ทำเนียบรัฐบาล--11 เม.ย.--นิวส์สแตนด์
ให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญาระหว่างไทยกับสาธารณรัฐเช็ก
คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศลงนามและให้สัตยาบันความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเช็กว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำผิดและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญาในโอกาสอันเหมาะสม ตามแต่จะตกลงกับฝ่ายสาธารณรัฐเช็กต่อไป ทั้งนี้ ร่างความตกลงดังกล่าวมีหลักการสำคัญเช่นเดียวกับความตกลงประเภทนี้ที่ประเทศไทยทำกับประเทศต่าง ๆ โดยได้กำหนดเงื่อนไขและขั้นตอนในการขอโอนและการรับโอนตัวผู้กระทำผิดระหว่างรัฐภาคี สรุปสาระสำคัญ คือ
1. บุคคลที่ต้องโทษตามคำพิพากษาในดินแดนของภาคีฝ่ายหนึ่ง อาจได้รับการโอนตัวไปยังดินแดนของภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง
2. ผู้กระทำผิดเป็นคนชาติของรัฐผู้รับ
3. ความผิดที่มีคำพิพากษาลงโทษนั้นเป็นความผิดทางอาญาที่ลงโทษได้ทั้งในรัฐผู้รับและในรัฐผู้โอน
4. ผู้กระทำความผิดต่อความมั่นคงภายในหรือภายนอกของรัฐ ต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระราชโอรส หรือพระราชธิดา (หรือประมุขของรัฐ คู่สมรส หรือบุตร หรือธิดา ในกรณีของสาธารณรัฐเช็ก) หรือต่อกฎหมายคุ้มครองสมบัติที่มีค่าทางศิลปะของชาติจะไม่ได้รับการโอนตัว
5. รัฐผู้โอน รัฐผู้รับ และผู้กระทำผิดเห็นชอบต่อการโอนตัว
6. ผู้กระทำผิดจะต้องได้รับโทษในรัฐผู้โอนมาแล้วเป็นระยะเวลาขั้นต่ำตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายของรัฐผู้โอน
7. มีระยะเวลารับโทษเหลืออยู่อีกไม่น้อยกว่า 1 ปี
8. รัฐผู้โอนยังคงไว้ซึ่งเขตอำนาจแต่ผู้เดียวเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลตน ตลอดจนการแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกคำพิพากษาของศาลตน
9. การบังคับโทษตามคำพิพากษาต่อภายหลังการโอนตัว ให้เป็นไปตามกฎหมายและวิธีการของรัฐผู้รับ
ความตกลงฉบับนี้จะต้องได้รับการสัตยาบัน และจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่หกสิบหลังวันแลกเปลี่ยนสัตยาบันสาร
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 11 เมษายน 2543--
ให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญาระหว่างไทยกับสาธารณรัฐเช็ก
คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศลงนามและให้สัตยาบันความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐเช็กว่าด้วยการโอนตัวผู้กระทำผิดและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญาในโอกาสอันเหมาะสม ตามแต่จะตกลงกับฝ่ายสาธารณรัฐเช็กต่อไป ทั้งนี้ ร่างความตกลงดังกล่าวมีหลักการสำคัญเช่นเดียวกับความตกลงประเภทนี้ที่ประเทศไทยทำกับประเทศต่าง ๆ โดยได้กำหนดเงื่อนไขและขั้นตอนในการขอโอนและการรับโอนตัวผู้กระทำผิดระหว่างรัฐภาคี สรุปสาระสำคัญ คือ
1. บุคคลที่ต้องโทษตามคำพิพากษาในดินแดนของภาคีฝ่ายหนึ่ง อาจได้รับการโอนตัวไปยังดินแดนของภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง
2. ผู้กระทำผิดเป็นคนชาติของรัฐผู้รับ
3. ความผิดที่มีคำพิพากษาลงโทษนั้นเป็นความผิดทางอาญาที่ลงโทษได้ทั้งในรัฐผู้รับและในรัฐผู้โอน
4. ผู้กระทำความผิดต่อความมั่นคงภายในหรือภายนอกของรัฐ ต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระราชโอรส หรือพระราชธิดา (หรือประมุขของรัฐ คู่สมรส หรือบุตร หรือธิดา ในกรณีของสาธารณรัฐเช็ก) หรือต่อกฎหมายคุ้มครองสมบัติที่มีค่าทางศิลปะของชาติจะไม่ได้รับการโอนตัว
5. รัฐผู้โอน รัฐผู้รับ และผู้กระทำผิดเห็นชอบต่อการโอนตัว
6. ผู้กระทำผิดจะต้องได้รับโทษในรัฐผู้โอนมาแล้วเป็นระยะเวลาขั้นต่ำตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายของรัฐผู้โอน
7. มีระยะเวลารับโทษเหลืออยู่อีกไม่น้อยกว่า 1 ปี
8. รัฐผู้โอนยังคงไว้ซึ่งเขตอำนาจแต่ผู้เดียวเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลตน ตลอดจนการแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกคำพิพากษาของศาลตน
9. การบังคับโทษตามคำพิพากษาต่อภายหลังการโอนตัว ให้เป็นไปตามกฎหมายและวิธีการของรัฐผู้รับ
ความตกลงฉบับนี้จะต้องได้รับการสัตยาบัน และจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่หกสิบหลังวันแลกเปลี่ยนสัตยาบันสาร
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 11 เมษายน 2543--