ทำเนียบรัฐบาล--19 ธ.ค.--นิวส์สแตนด์
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ดำเนินการจัดให้มีการศึกษาวิจัยตามโครงการวิจัย 2 โครงการ คือ โครงการศึกษาวิจัย เรื่อง "สัญญาทางปกครอง" และโครงการศึกษาวิจัย เรื่อง "ทรัพย์สินของแผ่นดิน" และจัดให้มีโครงการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเกี่ยวกับการพัฒนากฎหมาย โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. โครงการศึกษาวิจัย เรื่อง สัญญาทางปกครอง คณะกรรมการพัฒนากฎหมายเห็นว่า ในระบบกฎหมายไทยปัจจุบันยังไม่มี "หลักกฎหมายว่าด้วยสัญญาทางปกครอง" ที่จะสามารถนำมาใช้บังคับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชัดเจนในเรื่องของความหมาย ลักษณะและขอบเขตของสัญญาทางปกครอง ตลอดจนหลักเกณฑ์ในทางกฎหมายสารบัญญัติที่จะนำมาใช้กับสัญญาทางปกครองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม นอกจากนี้ การที่จะให้ศาลปกครองพัฒนาและสร้างหลักกฎหมายเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองเองนั้น น่าจะไม่เหมาะสมเพราะเป็นการพัฒนากฎหมายปกครองที่ต้องใช้ระยะเวลานาน ดังนั้น การจัดให้มีการศึกษาวิจัยในเรื่อง "สัญญาทางปกครอง" จะทำให้ประเทศไทยมีหลักกฎหมายเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่ชัดเจนและเป็นระบบ อันมีผลให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าใจเรื่องดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะทำให้ศาลปกครองสามารถพิจารณาพิพากษาคดีและพัฒนาหลักกฎหมายปกครองในเรื่อง "สัญญาทางปกครอง" นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชัดเจน และรวดเร็วยิ่งขึ้น
2. โครงการศึกษาวิจัย เรื่อง ทรัพย์สินของแผ่นดิน คณะกรรมการพัฒนากฎหมายเห็นว่า โดยที่หลักเกณฑ์เกี่ยวกับระบบการจัดการทรัพย์สินของแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการได้มาซึ่งทรัพย์สินของแผ่นดิน การเปลี่ยนแปลงสถานะทางกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงการใข้ประโยชน์ การสิ้นสุดความเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน จะบัญญัติอยู่ตามกฎหมายต่าง ๆ เช่น ประมวลกฎหมายที่ดิน กฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ และอยู่ในอำนาจหน้าที่หรือความรับผิดชอบของหน่วยงาน เช่น ราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่นรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐอื่น ๆ อีกมาก ทำให้เกิดปัญหาในการพิจารณาถึงสถานะทางกฎหมายของทรัพย์สินของแผ่นดินแต่ละประเภท รวมถึงขอบเขตอำนาจหน้าที่ขององค์กรที่ดูแลรับผิดชอบด้วย ดังนั้น จึงสมควรจัดให้มีการศึกษาวิจัยในหัวข้อนี้ โดยมีความมุ่งหมายเพื่อให้ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคในการจัดการทรัพย์สินของแผ่นดินแต่ละประเภทเพื่อจัดระบบโครงสร้างเรื่องทรัพย์สินของแผ่นดินให้มีความชัดเจน โดยจัดทำเป็นร่างกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินของแผ่นดินเพื่อวางระบบการจัดการและบริหารทรัพย์สินของแผ่นดิน รวมทั้งพิจารณาถึงความเหมาะสมขององค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ดูแลรับผิดชอบในปัจจุบันด้วย
โครงการทั้ง 2 โครงการนี้จะใช้ระยะเวลาในการดำเนินกากรประมาณ 18 เดือน และมีค่าใช้จ่ายโครงการละ 2,000,000 บาท และเนื่องจากโครงการศึกษาวิจัยทั้ง 2 โครงการดังกล่าว จะเป็นประโยชน์แก่การพัฒนาเศรษฐกิจสังคม และการบริหารราชการแผ่นดิน จึงสมควรจัดให้มีการวิจัยตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย และสำหรับเงินค่าใช้จ่ายของทั้ง 2 โครงการนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะใช้เงินค่าใช้จ่ายจากกองทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนากฎหมาย ซึ่งปัจจุบันเงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนากฎหมายมีอยู่จำนวน 65,477,161.11 บาท และมีภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายอยู่จำนวน 4,254,250 บาท คงเหลือเงินทุนหมุนเวียนที่สามารถนำไปใช้จ่ายงานพัฒนากฎหมายได้จำนวน61,222,911.11 บาท ดังนั้น โครงการศึกษาวิจัยทั้ง 2 โครงการนี้ จึงไม่จำเป็นต้องของบประมาณเพิ่มเติมแต่อย่างใดแต่เนื่องจากการนำเงินทุนหมุนเวียนดังกล่าวไปใช้จ่ายนั้น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะต้องทำความตกลงกับกระทรวงการคลังล่วงหน้าภายในเดือนมิถุนายน หากไม่สามารถดำเนินการได้ทัน จะต้องรายงานเหตุผลให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบและแนบสำเนาหนังสือดังกล่าวให้กระทรวงการคลังด้วย
3. โครงการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเกี่ยวกับการพัฒนากฎหมาย
โดยที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีหน้าที่สำคัญประการหนึ่งในการพิจารณาตรวจสอบบรรดากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ว่า มีปัญหาในการบังคับใช้และจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนากฎหมายต่อไปหรือไม่ เพียงใดทั้งนี้ ตามมาตรา 17 ตรี และมาตรา 17 เบญจ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 ดังนั้น เพื่อเป็นการรวบรวมข้อมูลพื้นฐานและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวล่วงหน้า อันจะเป็นการเตรียมความพร้อมในการพัฒนากฎหมายเพราะเป็นหนทางหนึ่งที่จะได้ทราบถึงปัญหาของกฎหมายต่าง ๆ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน สำนักงานฯ จึงเห็นสมควรจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นโดยทางไปรษณีย์จากประชาชนโดยทั่วไป และจากหน่วยงานทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนเกี่ยวกับบทบัญญัติของกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับใด ๆ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันว่ามีความบกพร่องหรือไม่มีความเหมาะสมอย่างไร หรือสมควรให้มีการแก้ไขกฎหมายในเรื่องใด โดยมอบหมายให้ศูนย์พัฒนากฎหมายสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในฐานะหน่วยงานธุรการของคณะกรรมการพัฒนากฎหมายดำเนินการจัดให้มีตู้ ป.ณ. ของศูนย์พัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาขึ้น เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนโดยทั่วไปได้รับทราบถึงการดำเนินการดังกล่าวด้วย โดยเมื่อได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวแล้วสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อว่าหน่วยงานดังกล่าวจะแก้ไขปัญหาของตนได้และในเรื่องที่ยุ่งยากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะช่วยเหลือโดยการศึกษาและเสนอแนะต่อหน่วยงานดังกล่าวหรือคณะรัฐมนตรีต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 19 ธ.ค. 2543--
-สส-
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ดำเนินการจัดให้มีการศึกษาวิจัยตามโครงการวิจัย 2 โครงการ คือ โครงการศึกษาวิจัย เรื่อง "สัญญาทางปกครอง" และโครงการศึกษาวิจัย เรื่อง "ทรัพย์สินของแผ่นดิน" และจัดให้มีโครงการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเกี่ยวกับการพัฒนากฎหมาย โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. โครงการศึกษาวิจัย เรื่อง สัญญาทางปกครอง คณะกรรมการพัฒนากฎหมายเห็นว่า ในระบบกฎหมายไทยปัจจุบันยังไม่มี "หลักกฎหมายว่าด้วยสัญญาทางปกครอง" ที่จะสามารถนำมาใช้บังคับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชัดเจนในเรื่องของความหมาย ลักษณะและขอบเขตของสัญญาทางปกครอง ตลอดจนหลักเกณฑ์ในทางกฎหมายสารบัญญัติที่จะนำมาใช้กับสัญญาทางปกครองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม นอกจากนี้ การที่จะให้ศาลปกครองพัฒนาและสร้างหลักกฎหมายเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองเองนั้น น่าจะไม่เหมาะสมเพราะเป็นการพัฒนากฎหมายปกครองที่ต้องใช้ระยะเวลานาน ดังนั้น การจัดให้มีการศึกษาวิจัยในเรื่อง "สัญญาทางปกครอง" จะทำให้ประเทศไทยมีหลักกฎหมายเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่ชัดเจนและเป็นระบบ อันมีผลให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าใจเรื่องดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะทำให้ศาลปกครองสามารถพิจารณาพิพากษาคดีและพัฒนาหลักกฎหมายปกครองในเรื่อง "สัญญาทางปกครอง" นี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ชัดเจน และรวดเร็วยิ่งขึ้น
2. โครงการศึกษาวิจัย เรื่อง ทรัพย์สินของแผ่นดิน คณะกรรมการพัฒนากฎหมายเห็นว่า โดยที่หลักเกณฑ์เกี่ยวกับระบบการจัดการทรัพย์สินของแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการได้มาซึ่งทรัพย์สินของแผ่นดิน การเปลี่ยนแปลงสถานะทางกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงการใข้ประโยชน์ การสิ้นสุดความเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน จะบัญญัติอยู่ตามกฎหมายต่าง ๆ เช่น ประมวลกฎหมายที่ดิน กฎหมายว่าด้วยที่ราชพัสดุ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ และอยู่ในอำนาจหน้าที่หรือความรับผิดชอบของหน่วยงาน เช่น ราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่นรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐอื่น ๆ อีกมาก ทำให้เกิดปัญหาในการพิจารณาถึงสถานะทางกฎหมายของทรัพย์สินของแผ่นดินแต่ละประเภท รวมถึงขอบเขตอำนาจหน้าที่ขององค์กรที่ดูแลรับผิดชอบด้วย ดังนั้น จึงสมควรจัดให้มีการศึกษาวิจัยในหัวข้อนี้ โดยมีความมุ่งหมายเพื่อให้ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคในการจัดการทรัพย์สินของแผ่นดินแต่ละประเภทเพื่อจัดระบบโครงสร้างเรื่องทรัพย์สินของแผ่นดินให้มีความชัดเจน โดยจัดทำเป็นร่างกฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินของแผ่นดินเพื่อวางระบบการจัดการและบริหารทรัพย์สินของแผ่นดิน รวมทั้งพิจารณาถึงความเหมาะสมขององค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ดูแลรับผิดชอบในปัจจุบันด้วย
โครงการทั้ง 2 โครงการนี้จะใช้ระยะเวลาในการดำเนินกากรประมาณ 18 เดือน และมีค่าใช้จ่ายโครงการละ 2,000,000 บาท และเนื่องจากโครงการศึกษาวิจัยทั้ง 2 โครงการดังกล่าว จะเป็นประโยชน์แก่การพัฒนาเศรษฐกิจสังคม และการบริหารราชการแผ่นดิน จึงสมควรจัดให้มีการวิจัยตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย และสำหรับเงินค่าใช้จ่ายของทั้ง 2 โครงการนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะใช้เงินค่าใช้จ่ายจากกองทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนากฎหมาย ซึ่งปัจจุบันเงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนากฎหมายมีอยู่จำนวน 65,477,161.11 บาท และมีภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายอยู่จำนวน 4,254,250 บาท คงเหลือเงินทุนหมุนเวียนที่สามารถนำไปใช้จ่ายงานพัฒนากฎหมายได้จำนวน61,222,911.11 บาท ดังนั้น โครงการศึกษาวิจัยทั้ง 2 โครงการนี้ จึงไม่จำเป็นต้องของบประมาณเพิ่มเติมแต่อย่างใดแต่เนื่องจากการนำเงินทุนหมุนเวียนดังกล่าวไปใช้จ่ายนั้น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะต้องทำความตกลงกับกระทรวงการคลังล่วงหน้าภายในเดือนมิถุนายน หากไม่สามารถดำเนินการได้ทัน จะต้องรายงานเหตุผลให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบและแนบสำเนาหนังสือดังกล่าวให้กระทรวงการคลังด้วย
3. โครงการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเกี่ยวกับการพัฒนากฎหมาย
โดยที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีหน้าที่สำคัญประการหนึ่งในการพิจารณาตรวจสอบบรรดากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ว่า มีปัญหาในการบังคับใช้และจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนากฎหมายต่อไปหรือไม่ เพียงใดทั้งนี้ ตามมาตรา 17 ตรี และมาตรา 17 เบญจ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 ดังนั้น เพื่อเป็นการรวบรวมข้อมูลพื้นฐานและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวล่วงหน้า อันจะเป็นการเตรียมความพร้อมในการพัฒนากฎหมายเพราะเป็นหนทางหนึ่งที่จะได้ทราบถึงปัญหาของกฎหมายต่าง ๆ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน สำนักงานฯ จึงเห็นสมควรจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นโดยทางไปรษณีย์จากประชาชนโดยทั่วไป และจากหน่วยงานทั้งในภาครัฐและภาคเอกชนเกี่ยวกับบทบัญญัติของกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับใด ๆ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันว่ามีความบกพร่องหรือไม่มีความเหมาะสมอย่างไร หรือสมควรให้มีการแก้ไขกฎหมายในเรื่องใด โดยมอบหมายให้ศูนย์พัฒนากฎหมายสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในฐานะหน่วยงานธุรการของคณะกรรมการพัฒนากฎหมายดำเนินการจัดให้มีตู้ ป.ณ. ของศูนย์พัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาขึ้น เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนโดยทั่วไปได้รับทราบถึงการดำเนินการดังกล่าวด้วย โดยเมื่อได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวแล้วสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อว่าหน่วยงานดังกล่าวจะแก้ไขปัญหาของตนได้และในเรื่องที่ยุ่งยากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะช่วยเหลือโดยการศึกษาและเสนอแนะต่อหน่วยงานดังกล่าวหรือคณะรัฐมนตรีต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 19 ธ.ค. 2543--
-สส-