ทำเนียบรัฐบาล--27 มิ.ย.--นิวส์สแตนด์
เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ พ.ศ. …. และร่างพระราชกฤษฎีกาโอน
อำนาจหน้าที่และกิจการของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
และสิ่งแวดล้อม ไปเป็นของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ พ.ศ. …. และร่างพระราชกฤษฎีกาโอนอำนาจหน้าที่และกิจการของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ไปเป็นของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ สำนักงาน ก.พ. เสนอ ซึ่งเป็นร่างพระราชกฤษฎีกาที่อาศัยอำนาจของพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 มาตรา 5 เพื่อจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเป็นองค์การมหาชนเพื่อให้สามารถบริหารงานได้อย่างเป็นอิสระ คล่องตัว และเอื้ออำนวยต่อการใช้บุคลากรและทรัพยากรของรัฐ และเป็นการประยุกต์ใช้ดาวเทียมเพื่อการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติเป็นการเฉพาะ อันจะนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อภาคราชการ สาธารณชน และประเทศ ประกอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย โดยสำนักงบประมาณมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดเตรียมความพร้อม และเสนอปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ พ.ศ. …. บางประการ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ดำเนินการต่อไปได้
ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ทั้ง 2 ฉบับ มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ พ.ศ. …. มีสาระสำคัญ ดังนี้
1.1 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมรักษาการตามร่างพระราชกฤษฎีกานี้
1.2 ให้จัดตั้ง "สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ" ขึ้นเป็นองค์การมหาชนมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารจัดการและดำเนินการเกี่ยวกับการใช้และการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
1.3 กำหนดให้สำนักงานมีทุน รายได้ ทรัพย์สินและการจัดการทรัพย์สินต่าง ๆ ของสำนักงาน พร้อมทั้งรายได้ของสำนักงานไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
1.4 กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารสำนักงาน ประกอบด้วยประธานกรรมการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง กรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตลอดจนกำหนดคุณสมบัติ
1.5 กำหนดคุณสมบัติ อำนาจหน้าที่และวาระการดำรงตำแหน่งของผู้อำนวยการสำนักงาน
1.6 ผู้ปฏิบัติงานของสำนักงานมีสามประเภท คือ เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้าง ที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญ และเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมาช่วยปฏิบัติงานของสำนักงานเป็นการชั่วคราว
1.7 ให้ยุบเลิกกองสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยดาวเทียม สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติฝ่ายประสานและส่งเสริมการพัฒนาระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ ศูนย์ข้อมูลข้อสนเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม โดยให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สินและเงินงบประมาณ เว้นแต่เงินงบประมาณหมวดเงินเดือนและค่าจ้างประจำซึ่งมีผู้ครองอยู่ไปเป็นของสำนักงาน ตามร่างพระราชกฤษฎีกานี้
1.8 ให้ข้าราชการหรือลูกจ้างที่ประสงค์จะเปลี่ยนสถานภาพไปเป็นเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของสำนักงานแจ้งความจำนงเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ร่างพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ
2. ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนอำนาจหน้าที่และกิจการของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ไปเป็นของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ พ.ศ. …. มีสาระสำคัญ คือ
2.1 ให้โอนอำนาจ หน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับกองสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยดาวเทียม และฝ่ายประสานและส่งเสริมการพัฒนาระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ ศูนย์ข้อมูลข้อสนเทศ ยกเว้นเงินงบประมาณหมวดเงินเดือนและค่าจ้างประจำที่ยังมีผู้ครองตำแหน่งอยู่ ไปเป็นของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
2.2 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม รักษาการตามร่างพระราชกฤษฎีกานี้
ทั้งนี้ สำนักงบประมาณเห็นควรให้ปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ พ.ศ. …. บางประการ ดังนี้
- ในมาตรา 14 (3) ควรเพิ่มกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมิใช่ข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐอย่างน้อยสองคน เพื่อให้มีผู้แทนจากภาคธุรกิจเอกชนมากขึ้นในการมีส่วนร่วมปรับปรุงการบริหารจัดการให้มุ่งเน้นผลสำเร็จและลดความเป็นระบบราชการลง
- ในมาตรา 31 ผู้ปฏิบัติงานของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ควรหมายถึงผู้ซึ่งสามารถทำงานให้แก่สำนักงานได้เต็มเวลาและมีสิทธิได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ดังนั้น จึงไม่ควรรวมถึงที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญซึ่งสำนักงานจ้างให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นที่ปรึกษาหรือผู้ทรงคุณวุฒิโดยมีสัญญาจ้าง
- ในมาตรา 38 เพื่อให้การประเมินผลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพโปร่งใสและเป็นกลาง จึงควรกำหนดให้มีคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของสำนักงานซึ่งคณะกรรมการบริหารเป็นผู้มีอำนาจสรรหา และแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 27 มิ.ย. 2543--
-สส-
เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ พ.ศ. …. และร่างพระราชกฤษฎีกาโอน
อำนาจหน้าที่และกิจการของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
และสิ่งแวดล้อม ไปเป็นของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ พ.ศ. ….
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ พ.ศ. …. และร่างพระราชกฤษฎีกาโอนอำนาจหน้าที่และกิจการของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ไปเป็นของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ สำนักงาน ก.พ. เสนอ ซึ่งเป็นร่างพระราชกฤษฎีกาที่อาศัยอำนาจของพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 มาตรา 5 เพื่อจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเป็นองค์การมหาชนเพื่อให้สามารถบริหารงานได้อย่างเป็นอิสระ คล่องตัว และเอื้ออำนวยต่อการใช้บุคลากรและทรัพยากรของรัฐ และเป็นการประยุกต์ใช้ดาวเทียมเพื่อการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติเป็นการเฉพาะ อันจะนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อภาคราชการ สาธารณชน และประเทศ ประกอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย โดยสำนักงบประมาณมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดเตรียมความพร้อม และเสนอปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ พ.ศ. …. บางประการ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้ดำเนินการต่อไปได้
ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ทั้ง 2 ฉบับ มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ พ.ศ. …. มีสาระสำคัญ ดังนี้
1.1 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมรักษาการตามร่างพระราชกฤษฎีกานี้
1.2 ให้จัดตั้ง "สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ" ขึ้นเป็นองค์การมหาชนมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อบริหารจัดการและดำเนินการเกี่ยวกับการใช้และการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
1.3 กำหนดให้สำนักงานมีทุน รายได้ ทรัพย์สินและการจัดการทรัพย์สินต่าง ๆ ของสำนักงาน พร้อมทั้งรายได้ของสำนักงานไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
1.4 กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารสำนักงาน ประกอบด้วยประธานกรรมการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง กรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตลอดจนกำหนดคุณสมบัติ
1.5 กำหนดคุณสมบัติ อำนาจหน้าที่และวาระการดำรงตำแหน่งของผู้อำนวยการสำนักงาน
1.6 ผู้ปฏิบัติงานของสำนักงานมีสามประเภท คือ เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้าง ที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญ และเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมาช่วยปฏิบัติงานของสำนักงานเป็นการชั่วคราว
1.7 ให้ยุบเลิกกองสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยดาวเทียม สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติฝ่ายประสานและส่งเสริมการพัฒนาระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ ศูนย์ข้อมูลข้อสนเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม โดยให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สินและเงินงบประมาณ เว้นแต่เงินงบประมาณหมวดเงินเดือนและค่าจ้างประจำซึ่งมีผู้ครองอยู่ไปเป็นของสำนักงาน ตามร่างพระราชกฤษฎีกานี้
1.8 ให้ข้าราชการหรือลูกจ้างที่ประสงค์จะเปลี่ยนสถานภาพไปเป็นเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของสำนักงานแจ้งความจำนงเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชาภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ร่างพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ
2. ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนอำนาจหน้าที่และกิจการของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ไปเป็นของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ พ.ศ. …. มีสาระสำคัญ คือ
2.1 ให้โอนอำนาจ หน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับกองสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยดาวเทียม และฝ่ายประสานและส่งเสริมการพัฒนาระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ ศูนย์ข้อมูลข้อสนเทศ ยกเว้นเงินงบประมาณหมวดเงินเดือนและค่าจ้างประจำที่ยังมีผู้ครองตำแหน่งอยู่ ไปเป็นของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ
2.2 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม รักษาการตามร่างพระราชกฤษฎีกานี้
ทั้งนี้ สำนักงบประมาณเห็นควรให้ปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ พ.ศ. …. บางประการ ดังนี้
- ในมาตรา 14 (3) ควรเพิ่มกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมิใช่ข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐอย่างน้อยสองคน เพื่อให้มีผู้แทนจากภาคธุรกิจเอกชนมากขึ้นในการมีส่วนร่วมปรับปรุงการบริหารจัดการให้มุ่งเน้นผลสำเร็จและลดความเป็นระบบราชการลง
- ในมาตรา 31 ผู้ปฏิบัติงานของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ควรหมายถึงผู้ซึ่งสามารถทำงานให้แก่สำนักงานได้เต็มเวลาและมีสิทธิได้รับสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ดังนั้น จึงไม่ควรรวมถึงที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญซึ่งสำนักงานจ้างให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นที่ปรึกษาหรือผู้ทรงคุณวุฒิโดยมีสัญญาจ้าง
- ในมาตรา 38 เพื่อให้การประเมินผลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพโปร่งใสและเป็นกลาง จึงควรกำหนดให้มีคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของสำนักงานซึ่งคณะกรรมการบริหารเป็นผู้มีอำนาจสรรหา และแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 27 มิ.ย. 2543--
-สส-