกย้ายหมุนเวียนตามเกณฑ์ รณรงค์ให้บุคลากรมีจิตสำนึกและทัศนคติที่ดี และเสริมสร้างความเข้าใจนโยบายและวิสัยทัศน์ให้แก่เจ้าหน้าที่
2.4 กำหนดมาตรฐานการทำงาน โดยกำหนดเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ให้แต่ละสำนักและด่านศุลกากรสอดคล้องกับเป้าหมายของกระทรวงการคลัง กำหนดมาตรฐานเวลาการพิจารณาคืนภาษี เช่น การคืนอากรทั่วไปต้องแล้วเสร็จภายใน 30 วัน การคืนอากรให้ตัวแทนออกของระดับดีต้องแล้วเสร็จใน 15 วัน หรือ 1 วัน ถ้าเป็นของตัวแทนออกของระดับพิเศษ ผู้ส่งออกระดับพิเศษ หรือผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นผู้ประกอบการระดับบัตรทอง
2.5 การป้องกันการรั่วไหลในระบบการจัดเก็บ โดยใช้มาตรการสืบสวนปรามปรามการกระทำผิดด้วยเทคโนโลยีใหม่ ได้แก่ พัฒนาระบบ Intelligence ระบบ NIPS ทำการวิเคราะห์ตรวจสอบการกระทำผิดระบบ Post Audit ควรตรวจสอบการนำเข้าและการเสียภาษีภายหลังการตรวจปล่อย พัฒนาระบบงานให้ได้มาตรฐาน ISO 9002 กำหนดให้ตรวจสอบภายในเป็นประจำทุกปี
2.6 ปรับปรุงกรมศุลกากรทั้งระบบ ได้แก่ ด้านระเบียบพิธีการเพิ่มมาตรการส่งเสริมการส่งออก ปรับโครงสร้างองค์กร พัฒนาบุคลากร พัฒนาการป้องกันและปราบปราม
2.7 พัฒนาและโยกย้ายบุคลากรจากส่วนที่ใช้เทคโนโลยีใหม่
2.8 จัดจ้างผู้เชี่ยวชาญจัดทำโครงการและแผนการปรับปรุงศุลกากรทั้งระบบ ได้แก่ ด้านการปฏิบัติการ (Customs Operation) ด้านระบบข้อมูลเพื่อการบริหาร (MIS) ด้านพัฒนาองค์กร (Organization Development) ด้านพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT)
กรณีกรมสรรพากร
1. การจัดทำทะเบียนผู้ส่งออกการพัฒนาระบบการจัดเก็บ และการจัดระบบการขอคืนภาษี กรมสารพพากรได้ดำเนินแล้ว ดังนี้
1) จัดทำทะเบียนผู้ส่งออกที่มียอดส่งออกในปีที่ผ่านมาไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของยอดขายทั้งสิ้น และได้กำหนดแนวทางปฏิบัติให้คืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ส่งออกที่มีรายชื่อในทะเบียนผู้ส่งออกทันที เมื่อกระบวนงานการบันทึกข้อมูลด้านระบบ Computer แล้วเสร็จ ยกเว้นผู้ประกอบการที่มีผลขาดทุนติดต่อกัน 3 ปี หรือมิได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีจะถูกชะลอไว้ก่อนจนกว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเสร็จ จึงจะคืนภาษีให้และผู้ประกอบการที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนผู้ส่งออกนี้ หน่วยงานปฏิบัติจะต้องรับรองว่ามีตัวตนจริง ประกอบการจริงเท่านั้น และจะทำการสุ่มตรวจสอบความถูกต้อง
2) กรณีผู้ประกอบการอื่นที่อาจมีการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงินสด เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานจะต้องเข้าไปตรวจสอบสภาพข้อเท็จจริงและเอกสาร ณ สถานประกอบการ จึงจะคืนภาษีให้แก่ผู้ประกอบการได้
สำหรับผู้ประกอบการขายสินค้า หรือให้บริการภายในประเทศ กรมสรรพากรจะเน้นความถูกต้องของการตรวจสอบก่อนจะคืนภาษีมูลค่าเพิ่มและมีนโยบายที่จะไม่คืนเป็นเงินสด
3) ให้หน่วยปฏิบัติจัดทำทะเบียนธุรกิจในระดับจังหวัด ระดับภาค เพื่อสร้างฐานข้อมูลใหม่อย่างเป็นระบบ
4) กรมสรรพากรได้สั่งให้มีการขยายฐานภาษีอย่างมีระบบและต่อเนื่อง โดยจะต้องมีการจัดทำโครงสร้างเพื่อากรขยายฐานภาษีให้หน่วยปฏิบัติให้มีความชัดเจนและสมบูรณ์ที่สามารถปฏิบัติการได้จริง
2. การพัฒนาระบบการตรวจสอบ กรมสรรพากรได้พัฒนาทะเบียนธุรกิจดังกล่าวข้างต้นไปแล้วบางส่วน และนำมาวิเคราะห์ความเสี่ยงของกิจการบางประเภท เพื่อควบคุมดูแลและประเมินความเสี่ยงของผู้ประกอบการที่มีโอกาสใช้ใบกำกับภาษีปลอม และนำเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการบริหารการจัดเก็บภาษีอากร
3. การประสานความร่วมมือกับกรมศุลกากรในการตรวจสอบการส่งออกสินค้า
4. การพัฒนาระบบตรวจสอบ กรณีการค้าชายแดน โดยการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาปัญหาการส่งออกชายแดน เพื่อควบคุมการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มและการเสียภาษีเงินได้ของผู้ส่งออกชายแดน
5. การกำหนดป้ายราคาสินค้าต้องระบุว่าต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 25 มกราคม 2543--