คณะรัฐมนตรีพิจารณาการจัดตั้งกองทุนร่วมบรรเทาความเสียหายทางการเกษตร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วมีมติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นางปองพลอดิเรกสาร) เป็นประธานกรรมการฯ ดังนี้
1. รับทราบข้อพิจารณาของกระทรวงการคลังตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ดังนี้
1.1 เงินสมทบกองทุนร่วมบรรเทาความเสียหายทางการเกษตรไม่สร้างภาระแก่เกษตรกรรายย่อย แต่ให้ประโยชน์สูงสุดกับเกษตรกรเป็นจำนวน 32 - 100 เท่าของเงินที่เกษตรกรจ่าย และการดำเนินงานกองทุนร่วมฯ ไม่เป็นภาระงบประมาณแก่รัฐบาลในระยะยาว และมีแนวโน้มลดลงในปีต่อ ๆ ไป นอกจากนี้การดำเนินงานของกองทุนร่วมฯ เป็นการสนับสนุนนโยบายพักชำระหนี้และลดภาระหนี้เกษตรกรรายย่อย และไม่ซ้ำซ้อนกับการช่วยเหลืออื่น ๆ
1.2 กองทุนร่วมฯ จำเป็นต้องกระจายความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ และค่าเบี้ยประกันภัยต่อที่จ่ายมีความเป็นธรรมและก่อประโยชน์สูงสุด
2. ให้ชะลอการดำเนินงานกองทุนร่วมฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 เนื่องจากยังไม่มีงบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินการ
3. ให้ความเห็นชอบในหลักการ และมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายวราเทพรัตนากร) รับข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ไปศึกษาพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
3.1 การจัดตั้งกองทุนร่วมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกรที่ปลูกพืช 3 ชนิด คือ ข้าวนาปี ข้าวนาปรังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการประกันภัยพืชผลในรูปแบบกองทุนร่วมฯ สามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทุนได้ตามความสมัครใจโดยจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเมื่อเกิดความเสียหายจากภัยพิบัติ เกษตรกรที่เป็นสมาชิกกองทุนร่วมฯ จะได้รับการคุ้มครองสำหรับเกษตรกรที่ไม่ได้เป็นสมาชิกจะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐในด้านต่าง ๆ เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ เป็นต้น ทั้งนี้ กองทุนร่วมฯ จะมีรายรับจากเกษตรกรและรัฐบาลสมทบเข้ากองทุนฝ่ายละ 50% โดยในส่วนของรัฐบาลจะต้องสนับสนุนงบประมาณรวมทั้งสิ้น 1,268.58 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินการ จึงเห็นควรชะลอการดำเนินงานกองทุนร่วมฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ไว้ก่อน และให้ความเห็นชอบให้ตั้งคณะทำงานพิจารณาศึกษารายละเอียดในการดำเนินงาน แหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการจัดตั้งกองทุน และการแก้ไขปัญหาความเสี่ยง รวมทั้งให้มีการพิจารณาความเหมาะสมในการยกร่างพระราชบัญญัติเพื่อรองรับการดำเนินงานของกองทุนร่วมฯโดยเฉพาะต่อไป ซึ่งปัจจุบันการดำเนินงานของกองทุนร่วมฯ อยู่ภายใต้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนร่วมบรรเทาความเสียหายทางการเกษตร พ.ศ. 2539
3.2 คณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีข้อสังเกต ดังนี้
1) การดำเนินงานของกองทุนร่วมฯ อาจมีความคาบเกี่ยวกันกับการดำเนินงานของกองทุนอื่น เช่นกองทุนรวมช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) จึงเห็นควรมีการกำหนดขอบเขตของการดำเนินงานและความรับผิดชอบให้ชัดเจนเช่น การกำหนดในเรื่องระดับของความเสียหาย หรือกรณีเป็นเรื่องเร่งด่วนหรือฉุกเฉิน เป็นต้น เพื่อจะได้ไม่เกิดความซ้ำซ้อนในการให้ความช่วยเหลือ
2) เมื่อเกิดภัยพิบัติหากมีเกษตรกรได้รับความเดือดร้อน รัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือโดยหน่วยงานต่าง ๆ จะของบกลางหรือใช้งบประมาณของตนด้วย ดังนั้น การดำเนินการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกกองทุน และเกษตรกรที่ไม่ได้เป็นสมาชิกจะมีแนวทางปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิดความลักลั่น ซ้ำซ้อนในทางปฏิบัติอย่างไร
3) หากเกิดเหตุภัยพิบัติขึ้น กองทุนร่วมฯ มีเงินไม่เพียงพอหรือไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจะนำเงินจากกองทุนอื่นมาช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยก่อนได้หรือไม่เพียงใด
4) บริษัทประกันภัยของเอกชน จะมีวิธีการคิดเบี้ยประกันภัยอย่างไร จะมีการยกเว้นประเภทของความเสียหายหรือไม่ และเมื่อเกิดความเสียหายจากภัยพิบัติ จะมีการปรับเพิ่มค่าเบี้ยประกันภัยในครั้งต่อไปหรือไม่ เพียงใด
5) การให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรที่เข้าเป็นสมาชิกกองทุนร่วมฯ จะคุ้มครองถึงความเสียหายที่มีผลต่อเนื่องมาจากภัยพิบัติด้วยหรือไม่ และจะมีขอบเขตหรือข้อจำกัดในการคุ้มครองเพียงใด
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 16 ต.ค. 44--
-สส-
1. รับทราบข้อพิจารณาของกระทรวงการคลังตามข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ดังนี้
1.1 เงินสมทบกองทุนร่วมบรรเทาความเสียหายทางการเกษตรไม่สร้างภาระแก่เกษตรกรรายย่อย แต่ให้ประโยชน์สูงสุดกับเกษตรกรเป็นจำนวน 32 - 100 เท่าของเงินที่เกษตรกรจ่าย และการดำเนินงานกองทุนร่วมฯ ไม่เป็นภาระงบประมาณแก่รัฐบาลในระยะยาว และมีแนวโน้มลดลงในปีต่อ ๆ ไป นอกจากนี้การดำเนินงานของกองทุนร่วมฯ เป็นการสนับสนุนนโยบายพักชำระหนี้และลดภาระหนี้เกษตรกรรายย่อย และไม่ซ้ำซ้อนกับการช่วยเหลืออื่น ๆ
1.2 กองทุนร่วมฯ จำเป็นต้องกระจายความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ และค่าเบี้ยประกันภัยต่อที่จ่ายมีความเป็นธรรมและก่อประโยชน์สูงสุด
2. ให้ชะลอการดำเนินงานกองทุนร่วมฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 เนื่องจากยังไม่มีงบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินการ
3. ให้ความเห็นชอบในหลักการ และมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายวราเทพรัตนากร) รับข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ไปศึกษาพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
3.1 การจัดตั้งกองทุนร่วมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกรที่ปลูกพืช 3 ชนิด คือ ข้าวนาปี ข้าวนาปรังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการประกันภัยพืชผลในรูปแบบกองทุนร่วมฯ สามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกกองทุนได้ตามความสมัครใจโดยจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเมื่อเกิดความเสียหายจากภัยพิบัติ เกษตรกรที่เป็นสมาชิกกองทุนร่วมฯ จะได้รับการคุ้มครองสำหรับเกษตรกรที่ไม่ได้เป็นสมาชิกจะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐในด้านต่าง ๆ เช่น ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ เป็นต้น ทั้งนี้ กองทุนร่วมฯ จะมีรายรับจากเกษตรกรและรัฐบาลสมทบเข้ากองทุนฝ่ายละ 50% โดยในส่วนของรัฐบาลจะต้องสนับสนุนงบประมาณรวมทั้งสิ้น 1,268.58 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการดำเนินการ จึงเห็นควรชะลอการดำเนินงานกองทุนร่วมฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 ไว้ก่อน และให้ความเห็นชอบให้ตั้งคณะทำงานพิจารณาศึกษารายละเอียดในการดำเนินงาน แหล่งเงินที่จะนำมาใช้ในการจัดตั้งกองทุน และการแก้ไขปัญหาความเสี่ยง รวมทั้งให้มีการพิจารณาความเหมาะสมในการยกร่างพระราชบัญญัติเพื่อรองรับการดำเนินงานของกองทุนร่วมฯโดยเฉพาะต่อไป ซึ่งปัจจุบันการดำเนินงานของกองทุนร่วมฯ อยู่ภายใต้ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยกองทุนร่วมบรรเทาความเสียหายทางการเกษตร พ.ศ. 2539
3.2 คณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีข้อสังเกต ดังนี้
1) การดำเนินงานของกองทุนร่วมฯ อาจมีความคาบเกี่ยวกันกับการดำเนินงานของกองทุนอื่น เช่นกองทุนรวมช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) จึงเห็นควรมีการกำหนดขอบเขตของการดำเนินงานและความรับผิดชอบให้ชัดเจนเช่น การกำหนดในเรื่องระดับของความเสียหาย หรือกรณีเป็นเรื่องเร่งด่วนหรือฉุกเฉิน เป็นต้น เพื่อจะได้ไม่เกิดความซ้ำซ้อนในการให้ความช่วยเหลือ
2) เมื่อเกิดภัยพิบัติหากมีเกษตรกรได้รับความเดือดร้อน รัฐบาลจะให้ความช่วยเหลือโดยหน่วยงานต่าง ๆ จะของบกลางหรือใช้งบประมาณของตนด้วย ดังนั้น การดำเนินการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกกองทุน และเกษตรกรที่ไม่ได้เป็นสมาชิกจะมีแนวทางปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิดความลักลั่น ซ้ำซ้อนในทางปฏิบัติอย่างไร
3) หากเกิดเหตุภัยพิบัติขึ้น กองทุนร่วมฯ มีเงินไม่เพียงพอหรือไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจะนำเงินจากกองทุนอื่นมาช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยก่อนได้หรือไม่เพียงใด
4) บริษัทประกันภัยของเอกชน จะมีวิธีการคิดเบี้ยประกันภัยอย่างไร จะมีการยกเว้นประเภทของความเสียหายหรือไม่ และเมื่อเกิดความเสียหายจากภัยพิบัติ จะมีการปรับเพิ่มค่าเบี้ยประกันภัยในครั้งต่อไปหรือไม่ เพียงใด
5) การให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรที่เข้าเป็นสมาชิกกองทุนร่วมฯ จะคุ้มครองถึงความเสียหายที่มีผลต่อเนื่องมาจากภัยพิบัติด้วยหรือไม่ และจะมีขอบเขตหรือข้อจำกัดในการคุ้มครองเพียงใด
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 16 ต.ค. 44--
-สส-