ทำเนียบรัฐบาล--30 พ.ค.--นิวส์สแตนด์
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบ รายงานการก่อหนี้สาธารณะของประเทศไทยและการบริหารจัดการหนี้ในช่วงวิกฤต ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังมีสาระสำคัญดังนี้
1. หนี้ภาครัฐ โดยทั่วไป หนี้ภาครัฐจะแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้
1.1 หนี้ของรัฐบาล
หนี้ของรัฐบาลหมายถึงหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของส่วนราชการ เช่น กรมทางหลวง กรมชลประทาน เป็นต้น และรวมถึงการกู้เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ การเงิน และสังคม ในภาวะวิกฤต รวมทั้งการวางรากฐานการเติบโตของประเทศในอนาคต
หนี้ของรัฐบาลแบ่งได้เป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้จากแหล่งเงินกู้ต่างประเทศและหนี้ที่กู้จากแหล่งภายในประเทศ ซึ่ง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2540 หนี้ของรัฐบาลมีจำนวนเพียง 259,156 ล้านบาท แต่เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินทั้งจากแหล่งภายในและต่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ทำให้ยอดหนี้คงค้างที่รัฐบาลกู้โดยตรง เพิ่มขึ้นเป็น 983,235 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2543 หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 73.64 จากปี 2540
การเพิ่มขึ้นของยอดหนี้คงค้างที่รัฐบาลกู้โดยตรง เกิดจากการเพิ่มขึ้นของยอดหนี้ต่างประเทศ คงค้างจำนวน 119,631 ล้านบาท และยอดหนี้ในต่างประเทศคงคัาง 604,448 ล้านบาท โดยยอดหนี้ต่างประเทศคงค้างที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการเบิกจ่ายเงินกู้จากธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย และรัฐบาลญี่ปุ่นผ่านธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation : JBIC) เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และเพื่อใช้จ่ายตามมาตรการเพิ่มค่าใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปีงบประมาณ 2542 จำนวน 2,995 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 113,430 ล้านบาท นอกจากนั้นเป็นเงินกู้เพื่อเตรียมการปรับโครงสร้างและจัดการด้านเศรษฐกิจมหภาค โครงการลงทุนทางสังคม และเงินกู้โครงการของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ส่วนยอดหนี้ในประเทศคงค้างเพิ่มขึ้นจากการออกพันธบัตรเพื่อชดเชยความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จำนวน 500,000 ล้านบาท (ชำระคืนต้นเงินกู้แล้วเท่ากับ 958.5 ล้านบาท) ซึ่งการออกพันธบัตรดังกล่าวไม่ได้เป็นการก่อหนี้ใหม่แต่อย่างใด แต่เป็นการแปลงหนี้ระยะสั้นของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ มาเป็นหนี้ระยะยาวของรัฐบาล นอกจากนั้น การเพิ่มขึ้นของยอดหนี้คงค้างที่รัฐบาลกู้โดยตรงยังเกิดจากการเพิ่มขึ้นของยอดหนี้คงค้างของการออกพันธบัตรตามโครงการช่วยเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สอง รวม 48,613 ล้านบาท และยอดหนี้คงค้างของการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจำนวน 56,794 ล้านบาท
1.2 หนี้ของรัฐวิสาหกิจ
หนี้ของรัฐวิสาหกิจหมายถึงหนี้ที่รัฐวิสาหกิจกู้เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการพัฒนา เช่น การขยายกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าและน้ำประปา การขยายบริการโทรศัพท์ เป็นต้น รวมถึงเงินกู้เพื่อใช้ในการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจเอง หนี้ของรัฐวิสาหกิจประกอบด้วย หนี้ที่รัฐบาลค้ำประกันและไม่ค้ำประกัน การค้ำประกันของรัฐบาลมีผลให้รัฐวิสาหกิจสามารถกู้เงินได้ด้วยต้นทุนต่ำและมีเงื่อนไขที่ดีกว่า และหากเป็นเงินกู้จากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเชีย แล้ว รัฐบาลจำเป็นต้องให้การค้ำประกันแก่การกู้เงินของรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากเป็นข้อกำหนดของสถาบันการเงินเหล่านั้น
ยอดหนี้คงค้างของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังค้ำประกันเพิ่มขึ้นไม่มากนัก ต่างจากหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง กล่าวคือ เพิ่มขึ้นจาก 679,796 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2540 เป็น 897,557 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2543 ซึ่งมีการเพิ่มของหนี้ต่างประเทศ 109,660 ล้านบาท และหนี้ในประเทศ 108,101 ล้านบาท
นอกจากหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันแล้ว รัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินเฉพาะกิจยังมีหนี้ที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน ยอดหนี้ในประเทศคงค้างของรัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2543 เท่ากับ 233,615 ล้านบาท ในขณะที่ยอดหนี้ต่างประเทศคงค้างของรัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน เท่ากับ 403,809 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2542
1.3 หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ก่อตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินของประเทศ ภายหลังจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี พ.ศ.2539-2540 กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ต้องรับภาระในการช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาสภาพคล่องจนทำให้ภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้นมาก การให้ความช่วยเหลือของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ แก่สถาบันการเงิน โดยการกู้ยืมจากตลาดเงินระยะสั้น โดยเฉพาะตลาดซื้อคืนพันธบัตรเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความบิดเบือนในตลาดการเงิน รัฐบาลจึงออกพันธบัตรรัฐบาล จำนวน 500,000 ล้านบาท เพื่อแปลงหนี้สินระยะสั้นที่มีอยู่เดิมของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ มาเป็นหนี้ระยะยาวของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ยอดหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ที่เกิดขึ้น ยังไม่นับเป็นภาระของรัฐบาล จนกว่าความเสียหายสุทธิจะปรากฏชัดเจนแล้ว
ณ สิ้นปี 2540 กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ มียอดหนี้คงค้างเท่ากับ 893,111 ล้านบาท และลดลงเป็น 777,425 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2542 การเปลี่ยนแปลงในยอดหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ นอกจากจะเป็นผลจากการแปลงหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เป็นของรัฐบาลแล้ว ยังมีสาเหตุมาจากการที่สถาบันการเงินมีสภาพคล่องและมีเสถียรภาพมากขึ้น สถาบันการเงินสามารถชำระหนี้คืนได้บางส่วน นอกจากนั้น กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ยังมีรายรับจากการขายหุ้นธนาคารและผลตอบแทนอื่นด้วย
1.4 หนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย
หนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย แบ่งเป็น 1) หนี้ที่เกิดจากการออกธนบัตรหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ หนี้รัฐบาลซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปเงินฝากของกระทรวงการคลัง หนี้สถาบันการเงินและรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน และ 2) หนี้ต่างประเทศ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในยอดหนี้ของต่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทย เกิดขึ้นจากการเบิกจ่ายเงินกู้เพื่อรักษาระดับทุนสำรองระหว่างประเทศ ตามแผนการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินและวิชาการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยโดยไม่เป็นภาระต่องบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล
2. ประมาณการสถานะหนี้ของรัฐบาลที่เป็นภาระหนี้ต่องบประมาณรายจ่าย
หนี้และภาระผูกพันของรัฐบาลในปัจจุบันมียอดหนี้คงค้างประมาณร้อยละ 38.79 ต่อ GDP ซึ่งยังไม่ได้รวมถึงส่วนการชดใช้ความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ในอนาคต ในส่วนการประมาณภาระหนี้จะพิจารณาเฉพาะในส่วนของหนี้ซึ่งมีผลกระทบต่องบประมาณ ซึ่งตัวแปรที่สำคัญ คือ การชดเชยความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ซึ่งกระทรวงการคลังได้จัดทำประมาณการเบื้องต้น คาดว่ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะมีความเสียหายสุทธิที่รัฐบาลจะต้องชดเชยให้เพิ่มเติมอีกประมาณ 800,000 ล้านบาท ในระหว่างปีงบประมาณ 2543 - 2550 โดยจากเอกสารประกอบการสัมมนาความเห็น เรื่อง การรวมบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ทำการศึกษาและสรุปผลประมาณการสถานะหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง และภาระหนี้ในปีงบประมาณระหว่างปีงบประมาณ 2543-2550 แยกออกเป็น 2 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 : รัฐบาลไม่ชดเชยความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เพิ่มเติม
กรณีที่ 2 : รัฐบาลชดเชยความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เพิ่มเติมอีก 800,000 ล้านบาท โดยสมมุติให้รัฐบาลชดเชยความเสียหายระหว่างปีประมาณ 2544-2548 ปีละ 160,000 ล้านบาท ผลจากการศึกษาปรากฏตามตารางข้างล่างนี้
ตารางแสดงสัดส่วนยอดหนี้คงค้างที่รัฐบาลกู้โดยตรงต่อ GDP
หน่วย : ร้อยละของ GDP
ปีงบประมาณ 2543 2544 2545 2546 2547 2548 2549 2550
กรณีที่ 1 22.8 23.7 22.3 20.6 18.4 16.6 15.1 13.8
กรณีที่ 2 22.8 26.7 28.2 29.0 28.8 28.3 25.9 23.7
ตารางแสดงสัดส่วนภาระหนี้ต่อประมาณการรายจ่าย
หน่วย : ร้อยละของงบประมาณการรายจ่าย
ปีงบประมาณ 2543 2544 2545 2546 2547 2548 2549 2550
กรณีที่ 1 9.5 10.6 12.3 12.0 13.3 11.9 9.5 8.7
กรณีที่ 2 9.5 11.1 13.9 14.7 17.1 16.8 14.6 13.4
3. แนวทางการบริหารจัดการหนี้
นับแต่เกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ รัฐบาลได้เพิ่มความระมัดระวังอย่างที่สุดในการบริหารจัดการหนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนี้ในส่วนที่จะส่งผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน เพื่อไม่ให้มีผลซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ การบริหารจัดการหนี้ที่เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่จะต้องกำหนดแนวทางในการดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้
3.1 หนี้ต่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทย
เนื่องจากการที่ต้องก่อหนี้ต่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทย ก็เพื่อนำมาใช้ในการรักษาระดับทุนสำรองระหว่างประเทศเท่านั้น ไม่ได้มีการนำไปใช้ในเรื่องอื่นใด และธนาคารแห่งประเทศไทยจะบริหารเงินกู้ต่างประเทศดังกล่าวในรูปการถือตราสารหรือเงินตราต่างประเทศหรือฝากไว้กับสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ดังนั้น ภาระหนี้ส่วนนี้ของประเทศไทยไม่น่าจะเป็นปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจตราบเท่าที่ดุลบัญชีเดินสะพัดยังมีผลทางบวก
ปัจจุบัน ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เบิกจ่ายเงินกู้ต่างประเทศภายใต้ความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศและมิตรประเทศไปแล้วจำนวน 12,054 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และจะไม่มีการเบิกจ่ายเพิ่มเติมอีก โดยมีเงื่อนไขและตารางการชำระคืนต้นเงินกู้ ดังนี้
1) เงินกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ มีระยะเวลาปลอดชำระคืนเงินต้น 3 ปี จะถึงกำหนดชำระคืนครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2543 จำนวนประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และสำหรับรัฐบาลของมิตรประเทศได้กำหนดให้เริ่มชำระคืนในไตรมาสแรก ของปี 2544 จำนวนประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ การกู้เงินจากทั้งสองแหล่งจะสิ้นสุดการชำระหนี้ในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2547 ตามลำดับ
2) เงินกู้จากรัฐบาลญี่ปุ่น มีระยะเวลาปลอดชำระคืนเงินต้น 7 ปี กำหนดให้ชำระคืน 4 งวด เท่าๆ กันทุก 6 เดือน นับจากวันถึงกำหนด โดยให้เริ่มชำระคืนครั้งแรกในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2546 จำนวนประมาณ 975 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และจะสิ้นสุดการชำระหนี้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2548
3.2 หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เกิดขึ้นจากการเข้าไปดำเนินการแก้ไขปัญหาของสถาบันการเงินมาเป็นลำดับตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งในด้านการเสริมสภาพคล่องและการเพิ่มทุนให้แก่าสถาบันการเงินที่มีปัญหา รวมทั้งการใช้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เป็นตัวแทนของรัฐบาลในการประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ของสถาบันการเงิน กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้รับสินทรัพย์ของสถาบันการเงินเหล่านั้นมาบริหารหรือจำหน่ายออกไป ซึ่งจะเป็นรายได้คืนกลับให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ความเสียหายที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้รับมีจำนวนสูงมาก ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาและวางแผนการชำระหนี้คืนจากรัฐบาลอย่างรอบคอบ เพื่อให้มีภาระต่อประชาชนน้อยที่สุด จุดไหนที่สามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ก็ควรดำเนินการ เช่น การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยอมให้ใช้เงินสำรองส่วนเกินภายหลังจากการรวมบัญชีฯ มาชดเชยความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ส่วนหนึ่ง
ในหลักการรัฐบาลจะต้องทยอยชำระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ตามผลการสรุปภาระหนี้แต่ละรายการ โดยยึดหลักการที่สำคัญ ดังนี้
1) จะต้องมีการชำระหนี้โดยไม่ให้เกินกำลังการหารายได้ของรัฐมากจนเป็นอันตรายต่อการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ
2) จะต้องจัดให้มีการชำระหนี้โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินงานของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ และตลาดการเงินของประเทศไม่ถูกบิดเบือนจากการกู้ยืมของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ
3.3 หนี้ของรัฐบาลและหนี้ของรัฐวิสาหกิจ
หนี้ของรัฐบาลและหนี้ของรัฐวิสาหกิจประกอบด้วยหนี้ต่างประเทศและหนี้ในประเทศ ซึ่งเป็นหนี้ที่ต้องจ่ายงบประมาณแผ่นดินและเงินรายได้ของรัฐวิสาหกิจ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบริหารด้วยความรอบคอบเพื่อให้มีผลกระทบในทางลบต่อการบริหารเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศน้อยที่สุด โดยสรุปจะมีแนวทางการบริหารหนี้ในหลักการ ดังต่อไปนี้
1) การปรับการดำเนินงานของโครงการ ปัจจุบันมีโครงการเงินกู้จากต่างประเทศ มีจำนวน 101 โครงการ ทั้งโครงการของรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลค้ำประกันและโครงการของส่วนราชการ โดยมีโครงการจำนวนไม่น้อยที่ดำเนินงานล่าช้ากว่าแผนงานมาก บางโครงการพบว่ามีเงินเหลือจ่ายและบางโครงการให้ผลตอบแทนน้อยกว่าที่ประมาณการไว้มาก โครงการเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องมีการปรับการดำเนินงานเสียใหม่ให้มีประสิทธิภาพ หากโครงการใดไม่จำเป็นต้องใช้เงินกู้ทั้งหมด ก็ให้ตัดทอนวงเงินกู้ลงไป และโครงการใดที่จะไม่ให้ผลตามเป้าหมายในสาระสำคัญ ก็ให้ตัดทอนหรือระงับ
2) การปรับแนวทางการก่อหนี้ โดยที่การเคลื่อนย้ายการเงินระหว่างประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ดังนั้น แนวความคิดการก่อหนี้ระหว่างประเทศแบบเดิม ที่มุ่งให้ใช้เงินสำหรับโครงการและรายการที่ต้องใช้เงินตราต่างประเทศนั้น ควรมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ด้านการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป โดยควรมุ่งเน้นการใช้เงินบาทหรือการกู้เงินบาทให้มากขึ้น ใช้เงินกู้จากต่างประเทศให้น้อยลง และขณะเดียวกันต้องเพิ่มความรอบคอบในเรื่องสกุลเงินตราที่จะกู้
อย่างไรก็ดี แนวทางที่ควรดำเนินการโดยด่วน คือ การลดเพดานแผนการก่อหนี้เงินกู้ต่างประเทศ ในปีงบประมาณ 2544-2545 ให้ต่ำกว่าในช่วงที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ ต้องจัดลำดับความสำคัญให้โครงการต่อเนื่องและโครงการที่จะก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในอัตราที่สูงก่อน
3) การปรับลดภาระหนี้ต่างประเทศ ภาระหนี้เงินกู้ต่างประเทศที่มีอยู่ขณะนี้ เป็นหนี้ที่กู้มาต่างเวลาต่างวาระ มีสกุลเงินหลายสกุล และมีเงื่อนไขแตกต่างกัน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เครื่องมือทางการเงินมาบริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งการพิจารณาทำ Refinancing เพื่อลดการกระจุกตัวของหนี้ และเพื่อให้ได้เงื่อนไขเงินกู้ที่ดีขึ้น และให้ได้สกุลเงินที่เหมาะสมเพื่อให้ส่งผลกระทบต่อเงินทุนสำรองของประเทศให้น้อยที่สุด
4) การปรับระบบวิธีการงบประมาณให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องเพิ่มขีดความสามารให้สำนักงบประมาณในการจัดสรรงปบระมาณรายจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ รวมทั้งต้องมีวิธีการตัดทอนรายจ่ายภาครัฐที่ไม่จำเป็นและที่จะรั่วไหลให้เหลือน้อยที่สุด
5) การปรับพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502 และกฎหมายก่อหนี้ที่เกี่ยวข้อง สำหรับการปรับปรุงกฎหมายจะมีการพิจารณาให้มีความยืดหยุ่นในเชิงบริหารหนี้ให้มากขึ้น อาจผ่อนปรนให้มีการเปิดโอกาสในการกู้เงินเพื่อใช้คืนเงินกู้เก่าได้ สำหรับการกู้เงินภายในประเทศ เป็นต้น การดำเนินการแก้กฎหมายนี้จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จและผ่านรัฐสภาโดยเร็ว เพื่อให้ทันกับการเตรียมการงบประมาณประจำปี 2545
6) การปรับปรุงโครงสร้างและฐานภาษีอากรรวมทั้งการบริหารจัดเก็บภาษี สำหรับเรื่องนี้จะต้องดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อให้อัตราเพิ่มของรายได้จากภาษีอากรสอดคล้องกับอัตราเพิ่มของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดเก็บภาษีสินค้าอุปโภคบรืโภคที่ฟุ่มเฟือยที่ควรพิจารณาปรับปรุงอัตราฐานภาษีให้มากขึ้น
7) เพิ่มอัตราการนำส่งรายได้เข้ารัฐของรัฐวิสาหกิจตั้งแต่ปีงบประมาณ 2543 ให้เป็นอัตราร้อยละ 35 เป็นอย่างน้อย และให้มีการกำหนดเกณฑ์คิดค่าปรับในกรณีที่มีการส่งรายได้ล่าช้ากว่าระยะเวลาที่กำหนด
8) เร่งรัดการดำเนินงานตามแผนการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ นโยบายนี้มีอยู่แล้วค่อนข้างชัดเจน แต่หากมีการเร่งรัดการดำเนินการให้สำเร็จเป็นรูปธรรมเร็วขึ้น จะสามารถช่วยลดภาระหนี้ของรัฐวิสาหกิจลงได้อีกมาก
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 29 พฤษภาคม 2543--
-สส-
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบ รายงานการก่อหนี้สาธารณะของประเทศไทยและการบริหารจัดการหนี้ในช่วงวิกฤต ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังมีสาระสำคัญดังนี้
1. หนี้ภาครัฐ โดยทั่วไป หนี้ภาครัฐจะแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้
1.1 หนี้ของรัฐบาล
หนี้ของรัฐบาลหมายถึงหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของส่วนราชการ เช่น กรมทางหลวง กรมชลประทาน เป็นต้น และรวมถึงการกู้เพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ การเงิน และสังคม ในภาวะวิกฤต รวมทั้งการวางรากฐานการเติบโตของประเทศในอนาคต
หนี้ของรัฐบาลแบ่งได้เป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้จากแหล่งเงินกู้ต่างประเทศและหนี้ที่กู้จากแหล่งภายในประเทศ ซึ่ง ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2540 หนี้ของรัฐบาลมีจำนวนเพียง 259,156 ล้านบาท แต่เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทำให้รัฐบาลต้องกู้เงินทั้งจากแหล่งภายในและต่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ทำให้ยอดหนี้คงค้างที่รัฐบาลกู้โดยตรง เพิ่มขึ้นเป็น 983,235 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2543 หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 73.64 จากปี 2540
การเพิ่มขึ้นของยอดหนี้คงค้างที่รัฐบาลกู้โดยตรง เกิดจากการเพิ่มขึ้นของยอดหนี้ต่างประเทศ คงค้างจำนวน 119,631 ล้านบาท และยอดหนี้ในต่างประเทศคงคัาง 604,448 ล้านบาท โดยยอดหนี้ต่างประเทศคงค้างที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการเบิกจ่ายเงินกู้จากธนาคารโลก ธนาคารพัฒนาเอเชีย และรัฐบาลญี่ปุ่นผ่านธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation : JBIC) เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และเพื่อใช้จ่ายตามมาตรการเพิ่มค่าใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปีงบประมาณ 2542 จำนวน 2,995 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 113,430 ล้านบาท นอกจากนั้นเป็นเงินกู้เพื่อเตรียมการปรับโครงสร้างและจัดการด้านเศรษฐกิจมหภาค โครงการลงทุนทางสังคม และเงินกู้โครงการของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ส่วนยอดหนี้ในประเทศคงค้างเพิ่มขึ้นจากการออกพันธบัตรเพื่อชดเชยความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จำนวน 500,000 ล้านบาท (ชำระคืนต้นเงินกู้แล้วเท่ากับ 958.5 ล้านบาท) ซึ่งการออกพันธบัตรดังกล่าวไม่ได้เป็นการก่อหนี้ใหม่แต่อย่างใด แต่เป็นการแปลงหนี้ระยะสั้นของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ มาเป็นหนี้ระยะยาวของรัฐบาล นอกจากนั้น การเพิ่มขึ้นของยอดหนี้คงค้างที่รัฐบาลกู้โดยตรงยังเกิดจากการเพิ่มขึ้นของยอดหนี้คงค้างของการออกพันธบัตรตามโครงการช่วยเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สอง รวม 48,613 ล้านบาท และยอดหนี้คงค้างของการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณจำนวน 56,794 ล้านบาท
1.2 หนี้ของรัฐวิสาหกิจ
หนี้ของรัฐวิสาหกิจหมายถึงหนี้ที่รัฐวิสาหกิจกู้เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการพัฒนา เช่น การขยายกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าและน้ำประปา การขยายบริการโทรศัพท์ เป็นต้น รวมถึงเงินกู้เพื่อใช้ในการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจเอง หนี้ของรัฐวิสาหกิจประกอบด้วย หนี้ที่รัฐบาลค้ำประกันและไม่ค้ำประกัน การค้ำประกันของรัฐบาลมีผลให้รัฐวิสาหกิจสามารถกู้เงินได้ด้วยต้นทุนต่ำและมีเงื่อนไขที่ดีกว่า และหากเป็นเงินกู้จากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารโลก และธนาคารพัฒนาเอเชีย แล้ว รัฐบาลจำเป็นต้องให้การค้ำประกันแก่การกู้เงินของรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากเป็นข้อกำหนดของสถาบันการเงินเหล่านั้น
ยอดหนี้คงค้างของรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังค้ำประกันเพิ่มขึ้นไม่มากนัก ต่างจากหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง กล่าวคือ เพิ่มขึ้นจาก 679,796 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2540 เป็น 897,557 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2543 ซึ่งมีการเพิ่มของหนี้ต่างประเทศ 109,660 ล้านบาท และหนี้ในประเทศ 108,101 ล้านบาท
นอกจากหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันแล้ว รัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินเฉพาะกิจยังมีหนี้ที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน ยอดหนี้ในประเทศคงค้างของรัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2543 เท่ากับ 233,615 ล้านบาท ในขณะที่ยอดหนี้ต่างประเทศคงค้างของรัฐวิสาหกิจและสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน เท่ากับ 403,809 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2542
1.3 หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ก่อตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินของประเทศ ภายหลังจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี พ.ศ.2539-2540 กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ต้องรับภาระในการช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาสภาพคล่องจนทำให้ภาระหนี้เพิ่มสูงขึ้นมาก การให้ความช่วยเหลือของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ แก่สถาบันการเงิน โดยการกู้ยืมจากตลาดเงินระยะสั้น โดยเฉพาะตลาดซื้อคืนพันธบัตรเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความบิดเบือนในตลาดการเงิน รัฐบาลจึงออกพันธบัตรรัฐบาล จำนวน 500,000 ล้านบาท เพื่อแปลงหนี้สินระยะสั้นที่มีอยู่เดิมของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ มาเป็นหนี้ระยะยาวของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ยอดหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ที่เกิดขึ้น ยังไม่นับเป็นภาระของรัฐบาล จนกว่าความเสียหายสุทธิจะปรากฏชัดเจนแล้ว
ณ สิ้นปี 2540 กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ มียอดหนี้คงค้างเท่ากับ 893,111 ล้านบาท และลดลงเป็น 777,425 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2542 การเปลี่ยนแปลงในยอดหนี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ นอกจากจะเป็นผลจากการแปลงหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เป็นของรัฐบาลแล้ว ยังมีสาเหตุมาจากการที่สถาบันการเงินมีสภาพคล่องและมีเสถียรภาพมากขึ้น สถาบันการเงินสามารถชำระหนี้คืนได้บางส่วน นอกจากนั้น กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ยังมีรายรับจากการขายหุ้นธนาคารและผลตอบแทนอื่นด้วย
1.4 หนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย
หนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย แบ่งเป็น 1) หนี้ที่เกิดจากการออกธนบัตรหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ หนี้รัฐบาลซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปเงินฝากของกระทรวงการคลัง หนี้สถาบันการเงินและรัฐวิสาหกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน และ 2) หนี้ต่างประเทศ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในยอดหนี้ของต่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทย เกิดขึ้นจากการเบิกจ่ายเงินกู้เพื่อรักษาระดับทุนสำรองระหว่างประเทศ ตามแผนการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินและวิชาการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยโดยไม่เป็นภาระต่องบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล
2. ประมาณการสถานะหนี้ของรัฐบาลที่เป็นภาระหนี้ต่องบประมาณรายจ่าย
หนี้และภาระผูกพันของรัฐบาลในปัจจุบันมียอดหนี้คงค้างประมาณร้อยละ 38.79 ต่อ GDP ซึ่งยังไม่ได้รวมถึงส่วนการชดใช้ความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ในอนาคต ในส่วนการประมาณภาระหนี้จะพิจารณาเฉพาะในส่วนของหนี้ซึ่งมีผลกระทบต่องบประมาณ ซึ่งตัวแปรที่สำคัญ คือ การชดเชยความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ซึ่งกระทรวงการคลังได้จัดทำประมาณการเบื้องต้น คาดว่ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะมีความเสียหายสุทธิที่รัฐบาลจะต้องชดเชยให้เพิ่มเติมอีกประมาณ 800,000 ล้านบาท ในระหว่างปีงบประมาณ 2543 - 2550 โดยจากเอกสารประกอบการสัมมนาความเห็น เรื่อง การรวมบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ทำการศึกษาและสรุปผลประมาณการสถานะหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง และภาระหนี้ในปีงบประมาณระหว่างปีงบประมาณ 2543-2550 แยกออกเป็น 2 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 : รัฐบาลไม่ชดเชยความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เพิ่มเติม
กรณีที่ 2 : รัฐบาลชดเชยความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เพิ่มเติมอีก 800,000 ล้านบาท โดยสมมุติให้รัฐบาลชดเชยความเสียหายระหว่างปีประมาณ 2544-2548 ปีละ 160,000 ล้านบาท ผลจากการศึกษาปรากฏตามตารางข้างล่างนี้
ตารางแสดงสัดส่วนยอดหนี้คงค้างที่รัฐบาลกู้โดยตรงต่อ GDP
หน่วย : ร้อยละของ GDP
ปีงบประมาณ 2543 2544 2545 2546 2547 2548 2549 2550
กรณีที่ 1 22.8 23.7 22.3 20.6 18.4 16.6 15.1 13.8
กรณีที่ 2 22.8 26.7 28.2 29.0 28.8 28.3 25.9 23.7
ตารางแสดงสัดส่วนภาระหนี้ต่อประมาณการรายจ่าย
หน่วย : ร้อยละของงบประมาณการรายจ่าย
ปีงบประมาณ 2543 2544 2545 2546 2547 2548 2549 2550
กรณีที่ 1 9.5 10.6 12.3 12.0 13.3 11.9 9.5 8.7
กรณีที่ 2 9.5 11.1 13.9 14.7 17.1 16.8 14.6 13.4
3. แนวทางการบริหารจัดการหนี้
นับแต่เกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ รัฐบาลได้เพิ่มความระมัดระวังอย่างที่สุดในการบริหารจัดการหนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนี้ในส่วนที่จะส่งผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน เพื่อไม่ให้มีผลซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ การบริหารจัดการหนี้ที่เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ที่จะต้องกำหนดแนวทางในการดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้
3.1 หนี้ต่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทย
เนื่องจากการที่ต้องก่อหนี้ต่างประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทย ก็เพื่อนำมาใช้ในการรักษาระดับทุนสำรองระหว่างประเทศเท่านั้น ไม่ได้มีการนำไปใช้ในเรื่องอื่นใด และธนาคารแห่งประเทศไทยจะบริหารเงินกู้ต่างประเทศดังกล่าวในรูปการถือตราสารหรือเงินตราต่างประเทศหรือฝากไว้กับสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ดังนั้น ภาระหนี้ส่วนนี้ของประเทศไทยไม่น่าจะเป็นปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจตราบเท่าที่ดุลบัญชีเดินสะพัดยังมีผลทางบวก
ปัจจุบัน ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เบิกจ่ายเงินกู้ต่างประเทศภายใต้ความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศและมิตรประเทศไปแล้วจำนวน 12,054 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และจะไม่มีการเบิกจ่ายเพิ่มเติมอีก โดยมีเงื่อนไขและตารางการชำระคืนต้นเงินกู้ ดังนี้
1) เงินกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ มีระยะเวลาปลอดชำระคืนเงินต้น 3 ปี จะถึงกำหนดชำระคืนครั้งแรกในเดือนตุลาคม 2543 จำนวนประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และสำหรับรัฐบาลของมิตรประเทศได้กำหนดให้เริ่มชำระคืนในไตรมาสแรก ของปี 2544 จำนวนประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ การกู้เงินจากทั้งสองแหล่งจะสิ้นสุดการชำระหนี้ในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2547 ตามลำดับ
2) เงินกู้จากรัฐบาลญี่ปุ่น มีระยะเวลาปลอดชำระคืนเงินต้น 7 ปี กำหนดให้ชำระคืน 4 งวด เท่าๆ กันทุก 6 เดือน นับจากวันถึงกำหนด โดยให้เริ่มชำระคืนครั้งแรกในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2546 จำนวนประมาณ 975 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และจะสิ้นสุดการชำระหนี้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2548
3.2 หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เกิดขึ้นจากการเข้าไปดำเนินการแก้ไขปัญหาของสถาบันการเงินมาเป็นลำดับตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งในด้านการเสริมสภาพคล่องและการเพิ่มทุนให้แก่าสถาบันการเงินที่มีปัญหา รวมทั้งการใช้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เป็นตัวแทนของรัฐบาลในการประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ของสถาบันการเงิน กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้รับสินทรัพย์ของสถาบันการเงินเหล่านั้นมาบริหารหรือจำหน่ายออกไป ซึ่งจะเป็นรายได้คืนกลับให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ความเสียหายที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ได้รับมีจำนวนสูงมาก ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาและวางแผนการชำระหนี้คืนจากรัฐบาลอย่างรอบคอบ เพื่อให้มีภาระต่อประชาชนน้อยที่สุด จุดไหนที่สามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ก็ควรดำเนินการ เช่น การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยอมให้ใช้เงินสำรองส่วนเกินภายหลังจากการรวมบัญชีฯ มาชดเชยความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ส่วนหนึ่ง
ในหลักการรัฐบาลจะต้องทยอยชำระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ตามผลการสรุปภาระหนี้แต่ละรายการ โดยยึดหลักการที่สำคัญ ดังนี้
1) จะต้องมีการชำระหนี้โดยไม่ให้เกินกำลังการหารายได้ของรัฐมากจนเป็นอันตรายต่อการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ
2) จะต้องจัดให้มีการชำระหนี้โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินงานของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ และตลาดการเงินของประเทศไม่ถูกบิดเบือนจากการกู้ยืมของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ
3.3 หนี้ของรัฐบาลและหนี้ของรัฐวิสาหกิจ
หนี้ของรัฐบาลและหนี้ของรัฐวิสาหกิจประกอบด้วยหนี้ต่างประเทศและหนี้ในประเทศ ซึ่งเป็นหนี้ที่ต้องจ่ายงบประมาณแผ่นดินและเงินรายได้ของรัฐวิสาหกิจ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบริหารด้วยความรอบคอบเพื่อให้มีผลกระทบในทางลบต่อการบริหารเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศน้อยที่สุด โดยสรุปจะมีแนวทางการบริหารหนี้ในหลักการ ดังต่อไปนี้
1) การปรับการดำเนินงานของโครงการ ปัจจุบันมีโครงการเงินกู้จากต่างประเทศ มีจำนวน 101 โครงการ ทั้งโครงการของรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลค้ำประกันและโครงการของส่วนราชการ โดยมีโครงการจำนวนไม่น้อยที่ดำเนินงานล่าช้ากว่าแผนงานมาก บางโครงการพบว่ามีเงินเหลือจ่ายและบางโครงการให้ผลตอบแทนน้อยกว่าที่ประมาณการไว้มาก โครงการเหล่านี้จำเป็นที่จะต้องมีการปรับการดำเนินงานเสียใหม่ให้มีประสิทธิภาพ หากโครงการใดไม่จำเป็นต้องใช้เงินกู้ทั้งหมด ก็ให้ตัดทอนวงเงินกู้ลงไป และโครงการใดที่จะไม่ให้ผลตามเป้าหมายในสาระสำคัญ ก็ให้ตัดทอนหรือระงับ
2) การปรับแนวทางการก่อหนี้ โดยที่การเคลื่อนย้ายการเงินระหว่างประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ดังนั้น แนวความคิดการก่อหนี้ระหว่างประเทศแบบเดิม ที่มุ่งให้ใช้เงินสำหรับโครงการและรายการที่ต้องใช้เงินตราต่างประเทศนั้น ควรมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ด้านการเงินที่เปลี่ยนแปลงไป โดยควรมุ่งเน้นการใช้เงินบาทหรือการกู้เงินบาทให้มากขึ้น ใช้เงินกู้จากต่างประเทศให้น้อยลง และขณะเดียวกันต้องเพิ่มความรอบคอบในเรื่องสกุลเงินตราที่จะกู้
อย่างไรก็ดี แนวทางที่ควรดำเนินการโดยด่วน คือ การลดเพดานแผนการก่อหนี้เงินกู้ต่างประเทศ ในปีงบประมาณ 2544-2545 ให้ต่ำกว่าในช่วงที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ ต้องจัดลำดับความสำคัญให้โครงการต่อเนื่องและโครงการที่จะก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในอัตราที่สูงก่อน
3) การปรับลดภาระหนี้ต่างประเทศ ภาระหนี้เงินกู้ต่างประเทศที่มีอยู่ขณะนี้ เป็นหนี้ที่กู้มาต่างเวลาต่างวาระ มีสกุลเงินหลายสกุล และมีเงื่อนไขแตกต่างกัน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เครื่องมือทางการเงินมาบริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งการพิจารณาทำ Refinancing เพื่อลดการกระจุกตัวของหนี้ และเพื่อให้ได้เงื่อนไขเงินกู้ที่ดีขึ้น และให้ได้สกุลเงินที่เหมาะสมเพื่อให้ส่งผลกระทบต่อเงินทุนสำรองของประเทศให้น้อยที่สุด
4) การปรับระบบวิธีการงบประมาณให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องเพิ่มขีดความสามารให้สำนักงบประมาณในการจัดสรรงปบระมาณรายจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ รวมทั้งต้องมีวิธีการตัดทอนรายจ่ายภาครัฐที่ไม่จำเป็นและที่จะรั่วไหลให้เหลือน้อยที่สุด
5) การปรับพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ.2502 และกฎหมายก่อหนี้ที่เกี่ยวข้อง สำหรับการปรับปรุงกฎหมายจะมีการพิจารณาให้มีความยืดหยุ่นในเชิงบริหารหนี้ให้มากขึ้น อาจผ่อนปรนให้มีการเปิดโอกาสในการกู้เงินเพื่อใช้คืนเงินกู้เก่าได้ สำหรับการกู้เงินภายในประเทศ เป็นต้น การดำเนินการแก้กฎหมายนี้จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จและผ่านรัฐสภาโดยเร็ว เพื่อให้ทันกับการเตรียมการงบประมาณประจำปี 2545
6) การปรับปรุงโครงสร้างและฐานภาษีอากรรวมทั้งการบริหารจัดเก็บภาษี สำหรับเรื่องนี้จะต้องดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อให้อัตราเพิ่มของรายได้จากภาษีอากรสอดคล้องกับอัตราเพิ่มของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดเก็บภาษีสินค้าอุปโภคบรืโภคที่ฟุ่มเฟือยที่ควรพิจารณาปรับปรุงอัตราฐานภาษีให้มากขึ้น
7) เพิ่มอัตราการนำส่งรายได้เข้ารัฐของรัฐวิสาหกิจตั้งแต่ปีงบประมาณ 2543 ให้เป็นอัตราร้อยละ 35 เป็นอย่างน้อย และให้มีการกำหนดเกณฑ์คิดค่าปรับในกรณีที่มีการส่งรายได้ล่าช้ากว่าระยะเวลาที่กำหนด
8) เร่งรัดการดำเนินงานตามแผนการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ นโยบายนี้มีอยู่แล้วค่อนข้างชัดเจน แต่หากมีการเร่งรัดการดำเนินการให้สำเร็จเป็นรูปธรรมเร็วขึ้น จะสามารถช่วยลดภาระหนี้ของรัฐวิสาหกิจลงได้อีกมาก
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 29 พฤษภาคม 2543--
-สส-