ทำเนียบรัฐบาล--4 ก.ค.--นิวส์สแตนด์
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งเป็นการจัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนขึ้นเป็นองค์การมหาชน โดยการยุบรวมโครงการพัฒนาคนจนในเมือง และสำนักงานกองทุนพัฒนาชนบท ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาและกระทรวงการคลังเห็นชอบด้วยแล้ว และให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป
ร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ให้จัดตั้งองค์การมหาชนขึ้นเรียกว่า "สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)" เรียกโดยย่อว่า "พอช." มีสำนักงานใหญ่อยู่กรุงเทพมหานคร หรือจังหวัดใกล้เคียง
2. ให้สถาบันมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
2.1 สนับสนุนและให้การช่วยเหลือแก่องค์กรชุมชนและเครือข่ายองค์กรชุมชนเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ การพัฒนาอาชีพ การเพิ่มรายได้ การพัฒนาที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในชุมชนทั้งในเมืองและชนบท โดยยึดหลักการพัฒนาแบบองค์รวมหรือบูรณาการและหลักการพัฒนาที่สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมเป็นแนวทางสำคัญ ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและประชาสังคม
2.2 สนับสนุนและให้การช่วยเหลือทางการเงินแก่องค์กรชุมชนและเครือข่าย
2.3 สนับสนุนและให้การช่วยเหลือทางการเงินแก่องค์กรชุมชนและเครือข่ายองค์กรชุมชน
2.4 ส่งเสริมและสนับสนุนและสร้างความร่วมมือขององค์กรชุมชนและเครือข่ายองค์กรชุมชน ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัด และระดับประเทศ
3. ให้สถาบันมีอำนาจและหน้าที่ รวม 14 ประการ
4. ทุนและทรัพย์สินในการดำเนินกิจการของสถาบัน ประกอบด้วย
4.1 เงินและทรัพย์สินที่ได้รับโอนมา
4.2 เงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้ตามความเหมาะสมเป็นรายปี
4.3 เงินอุดหนุนจากภาคเอกชนหรือองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น รวมทั้งจากต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศและเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้
4.4 ค่าธรรมเนียม ค่าบำรุง ค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือรายได้จากการดำเนินการ
4.5 ดอกผลของเงินหรือรายได้จากทรัพย์สินของสถาบัน
5. รายได้ของสถาบันไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง และกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
6. ให้อสังหาริมทรัพย์ที่สถาบันได้มาจากการให้หรือจากการซื้อด้วยเงินรายได้ของสถาบันเป็นกรรมสิทธิ์ของสถาบัน
7. ให้มีคณะกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ประกอบด้วยประธานกรรมการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากบุคคลที่ได้รับการสรรหา กรรมการส่วนราชการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 4 คน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากบุคคลที่ได้รับการสรรหา จำนวน 2 คน และกรรมการผู้แทนองค์กรชุมชน จำนวน 3 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากบุคคลที่ได้รับการสรรหาจากตัวแทนองค์กรชุมชน โดยมีหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยการเสนอแนะของคณะกรรมการ
8. ประธานกรรมการและกรรมการต้องไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในกิจการที่ขัดหรือแย้งกับวัตถุประสงค์ของสถาบัน
9. ให้ประธานกรรมการ กรรมการผู้แทนองค์กรชุมชน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 3 ปี เมื่อพ้นตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้แต่เกิน 2 วาระติดต่อกันไม่ได้
10. ประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษา อนุกรรมการ และคณะทำงานให้ได้รับเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
11. ให้สถาบันมีผู้อำนวยการคนหนึ่งโดยคณะกรรมการเป็นผู้สรรหา แต่งตั้งและถอดถอนมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี เมื่อครบวาระอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้ แต่ไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน โดยให้มีหน้าที่และอำนาจตามร่างมาตรา 28 และมาตรา 29
12. ให้ผู้ปฏิบัติงานของสถาบันมี 3 ประเภทคือ เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญ และเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมาปฏิบัติงานของสถาบันเป็นการชั่วคราว
13. ให้สถาบันจัดทำงบดุล งบการเงิน และบัญชีทำการ ส่งผู้สอบบัญชีภายในเก้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีทุกปี โดยให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินหรือบุคคลภายนอกตามที่คณะกรรมการแต่งตั้งด้วยความเห็นชอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชี และประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินของสถาบัน และให้ทำรายงานประจำปีเสนอรัฐมนตรี
14. ให้สถาบันจัดให้มีการประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันตามระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนดแต่ต้องไม่นานกว่า 3 ปี โดยให้สถาบันหรือองค์กรที่เป็นกลางและมีความเชี่ยวชาญเป็นผู้ประเมินผลโดยมีการคัดเลือกตามวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด
15. ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินกิจการของสถาบันให้เป็นไปตามกฎหมาย และให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสถาบัน นโยบายของรัฐบาล และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับสถาบัน เพื่อการนี้ให้รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้สถาบันชี้แจงแสดงความคิดเห็น ทำรายงานหรือยับยั้งการกระทำของสถาบันที่ขัดต่อวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสถาบัน นโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับสถาบัน ตลอดจนสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินงานของสถาบันได้
16. ให้รัฐมนตรีเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติให้โอนอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน และเงินงบประมาณของโครงการพัฒนาคนจนในเมือง การเคหะแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนพัฒนาชนบท สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่มีอยู่ในวันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับไปเป็นของสถาบัน และให้ยุบเลิกโครงการพัฒนาคนจนในเมืองฯ และสำนักงานกองทุนพัฒนาชนบทฯ
17. ในวาระเริ่มแรกให้มีคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ทำหน้าที่สรรหาประธานกรรมการและกรรมการ และปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ เท่าที่จำเป็นเกี่ยวกับสถาบันจนกว่าจะมีคณะกรรมการตามพระราชกฤษฎีกานี้
18. ให้ลูกจ้างของสำนักงานพัฒนาชุมชนเมือง การเคหะแห่งชาติ และลูกจ้างของสำนักงานกองทุนพัฒนาชนบท สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีสิทธิขอเปลี่ยนไปเป็นเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของสถาบันตามพระราชกฤษฎีกานี้ ไม่ถือว่าเป็นการออกจากงานเพราะสังกัดเดิมเลิกจ้างหรือทางราชการเลิกหรือยุบตำแหน่ง
19. ลูกจ้างที่ไม่ประสงค์โอนหรือไม่ผ่านการคัดเลือกและประเมินผลให้ถือว่าลูกจ้างผู้นั้นออกจากงานเพราะยุบตำแหน่งหรือเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด หรือเป็นการให้ออกจากราชการเพราะทางราชการเลิกหรือยุบตำแหน่งโดยไม่มีความผิด และให้ได้สิทธิประโยชน์เกี่ยวกับค่าชดเชยตามกฎหมายว่าด้วยพนังงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ หรือได้รับบำเหน็จตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้างแล้วแต่กรณี
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 4 ก.ค. 2543--
-สส-
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งเป็นการจัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนขึ้นเป็นองค์การมหาชน โดยการยุบรวมโครงการพัฒนาคนจนในเมือง และสำนักงานกองทุนพัฒนาชนบท ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาและกระทรวงการคลังเห็นชอบด้วยแล้ว และให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เพื่อประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป
ร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ให้จัดตั้งองค์การมหาชนขึ้นเรียกว่า "สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)" เรียกโดยย่อว่า "พอช." มีสำนักงานใหญ่อยู่กรุงเทพมหานคร หรือจังหวัดใกล้เคียง
2. ให้สถาบันมีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
2.1 สนับสนุนและให้การช่วยเหลือแก่องค์กรชุมชนและเครือข่ายองค์กรชุมชนเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ การพัฒนาอาชีพ การเพิ่มรายได้ การพัฒนาที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในชุมชนทั้งในเมืองและชนบท โดยยึดหลักการพัฒนาแบบองค์รวมหรือบูรณาการและหลักการพัฒนาที่สมาชิกชุมชนมีส่วนร่วมเป็นแนวทางสำคัญ ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและประชาสังคม
2.2 สนับสนุนและให้การช่วยเหลือทางการเงินแก่องค์กรชุมชนและเครือข่าย
2.3 สนับสนุนและให้การช่วยเหลือทางการเงินแก่องค์กรชุมชนและเครือข่ายองค์กรชุมชน
2.4 ส่งเสริมและสนับสนุนและสร้างความร่วมมือขององค์กรชุมชนและเครือข่ายองค์กรชุมชน ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับจังหวัด และระดับประเทศ
3. ให้สถาบันมีอำนาจและหน้าที่ รวม 14 ประการ
4. ทุนและทรัพย์สินในการดำเนินกิจการของสถาบัน ประกอบด้วย
4.1 เงินและทรัพย์สินที่ได้รับโอนมา
4.2 เงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้ตามความเหมาะสมเป็นรายปี
4.3 เงินอุดหนุนจากภาคเอกชนหรือองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น รวมทั้งจากต่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศและเงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้
4.4 ค่าธรรมเนียม ค่าบำรุง ค่าตอบแทน ค่าบริการ หรือรายได้จากการดำเนินการ
4.5 ดอกผลของเงินหรือรายได้จากทรัพย์สินของสถาบัน
5. รายได้ของสถาบันไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง และกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
6. ให้อสังหาริมทรัพย์ที่สถาบันได้มาจากการให้หรือจากการซื้อด้วยเงินรายได้ของสถาบันเป็นกรรมสิทธิ์ของสถาบัน
7. ให้มีคณะกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ประกอบด้วยประธานกรรมการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากบุคคลที่ได้รับการสรรหา กรรมการส่วนราชการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 4 คน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากบุคคลที่ได้รับการสรรหา จำนวน 2 คน และกรรมการผู้แทนองค์กรชุมชน จำนวน 3 คน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากบุคคลที่ได้รับการสรรหาจากตัวแทนองค์กรชุมชน โดยมีหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดโดยการเสนอแนะของคณะกรรมการ
8. ประธานกรรมการและกรรมการต้องไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในกิจการที่ขัดหรือแย้งกับวัตถุประสงค์ของสถาบัน
9. ให้ประธานกรรมการ กรรมการผู้แทนองค์กรชุมชน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 3 ปี เมื่อพ้นตำแหน่งตามวาระอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้แต่เกิน 2 วาระติดต่อกันไม่ได้
10. ประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษา อนุกรรมการ และคณะทำงานให้ได้รับเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
11. ให้สถาบันมีผู้อำนวยการคนหนึ่งโดยคณะกรรมการเป็นผู้สรรหา แต่งตั้งและถอดถอนมีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี เมื่อครบวาระอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้ แต่ไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน โดยให้มีหน้าที่และอำนาจตามร่างมาตรา 28 และมาตรา 29
12. ให้ผู้ปฏิบัติงานของสถาบันมี 3 ประเภทคือ เจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญ และเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมาปฏิบัติงานของสถาบันเป็นการชั่วคราว
13. ให้สถาบันจัดทำงบดุล งบการเงิน และบัญชีทำการ ส่งผู้สอบบัญชีภายในเก้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีทุกปี โดยให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินหรือบุคคลภายนอกตามที่คณะกรรมการแต่งตั้งด้วยความเห็นชอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชี และประเมินผลการใช้จ่ายเงินและทรัพย์สินของสถาบัน และให้ทำรายงานประจำปีเสนอรัฐมนตรี
14. ให้สถาบันจัดให้มีการประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันตามระยะเวลาที่คณะกรรมการกำหนดแต่ต้องไม่นานกว่า 3 ปี โดยให้สถาบันหรือองค์กรที่เป็นกลางและมีความเชี่ยวชาญเป็นผู้ประเมินผลโดยมีการคัดเลือกตามวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด
15. ให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินกิจการของสถาบันให้เป็นไปตามกฎหมาย และให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสถาบัน นโยบายของรัฐบาล และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับสถาบัน เพื่อการนี้ให้รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้สถาบันชี้แจงแสดงความคิดเห็น ทำรายงานหรือยับยั้งการกระทำของสถาบันที่ขัดต่อวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสถาบัน นโยบายของรัฐบาลหรือมติของคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับสถาบัน ตลอดจนสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินงานของสถาบันได้
16. ให้รัฐมนตรีเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติให้โอนอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน และเงินงบประมาณของโครงการพัฒนาคนจนในเมือง การเคหะแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนพัฒนาชนบท สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่มีอยู่ในวันที่พระราชกฤษฎีกาใช้บังคับไปเป็นของสถาบัน และให้ยุบเลิกโครงการพัฒนาคนจนในเมืองฯ และสำนักงานกองทุนพัฒนาชนบทฯ
17. ในวาระเริ่มแรกให้มีคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ทำหน้าที่สรรหาประธานกรรมการและกรรมการ และปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ เท่าที่จำเป็นเกี่ยวกับสถาบันจนกว่าจะมีคณะกรรมการตามพระราชกฤษฎีกานี้
18. ให้ลูกจ้างของสำนักงานพัฒนาชุมชนเมือง การเคหะแห่งชาติ และลูกจ้างของสำนักงานกองทุนพัฒนาชนบท สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีสิทธิขอเปลี่ยนไปเป็นเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างของสถาบันตามพระราชกฤษฎีกานี้ ไม่ถือว่าเป็นการออกจากงานเพราะสังกัดเดิมเลิกจ้างหรือทางราชการเลิกหรือยุบตำแหน่ง
19. ลูกจ้างที่ไม่ประสงค์โอนหรือไม่ผ่านการคัดเลือกและประเมินผลให้ถือว่าลูกจ้างผู้นั้นออกจากงานเพราะยุบตำแหน่งหรือเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด หรือเป็นการให้ออกจากราชการเพราะทางราชการเลิกหรือยุบตำแหน่งโดยไม่มีความผิด และให้ได้สิทธิประโยชน์เกี่ยวกับค่าชดเชยตามกฎหมายว่าด้วยพนังงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ หรือได้รับบำเหน็จตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยบำเหน็จลูกจ้างแล้วแต่กรณี
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 4 ก.ค. 2543--
-สส-