คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ร่างพระราชบัญญัติบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. …. ที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติฯ ตามมติและข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีในส่วนของมาตรา 58 วรรคสาม จากเดิม "… ส่วนที่เหลือไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง …" แก้ไขเป็น "… ส่วนที่เหลือไม่น้อยกว่าสองในสาม…"แต่ในส่วนของมาตรา 58 วรรคสอง นั้น สำนักงานฯ เห็นว่า จะซ้อนกับหลักการตามมาตรา 58 วรรคสาม โดยหลักการน่าจะมีการชำระหนี้ตามการปรับโครงสร้างหนี้เสียก่อน และเมื่อดำเนินการเต็มที่แล้วไม่สำเร็จจึงบังคับตามหลักการของมาตรา58 วรรคสาม สำนักงานฯ จึงได้แก้ไขร่างมาตรา 58 วรรคสอง เสียใหม่ โดยกำหนดว่า ถ้าลูกหนี้จัดหาหลักประกันให้ตามสมควรแล้ว ผู้ค้ำประกันเป็นอันหลุดพ้นจากหนี้ที่ค้างชำระ นอกจากนี้ ได้แก้ไขเพิ่มเติมประเด็นปัญหาต่าง ๆ อีกเล็กน้อยทั้งนี้ โดยได้หารือกับประธานคณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อการพัฒนาประเทศ (นายมีชัย ฤชุพันธุ์) ด้วยแล้ว
อนึ่ง โดยที่ไม่อาจตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติได้ทันการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในสมัยนี้ จึงได้จัดทำเป็น "ร่างพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. …." ซึ่งร่างพระราชกำหนดที่ผ่านการตรวจพิจารณามีสาระสำคัญโดยสรุป ดังนี้
1. หลักการของร่างพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. ….
จัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์แห่งชาติขึ้นเพื่อให้เป็นหน่วยงานของรัฐที่จะทำหน้าที่แก้ไขปัญหาการค้างชำระหนี้ของลูกหนี้ของสถาบันการเงินของรัฐและเอกชนให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการรับโอนสินทรัพย์ที่จัดเป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมาจากสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์เพื่อนำมาบริหารจัดการตามวิธีการที่กำหนด ทั้งนี้ โดยจะต้องพยายามให้ลูกหนี้ซึ่งรับโอนมาอยู่ในฐานะที่สามารถชำระหนี้ที่ค้างชำระได้ และให้ลูกหนี้นั้นสามารถดำเนินกิจการของตนต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หมดสิ้นลงหรือเหลือน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สถาบันการเงินจนไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ อันจะเป็นการสร้างเสถียรภาพให้แก่เศรษฐกิจและระบบสถาบันการเงินโดยรวม
2. สาระสำคัญของร่างพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. ….
2.1 การจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย
จัดตั้ง "บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย" (บสท.) โดยกำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ มีวัตถุประสงค์ในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้และปรับโครงสร้างกิจการของลูกหนี้ซึ่งรับโอนมา โดยการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ รวมตลอดทั้งสิทธิอื่นใดเหนือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันการชำระหนี้สำหรับสินทรัพย์ด้อยคุณภาพนั้น หรือโดยการใช้มาตรการอื่นใด เพื่อประโยชน์แก่การฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือความมั่นคงของประเทศ และให้กองทุนเป็นผู้ถือหุ้นใน บสท.ทั้งหมด
2.2 โครงสร้างของ บสท.
1) ให้มี "คณะกรรมการบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย" ("คณะกรรมการ") ประกอบด้วยประธานกรรมการคนหนึ่งและกรรมการอื่นอีกไม่เกินสิบเอ็ดคน ซึ่งรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี โดยในจำนวนนี้ต้องแต่งตั้งจากผู้แทนของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหนึ่งคน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยหนึ่งคน สมาคมธนาคารไทยหนึ่งคน และประธานกรรมการบริหารเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง เพื่อวางนโยบายและกำกับดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ บสท. ภายในขอบวัตถุประสงค์ของ บสท.
2) ให้มี "คณะกรรมการบริหาร" ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการ ประกอบด้วย ประธานกรรมการบริหารและกรรมการบริหารอื่นอีกไม่เกินสามคม กับกรรมการผู้จัดการซึ่งเป็นกรรมการบริหารโดยตำแหน่งอีกหนึ่งคน โดยให้กระทรวงการคลังเสนอชื่อผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งสองคน ธนาคารแห่งประเทศไทย กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เสนอชื่อหน่วยงานละหนึ่งคน และสถาบันการเงินเอกชนร่วมกันเสนอชื่อสองคน และให้แต่งตั้งกรรมการบริหารตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(ก) ประธานกรรมการบริหารหนึ่งคน โดยแต่งตั้งจากผู้ได้รับการเสนอชื่อจากกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ
(ข) กรรมการบริหารอื่นโดยแต่งตั้งจากผู้ได้รับการเสนอชื่อจากกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ หนึ่งคน จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยหนึ่งคน และจากสถาบันการเงินเอกชนหนึ่งคน เพื่อทำหน้าที่ในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ตลอดจนกำหนดกรอบและวิธีการในการบริหารงานตามนโยบายของคณะกรรมการในเรื่องต่าง ๆ เช่น อนุมัติหรือวินิจฉัยสั่งการในการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้และการปรับโครงสร้างกิจการของลูกหนี้ การจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน การชำระบัญชีของลูกหนี้ซึ่งรับโอนมา ว่าจ้างบุคคลอื่นเพื่อดำเนินการในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เป็นต้น ทั้งนี้ นอกจากประธานกรรมการบริหารซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่งแล้ว ผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการจะดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารหรือกรรมการผู้จัดการในเวลาเดียวกันมิได้
3) ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก กรรมการผู้จัดการเป็นผู้แทนของ บสท.
4) ให้มี "คณะกรรมการตรวจสอบ" ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการ เพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบการดำเนินกิจการของ บสท. และการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการผู้จัดการ
2.3 การโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพให้แก่ บสท.
- กำหนดให้มีการโอนสินทรัพย์ที่จัดเป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2543 มายังบสท. ในสามกรณีด้วยกัน กล่าวคือ
1) กำหนดให้สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมายัง บสท.ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(1) กรณีสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีหน่วยงานของรัฐแห่งใดแห่งหนึ่งหรือรวมกันเป็นผู้ถือหุ้นเกินร้อยละห้าสิบของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว กำหนดให้โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพดังต่อไปนี้ทั้งหมดให้แก่ บสท. ภายในเวลาที่ บสท. กำหนด (ก) สินทรัพย์จัดชั้นสูญ (ข) สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ (ค) สินทรัพย์จัดชั้นสงสัย (ง) สินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน (ร่างมาตรา 30)
ทั้งนี้ เพื่อให้ บสท. เป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพดังกล่าวทั้งหมด อันจะทำให้การบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเป็นไปอย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
(2) กำหนดให้ บสท. มีสิทธิรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มีลักษณะดังต่อไปนี้จากสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์อื่นด้วย
(ก) สินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มีทรัพย์สินเป็นหลักประกันการชำระหนี้ และเป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามข้อ (1) (ก) (ข) (ค) หรือ (ง)
(ข) ลูกหนี้ซึ่งรับโอนมาเป็นนิติบุคคลและมีฐานะเป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ตั้งแต่สองรายขึ้นไป ไม่ว่าจะมีบุคคลธรรมดาเป็นลูกหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันด้วยหรือไม่ก็ตาม
(ค) มูลค่าของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามบัญชีสุทธิของทุกสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์รวมกันสำหรับลูกหนี้แต่ละรายเป็นจำนวนเงินตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป และ
(ง) สินทรัพย์ด้อยคุณภาพนั้นยังมิได้มีความตกลงเป็นหนังสือปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ และมิได้เป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ลูกหนี้ถูกศาลมีคำสั่งให้ความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลายแล้วก่อนวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ (ร่างมาตรา 31)
ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้แก่สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ของเอกชนที่ประสงค์จะโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพดังกล่าวให้แก่ บสท. ให้สามารถกระทำได้
2) คณะกรรมการสามารถกำหนดให้สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีหน่วยงานของรัฐแห่งใดแห่งหนึ่งหรือรวมกันเป็นผู้ถือหุ้นเกินร้อยละห้าสิบของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพบางประเภทให้แก่ บสท.
3) กำหนดให้ลูกหนี้ของสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ ซึ่งหนี้ที่ตนมีอยู่กับสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์มีลักษณะตามร่างมาตรา 31 และสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์มิได้โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพรายของตนมาด้วยนั้น สามารถร้องขอต่อคณะกรรมการให้พิจารณาสั่งการให้สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของตนมาให้ บสท. ด้วย ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ของสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์สามารถร้องขอให้โอนหนี้ของตนมายัง บสท. ได้ด้วย
- กำหนดให้ราคาของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ บสท. จะชำระให้แก่สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ สำหรับสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่รับโอนมา เป็นดังนี้
(ก) กรณีการโอนของสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ถือหุ้นเกินร้อยละห้าสิบของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว ตามมาตรา 30 ให้มีราคาเท่ากับมูลค่าทรัพย์สินทีเป็นหลักประกันของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพดังกล่าว โดยไม่รวมการประกันด้วยบุคคลในกรณีไม่มีทรัพย์สินเป็นหลักประกัน ให้มีราคาตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด
(ข) กรณีการโอนของสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์อื่น ตามมาตรา 31 ให้มีราคาเท่ากับมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพดังกล่าว โดยไม่รวมการค้ำประกันด้วยบุคคล แต่ราคาดังกล่าวต้องไม่เกินมูลค่าสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามบัญชีหักด้วยเงินสำรองที่ต้องตั้งไว้ตามกฎหมายหรือตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
- กำหนดให้ บสท. ชำระราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพให้แก่สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ โดยออกตราสารหนี้ซึ่งเปลี่ยนมือไม่ได้และมีกำหนดใช้เงินเมื่อสิ้นระยะเวลาสิบปีนับแต่วันที่ออกตราสารหนี้นั้น
- การรับรู้ผลกำไรหรือขาดทุนจากการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของ บสท. กำหนดให้คิดคำนวณผลกำไรหรือขาดทุนจากราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ บสท. รับโอนมา หักด้วยต้นทุนในการรับโอนและค่าใช้จ่ายทั้งปวงในการดำเนินการของ บสท. รวมทั้งดอกเบี้ยของตราสารหนี้ โดยให้คำนวณแยกตามสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่รับโอนมาจากแต่ละสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์หรือตามลูกหนี้แต่ละราย เพื่อให้รับทราบผลการดำเนินการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและเพื่อการจัดสรรผลกำไรหรือแบ่งความรับผิดชอบในผลขาดทุนระหว่าง บสท. กับสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ต่อไป ทั้งนี้ ให้คิดคำนวณผลกำไรหรือขาดทุนดังกล่าวเมื่อสิ้นปีที่ห้า และสิ้นปีที่สิบนับแต่วันที่บสท. เปิดทำการ เพื่อให้สอดคล้องกับกำหนดระยะเวลาดำเนินกิจการของ บสท. ตามที่กำหนดไว้ในร่างมาตรา 86
- กำหนดสัดส่วนการจัดสรรผลกำไรหรือความรับผิดชอบในผลการขาดทุน ดังนี้
1) กรณีที่มีผลกไรจากการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ กำหนดให้จัดสรรผลกำไร ดังนี้
- ผลกำไรส่วนแรกจำนวนไม่เกินร้อยละยี่สิบของราคาของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ บสท. รับโอนมา กำหนดให้แบ่งกันคนละครึ่งระหว่าง บสท. และสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์
- ผลกำไรส่วนที่สอง กำหนดให้สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ผู้โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพรับไปทั้งหมด แต่เมื่อรวมกับกำไรตามข้อแรกแล้วต้องไม่เกินส่วนต่างระหว่างมูลค่าสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามบัญชี และราคาของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ บสท. รับโอนมา
- ผลกำไรส่วนสุดท้ายที่เหลือ กำหนดให้แบ่งปันกันระหว่างกองทุน บสท. และ สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์เท่า ๆ กัน
2) กรณีที่การบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมีผลขาดทุน กำหนดให้ บสท. และสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมกันรับผิดชอบ ดังนี้
- ผลขาดทุนส่วนแรกจำนวนไม่เกินร้อยละยี่สิบของราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ บสท. รับโอนมา กำหนดให้สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ผู้โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพรับไปทั้งหมด
- ผลขาดทุนส่วนที่สองที่เหลือจากส่วนแรกจำนวนไม่เกินร้อยละยี่สิบของราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ บสท. รับโอนมา กำหนดให้แบ่งกันคนละครึ่งระหว่าง บสท. และสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์
- ผลขาดทุนส่วนสุดท้ายที่เหลือ กำหนดให้ บสท. รับไปทั้งหมด
2.4 การดำเนินงานของ บสท.
1) ในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ บสท. มีอำนาจดำเนินการในสามกรณี ได้แก่ ปรับโครงสร้างหนี้ ปรับโครงสร้างกิจการหรือจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันของลูกหนี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันตามที่เห็นสมควร โดย บสท. จะดำเนินการบริหารกองสินทรัพย์เองหรือจะว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญให้เป็นผู้บริหารกองสินทรัพย์ก็ได้ ทั้งนี้ ในการจ้างผู้บริหารกองสินทรัพย์ ให้พิจารณาจากบุคคลผู้มีสัญชาติไทย หรือนิติบุคคลที่มีผู้มีสัญชาติไทยถือหุ้นเกิน ร้อยละห้าสิบของทุนจดทะเบียนและไม่มีคนต่างด้าวเป็นผู้มีอำนาจจัดการนิติบุคคลเป็นลำดับแรก แต่นิติบุคคลนั้นจะต้องไม่เป็นสถาบันการเงินที่โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพให้ บสท. และให้พนักงานของ บสท. หรือผู้บริหารกองสินทรัพย์จัดทำความเห็นเบื้องต้นเกี่ยวกับสถานะการเงินของลูกหนี้ซึ่งรับโอนมา พร้อมทั้งข้อเสนอแนะว่าสมควรจะดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ ปรับโครงสร้างกิจการหรือควรจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเพื่อชำระหนี้ เพื่อให้การบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเป็นไปอย่างเหมาะสมกับสภาพของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพแต่ละกองที่ บสท. รับโอนมา
(ก) ในการปรับโครงสร้างหนี้ บสท. มีอำนาจใช้วิธีการต่าง ๆ อันได้แก่ การผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ รับโอนทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อชำระหนี้ หรือดำเนินมาตรการอื่นใด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ เพื่อให้ลูกหนี้ที่สุจริตอยู่ในฐานะที่จะชำระหนี้ได้และสามารถดำเนินกิจการต่อไป
(ข) ในการปรับโครงสร้างกิจการ ให้ผู้บริหารกองสินทรัพย์หรือบุคคลอื่นใด ซึ่ง บสท. แต่งตั้งเป็นผู้จัดทำแผนปรับโครงสร้างกิจการเสนอต่อคณะกรรมการบริหารเพื่อพิจารณาอนุมัติภายในเวลาที่คณะกรรมการบริหารกำหนด ทั้งนี้ แผนปรับโครงสร้างกิจการดังกล่าวจะต้องได้รับอนุมัติจากศาลล้มละลาย และให้ผู้บริหารของลูกหนี้หมดอำนาจในการกระทำกิจการใด ๆ ในนามของลูกหนี้ เมื่อพ้นกำหนดเวลาเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการอนุมัติแผนจากผู้บริหารแผน และให้ผู้บริหารแผนมีอำนาจในการบริหารจัดการทั้งปวงของผู้บริหารของลูกหนี้ ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้บริหารแผนแต่เพียงผู้เดียวมีอำนาจบริหารจัดการและดำเนินการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในแผนปรับโครงสร้างกิจการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้บริหารแผนเห็นว่าการบริหารแผนไม่อาจดำเนินไปให้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้ผู้บริหารแผนรายงานพร้อมข้อเสนอแนะไปยังคณะกรรมการบริหาร เพื่อขออนุมัติต่อคณะกรรมการเพื่อยุติการปรับโครงสร้างกิจการ
(ค) ในการจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันให้ บสท. ดำเนินการโดยวิธีขายทอดตลาดหรือวิธีอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์มากกว่า และหากยังมีหนี้ที่ทรัพย์สินนั้นเป็นหลักประกันคงค้างอยู่ กำหนดว่าหากลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่จะนำมาชำระหนี้ได้อีก และหากผู้ค้ำประกันได้ยอมตนชำระหนี้ส่วนที่เหลือไม่น้อยกว่าสองในสามหรือในจำนวนน้อยกว่านั้นตามที่คณะกรรมการบริหารกำหนด ให้ลูกหนี้และผู้ค้ำประกันเป็นอันหลุดพ้นจากหนี้นั้นตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 58 ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถกลับเข้าสู่ฐานะที่จะเริ่มดำเนินกิจการเดิมหรือเริ่มกิจการใหม่ต่อไปได้อีกครั้งหนึ่ง
2.5 การกำกับ การดำเนินงานและการควบคุม
เพื่อประโยชน์แก่การกำกับการดำเนินงานของ บสท. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาจมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบกิจการ สินทรัพย์และหนี้สินของ บสท. ได้ เพื่อให้มีการตรวจสอบการดำเนินงานของ บสท. โดยองค์กรภายนอกอีกชั้นหนึ่ง
2.6 การสอบและตรวจบัญชี
1) กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินหรือบุคคลอื่นเป็นผู้สอบบัญชีของ บสท. และเสนอรายงานผลการตรวจสอบบัญชีต่อรัฐมนตรีทุกหกเดือน
2) กำหนดให้ บสท. รายงานกิจการ งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุน ซึ่งผู้สอบบัญชีรับรองแล้วต่อรัฐมนตรีภายในสี่เดือนนับแต่วันสิ้นงวดการบัญชี เพื่อรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ
2.7 การยุบเลิก บสท.
1) เมื่อ บสท. ได้ดำเนินการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามอำนาจหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว ให้คณะกรรมการรายงานรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีมีมติยกเลิก บสท. ต่อไป
2) เมื่อครบระยะเวลาสองปีนับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำรายงานประเมินผลการดำเนินการของ บสท. และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาว่าจะสมควรยุบเลิกหรือปรับปรุงการดำเนินการของ บสท. หรือไม่เพียงใด ซึ่งจะเป็นการรับทราบถึงปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานของ บสท. ตลอดจนกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคดังกล่าว และเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติให้ยุบเลิก บสท. ให้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดการแต่งตั้งคณะกรรมการชำระบัญชีวิธีการชำระหนี้ ระยะเวลาการชำระบัญชี เงื่อนไขในการโอนทรัพย์สินและหนี้สินของ บสท. และให้การดำเนินการชำระบัญชีแล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับแต่จะต้องเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่เกินสิบสองปีนับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ และหากมีบรรดาทรัพย์สินของ บสท. ที่ยังคงเหลืออยู่ภายหลังการชำระบัญชี ให้โอนแก่กระทรวงการคลังภายในหกสิบวันนับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี
3) เมื่อครบกำหนดเจ็ดปีนับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ กำหนดให้ บสท. เตรียมการเพื่อเลิกดำเนินกิจการเมื่อสิ้นปีที่สิบและชำระบัญชีให้แล้วเสร็จภายในปีที่สิบสองนับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ และกำหนดให้พระราชกำหนดนี้เป็นอันยกเลิกเมื่อครบสิบสองปีนับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ เพื่อให้การดำเนินงานของ บสท. มีระยะเวลาสิ้นสุดที่แน่นอน เนื่องจากการดำเนินงานของ บสท. เป็นการดำเนินงานเพียงชั่วคราวเท่านั้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร)--วันที่ 5 มิ.ย. 2544
-สส-
อนึ่ง โดยที่ไม่อาจตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติได้ทันการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในสมัยนี้ จึงได้จัดทำเป็น "ร่างพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. …." ซึ่งร่างพระราชกำหนดที่ผ่านการตรวจพิจารณามีสาระสำคัญโดยสรุป ดังนี้
1. หลักการของร่างพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. ….
จัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์แห่งชาติขึ้นเพื่อให้เป็นหน่วยงานของรัฐที่จะทำหน้าที่แก้ไขปัญหาการค้างชำระหนี้ของลูกหนี้ของสถาบันการเงินของรัฐและเอกชนให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการรับโอนสินทรัพย์ที่จัดเป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมาจากสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์เพื่อนำมาบริหารจัดการตามวิธีการที่กำหนด ทั้งนี้ โดยจะต้องพยายามให้ลูกหนี้ซึ่งรับโอนมาอยู่ในฐานะที่สามารถชำระหนี้ที่ค้างชำระได้ และให้ลูกหนี้นั้นสามารถดำเนินกิจการของตนต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หมดสิ้นลงหรือเหลือน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สถาบันการเงินจนไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ อันจะเป็นการสร้างเสถียรภาพให้แก่เศรษฐกิจและระบบสถาบันการเงินโดยรวม
2. สาระสำคัญของร่างพระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. ….
2.1 การจัดตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย
จัดตั้ง "บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย" (บสท.) โดยกำหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจ มีวัตถุประสงค์ในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้และปรับโครงสร้างกิจการของลูกหนี้ซึ่งรับโอนมา โดยการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ รวมตลอดทั้งสิทธิอื่นใดเหนือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันการชำระหนี้สำหรับสินทรัพย์ด้อยคุณภาพนั้น หรือโดยการใช้มาตรการอื่นใด เพื่อประโยชน์แก่การฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือความมั่นคงของประเทศ และให้กองทุนเป็นผู้ถือหุ้นใน บสท.ทั้งหมด
2.2 โครงสร้างของ บสท.
1) ให้มี "คณะกรรมการบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย" ("คณะกรรมการ") ประกอบด้วยประธานกรรมการคนหนึ่งและกรรมการอื่นอีกไม่เกินสิบเอ็ดคน ซึ่งรัฐมนตรีเป็นผู้แต่งตั้งโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี โดยในจำนวนนี้ต้องแต่งตั้งจากผู้แทนของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหนึ่งคน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยหนึ่งคน สมาคมธนาคารไทยหนึ่งคน และประธานกรรมการบริหารเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง เพื่อวางนโยบายและกำกับดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของ บสท. ภายในขอบวัตถุประสงค์ของ บสท.
2) ให้มี "คณะกรรมการบริหาร" ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการ ประกอบด้วย ประธานกรรมการบริหารและกรรมการบริหารอื่นอีกไม่เกินสามคม กับกรรมการผู้จัดการซึ่งเป็นกรรมการบริหารโดยตำแหน่งอีกหนึ่งคน โดยให้กระทรวงการคลังเสนอชื่อผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งสองคน ธนาคารแห่งประเทศไทย กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เสนอชื่อหน่วยงานละหนึ่งคน และสถาบันการเงินเอกชนร่วมกันเสนอชื่อสองคน และให้แต่งตั้งกรรมการบริหารตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(ก) ประธานกรรมการบริหารหนึ่งคน โดยแต่งตั้งจากผู้ได้รับการเสนอชื่อจากกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ
(ข) กรรมการบริหารอื่นโดยแต่งตั้งจากผู้ได้รับการเสนอชื่อจากกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ หนึ่งคน จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยหนึ่งคน และจากสถาบันการเงินเอกชนหนึ่งคน เพื่อทำหน้าที่ในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ตลอดจนกำหนดกรอบและวิธีการในการบริหารงานตามนโยบายของคณะกรรมการในเรื่องต่าง ๆ เช่น อนุมัติหรือวินิจฉัยสั่งการในการดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้และการปรับโครงสร้างกิจการของลูกหนี้ การจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน การชำระบัญชีของลูกหนี้ซึ่งรับโอนมา ว่าจ้างบุคคลอื่นเพื่อดำเนินการในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เป็นต้น ทั้งนี้ นอกจากประธานกรรมการบริหารซึ่งเป็นกรรมการโดยตำแหน่งแล้ว ผู้ที่ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการจะดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารหรือกรรมการผู้จัดการในเวลาเดียวกันมิได้
3) ในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก กรรมการผู้จัดการเป็นผู้แทนของ บสท.
4) ให้มี "คณะกรรมการตรวจสอบ" ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการ เพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบการดำเนินกิจการของ บสท. และการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการผู้จัดการ
2.3 การโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพให้แก่ บสท.
- กำหนดให้มีการโอนสินทรัพย์ที่จัดเป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2543 มายังบสท. ในสามกรณีด้วยกัน กล่าวคือ
1) กำหนดให้สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมายัง บสท.ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
(1) กรณีสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีหน่วยงานของรัฐแห่งใดแห่งหนึ่งหรือรวมกันเป็นผู้ถือหุ้นเกินร้อยละห้าสิบของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว กำหนดให้โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพดังต่อไปนี้ทั้งหมดให้แก่ บสท. ภายในเวลาที่ บสท. กำหนด (ก) สินทรัพย์จัดชั้นสูญ (ข) สินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ (ค) สินทรัพย์จัดชั้นสงสัย (ง) สินทรัพย์จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐาน (ร่างมาตรา 30)
ทั้งนี้ เพื่อให้ บสท. เป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพดังกล่าวทั้งหมด อันจะทำให้การบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเป็นไปอย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
(2) กำหนดให้ บสท. มีสิทธิรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มีลักษณะดังต่อไปนี้จากสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์อื่นด้วย
(ก) สินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มีทรัพย์สินเป็นหลักประกันการชำระหนี้ และเป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามข้อ (1) (ก) (ข) (ค) หรือ (ง)
(ข) ลูกหนี้ซึ่งรับโอนมาเป็นนิติบุคคลและมีฐานะเป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ตั้งแต่สองรายขึ้นไป ไม่ว่าจะมีบุคคลธรรมดาเป็นลูกหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันด้วยหรือไม่ก็ตาม
(ค) มูลค่าของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามบัญชีสุทธิของทุกสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์รวมกันสำหรับลูกหนี้แต่ละรายเป็นจำนวนเงินตั้งแต่ห้าล้านบาทขึ้นไป และ
(ง) สินทรัพย์ด้อยคุณภาพนั้นยังมิได้มีความตกลงเป็นหนังสือปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ และมิได้เป็นสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ลูกหนี้ถูกศาลมีคำสั่งให้ความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลายแล้วก่อนวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ (ร่างมาตรา 31)
ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้แก่สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ของเอกชนที่ประสงค์จะโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพดังกล่าวให้แก่ บสท. ให้สามารถกระทำได้
2) คณะกรรมการสามารถกำหนดให้สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีหน่วยงานของรัฐแห่งใดแห่งหนึ่งหรือรวมกันเป็นผู้ถือหุ้นเกินร้อยละห้าสิบของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพบางประเภทให้แก่ บสท.
3) กำหนดให้ลูกหนี้ของสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ ซึ่งหนี้ที่ตนมีอยู่กับสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์มีลักษณะตามร่างมาตรา 31 และสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์มิได้โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพรายของตนมาด้วยนั้น สามารถร้องขอต่อคณะกรรมการให้พิจารณาสั่งการให้สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของตนมาให้ บสท. ด้วย ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกหนี้ของสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์สามารถร้องขอให้โอนหนี้ของตนมายัง บสท. ได้ด้วย
- กำหนดให้ราคาของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ บสท. จะชำระให้แก่สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ สำหรับสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่รับโอนมา เป็นดังนี้
(ก) กรณีการโอนของสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ถือหุ้นเกินร้อยละห้าสิบของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว ตามมาตรา 30 ให้มีราคาเท่ากับมูลค่าทรัพย์สินทีเป็นหลักประกันของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพดังกล่าว โดยไม่รวมการประกันด้วยบุคคลในกรณีไม่มีทรัพย์สินเป็นหลักประกัน ให้มีราคาตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด
(ข) กรณีการโอนของสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์อื่น ตามมาตรา 31 ให้มีราคาเท่ากับมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพดังกล่าว โดยไม่รวมการค้ำประกันด้วยบุคคล แต่ราคาดังกล่าวต้องไม่เกินมูลค่าสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามบัญชีหักด้วยเงินสำรองที่ต้องตั้งไว้ตามกฎหมายหรือตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย
- กำหนดให้ บสท. ชำระราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพให้แก่สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ โดยออกตราสารหนี้ซึ่งเปลี่ยนมือไม่ได้และมีกำหนดใช้เงินเมื่อสิ้นระยะเวลาสิบปีนับแต่วันที่ออกตราสารหนี้นั้น
- การรับรู้ผลกำไรหรือขาดทุนจากการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของ บสท. กำหนดให้คิดคำนวณผลกำไรหรือขาดทุนจากราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ บสท. รับโอนมา หักด้วยต้นทุนในการรับโอนและค่าใช้จ่ายทั้งปวงในการดำเนินการของ บสท. รวมทั้งดอกเบี้ยของตราสารหนี้ โดยให้คำนวณแยกตามสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่รับโอนมาจากแต่ละสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์หรือตามลูกหนี้แต่ละราย เพื่อให้รับทราบผลการดำเนินการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและเพื่อการจัดสรรผลกำไรหรือแบ่งความรับผิดชอบในผลขาดทุนระหว่าง บสท. กับสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ต่อไป ทั้งนี้ ให้คิดคำนวณผลกำไรหรือขาดทุนดังกล่าวเมื่อสิ้นปีที่ห้า และสิ้นปีที่สิบนับแต่วันที่บสท. เปิดทำการ เพื่อให้สอดคล้องกับกำหนดระยะเวลาดำเนินกิจการของ บสท. ตามที่กำหนดไว้ในร่างมาตรา 86
- กำหนดสัดส่วนการจัดสรรผลกำไรหรือความรับผิดชอบในผลการขาดทุน ดังนี้
1) กรณีที่มีผลกไรจากการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ กำหนดให้จัดสรรผลกำไร ดังนี้
- ผลกำไรส่วนแรกจำนวนไม่เกินร้อยละยี่สิบของราคาของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ บสท. รับโอนมา กำหนดให้แบ่งกันคนละครึ่งระหว่าง บสท. และสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์
- ผลกำไรส่วนที่สอง กำหนดให้สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ผู้โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพรับไปทั้งหมด แต่เมื่อรวมกับกำไรตามข้อแรกแล้วต้องไม่เกินส่วนต่างระหว่างมูลค่าสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามบัญชี และราคาของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ บสท. รับโอนมา
- ผลกำไรส่วนสุดท้ายที่เหลือ กำหนดให้แบ่งปันกันระหว่างกองทุน บสท. และ สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์เท่า ๆ กัน
2) กรณีที่การบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมีผลขาดทุน กำหนดให้ บสท. และสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมกันรับผิดชอบ ดังนี้
- ผลขาดทุนส่วนแรกจำนวนไม่เกินร้อยละยี่สิบของราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ บสท. รับโอนมา กำหนดให้สถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ผู้โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพรับไปทั้งหมด
- ผลขาดทุนส่วนที่สองที่เหลือจากส่วนแรกจำนวนไม่เกินร้อยละยี่สิบของราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ บสท. รับโอนมา กำหนดให้แบ่งกันคนละครึ่งระหว่าง บสท. และสถาบันการเงินหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์
- ผลขาดทุนส่วนสุดท้ายที่เหลือ กำหนดให้ บสท. รับไปทั้งหมด
2.4 การดำเนินงานของ บสท.
1) ในการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ บสท. มีอำนาจดำเนินการในสามกรณี ได้แก่ ปรับโครงสร้างหนี้ ปรับโครงสร้างกิจการหรือจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันของลูกหนี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันตามที่เห็นสมควร โดย บสท. จะดำเนินการบริหารกองสินทรัพย์เองหรือจะว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญให้เป็นผู้บริหารกองสินทรัพย์ก็ได้ ทั้งนี้ ในการจ้างผู้บริหารกองสินทรัพย์ ให้พิจารณาจากบุคคลผู้มีสัญชาติไทย หรือนิติบุคคลที่มีผู้มีสัญชาติไทยถือหุ้นเกิน ร้อยละห้าสิบของทุนจดทะเบียนและไม่มีคนต่างด้าวเป็นผู้มีอำนาจจัดการนิติบุคคลเป็นลำดับแรก แต่นิติบุคคลนั้นจะต้องไม่เป็นสถาบันการเงินที่โอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพให้ บสท. และให้พนักงานของ บสท. หรือผู้บริหารกองสินทรัพย์จัดทำความเห็นเบื้องต้นเกี่ยวกับสถานะการเงินของลูกหนี้ซึ่งรับโอนมา พร้อมทั้งข้อเสนอแนะว่าสมควรจะดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ ปรับโครงสร้างกิจการหรือควรจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเพื่อชำระหนี้ เพื่อให้การบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเป็นไปอย่างเหมาะสมกับสภาพของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพแต่ละกองที่ บสท. รับโอนมา
(ก) ในการปรับโครงสร้างหนี้ บสท. มีอำนาจใช้วิธีการต่าง ๆ อันได้แก่ การผ่อนปรนเงื่อนไขในการชำระหนี้ รับโอนทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อชำระหนี้ หรือดำเนินมาตรการอื่นใด โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ เพื่อให้ลูกหนี้ที่สุจริตอยู่ในฐานะที่จะชำระหนี้ได้และสามารถดำเนินกิจการต่อไป
(ข) ในการปรับโครงสร้างกิจการ ให้ผู้บริหารกองสินทรัพย์หรือบุคคลอื่นใด ซึ่ง บสท. แต่งตั้งเป็นผู้จัดทำแผนปรับโครงสร้างกิจการเสนอต่อคณะกรรมการบริหารเพื่อพิจารณาอนุมัติภายในเวลาที่คณะกรรมการบริหารกำหนด ทั้งนี้ แผนปรับโครงสร้างกิจการดังกล่าวจะต้องได้รับอนุมัติจากศาลล้มละลาย และให้ผู้บริหารของลูกหนี้หมดอำนาจในการกระทำกิจการใด ๆ ในนามของลูกหนี้ เมื่อพ้นกำหนดเวลาเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการอนุมัติแผนจากผู้บริหารแผน และให้ผู้บริหารแผนมีอำนาจในการบริหารจัดการทั้งปวงของผู้บริหารของลูกหนี้ ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้บริหารแผนแต่เพียงผู้เดียวมีอำนาจบริหารจัดการและดำเนินการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในแผนปรับโครงสร้างกิจการได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้บริหารแผนเห็นว่าการบริหารแผนไม่อาจดำเนินไปให้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้ได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้ผู้บริหารแผนรายงานพร้อมข้อเสนอแนะไปยังคณะกรรมการบริหาร เพื่อขออนุมัติต่อคณะกรรมการเพื่อยุติการปรับโครงสร้างกิจการ
(ค) ในการจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันให้ บสท. ดำเนินการโดยวิธีขายทอดตลาดหรือวิธีอื่นใดที่จะเป็นประโยชน์มากกว่า และหากยังมีหนี้ที่ทรัพย์สินนั้นเป็นหลักประกันคงค้างอยู่ กำหนดว่าหากลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่จะนำมาชำระหนี้ได้อีก และหากผู้ค้ำประกันได้ยอมตนชำระหนี้ส่วนที่เหลือไม่น้อยกว่าสองในสามหรือในจำนวนน้อยกว่านั้นตามที่คณะกรรมการบริหารกำหนด ให้ลูกหนี้และผู้ค้ำประกันเป็นอันหลุดพ้นจากหนี้นั้นตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 58 ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกหนี้สามารถกลับเข้าสู่ฐานะที่จะเริ่มดำเนินกิจการเดิมหรือเริ่มกิจการใหม่ต่อไปได้อีกครั้งหนึ่ง
2.5 การกำกับ การดำเนินงานและการควบคุม
เพื่อประโยชน์แก่การกำกับการดำเนินงานของ บสท. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาจมอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยตรวจสอบกิจการ สินทรัพย์และหนี้สินของ บสท. ได้ เพื่อให้มีการตรวจสอบการดำเนินงานของ บสท. โดยองค์กรภายนอกอีกชั้นหนึ่ง
2.6 การสอบและตรวจบัญชี
1) กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินหรือบุคคลอื่นเป็นผู้สอบบัญชีของ บสท. และเสนอรายงานผลการตรวจสอบบัญชีต่อรัฐมนตรีทุกหกเดือน
2) กำหนดให้ บสท. รายงานกิจการ งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุน ซึ่งผู้สอบบัญชีรับรองแล้วต่อรัฐมนตรีภายในสี่เดือนนับแต่วันสิ้นงวดการบัญชี เพื่อรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ
2.7 การยุบเลิก บสท.
1) เมื่อ บสท. ได้ดำเนินการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพตามอำนาจหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว ให้คณะกรรมการรายงานรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีมีมติยกเลิก บสท. ต่อไป
2) เมื่อครบระยะเวลาสองปีนับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อจัดทำรายงานประเมินผลการดำเนินการของ บสท. และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาว่าจะสมควรยุบเลิกหรือปรับปรุงการดำเนินการของ บสท. หรือไม่เพียงใด ซึ่งจะเป็นการรับทราบถึงปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานของ บสท. ตลอดจนกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคดังกล่าว และเมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติให้ยุบเลิก บสท. ให้ตราพระราชกฤษฎีกากำหนดการแต่งตั้งคณะกรรมการชำระบัญชีวิธีการชำระหนี้ ระยะเวลาการชำระบัญชี เงื่อนไขในการโอนทรัพย์สินและหนี้สินของ บสท. และให้การดำเนินการชำระบัญชีแล้วเสร็จภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับแต่จะต้องเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่เกินสิบสองปีนับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ และหากมีบรรดาทรัพย์สินของ บสท. ที่ยังคงเหลืออยู่ภายหลังการชำระบัญชี ให้โอนแก่กระทรวงการคลังภายในหกสิบวันนับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี
3) เมื่อครบกำหนดเจ็ดปีนับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ กำหนดให้ บสท. เตรียมการเพื่อเลิกดำเนินกิจการเมื่อสิ้นปีที่สิบและชำระบัญชีให้แล้วเสร็จภายในปีที่สิบสองนับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ และกำหนดให้พระราชกำหนดนี้เป็นอันยกเลิกเมื่อครบสิบสองปีนับแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ เพื่อให้การดำเนินงานของ บสท. มีระยะเวลาสิ้นสุดที่แน่นอน เนื่องจากการดำเนินงานของ บสท. เป็นการดำเนินงานเพียงชั่วคราวเท่านั้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร)--วันที่ 5 มิ.ย. 2544
-สส-