ทำเนียบรัฐบาล--9 พ.ค.--นิวส์สแตนด์
คณะรัฐมนตรีอนุมัติร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543 อนุมัติในหลักการร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยและกฎหมายเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง รวม 5 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วให้นำเสนอคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
สำหรับการแก้ไขเพิ่มเติมจากร่างเดิมฯ สืบเนื่องมาจากปัญหาวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาระบบสถาบันการเงินของประเทศที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีส่วนรับผิดชอบอยู่ จึงได้มีการศึกษาของคณะกรรมการการศึกษาและเสนอแนะมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบการเงินของประเทศ (ศปร.1) และของผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศที่ประกอบด้วยผู้ที่มีประสบการณ์ในการบริหารธนาคารกลางจากประเทศต่างๆ เพื่อเสนอแนะการปรับปรุงโครงสร้างของธนาคารแห่งประเทศไทยให้การบริหารนโยบายการเงินมีความเหมาะสมและชัดเจน และเป็นไปตามมาตรฐานสากล ในการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งนี้จึงเป็นไปตามหลักการสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1) ความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย 2) ความโปร่งใสในการดำเนินนโยบายการเงิน และ 3) การถ่วงดุลอำนาจที่เหมาะสม อันสอดคล้องกับข้อเสนอแนะของ ศปร.1 และของผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
1. ความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยพิจารณาได้จากโครงสร้างขององค์กร การดำเนินงาน และบุคลากร ดังนี้
1.1 โครงสร้างของธนาคาร กำหนดธนาคารเป็นนิติบุคคล ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระของรัฐ แต่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
1.2 การดำเนินงาน ซึ่งจะเห็นได้จากการดำเนินการของธนาคารฯ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในด้านนโยบายการเงินและนโยบายสถาบันการเงิน ซึ่งรวมไปถึงการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการรักษาสเถียรภาพราคาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี จะเป็นไปอย่างอิสระภายใต้กรอบภารกิจ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจและหน้าที่กำกับดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของธนาคารฯ ซึ่งการกำกับดูแลเป็นความสัมพันธ์ในระดับที่อ่อนที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับอำนาจควบคุมหรืออำนาจบังคับบัญชา ซึ่งรัฐมนตรีฯ จะไม่มีอำนาจดำเนินการหรือสั่งการใดได้นอกจากจะให้ความคิดเห็นต่อธนาคารฯ หรือเรียกธนาคารฯ มาชี้แจงหรือรายงานเท่านั้น หากธนาคารฯ ใช้อำนาจดำเนินการในเรื่องใดแล้ว รัฐมนตรีฯ จะตรวจสอบในเรื่องของการใช้ดุลยพินิจไม่ได้ แต่จะตรวจสอบหรือทักท้วงได้หากดำเนินการดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สำหรับความเป็นอิสระในการดำเนินการของธนาคารฯ อีกประการหนึ่ง คือ การห้ามธนาคารฯ ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่รัฐบาลเว้นแต่ในกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ มิฉะนั้นอาจทำให้ธนาคารฯ ทำหน้าที่ของธนาคารฯ ได้ไม่เป็นอิสระจากการที่ต้องอัดฉีดเงินให้แก่รัฐบาล ซึ่งอาจมีผลเป็นการเพิ่มปริมาณเงินที่อาจมีผลกระทบต่อเป้าหมายในการรักษาเสถียรภาพราคา (อัตราเงินเฟ้อ) ที่กำหนดไว้ได้
1.3 บุคลากร โดยการกำหนดให้มีวาระในการดำรงตำแหน่งและการกำหนดให้มีเหตุในการถอดถอนจากตำแหน่งที่ชัดเจน ทำให้กรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย คณะกรรมการนโยบายการเงิน และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน รวมทั้งผู้ว่าการและรองผู้ว่าการมีความเป็นอิสระในการปฏิบัติงาน เพราะหากจะถอดถอนจากตำแหน่งก่อนสิ้นสุดวาระก็จะต้องเป็นไปตามที่กำหนดไว้ซึ่งเปรียบเสมือนเกราะสำหรับบุคลากรที่ปฏิบัติโดยสุจริต ไม่อาจถูกถอดถอนด้วยเหตุในเรื่องนโยบายไม่ตรงกับรัฐบาลหรือเหตุอื่นจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง
2. ความโปร่งใสในการดำเนินนโยบายการเงิน ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติในเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้
2.1 การแยกแยะทำหน้าที่ระหว่างงานด้านนโยบายการเงินและนโยบายสถาบันการเงิน ซึ่งมีลักษณะและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน โดยในการดำเนินงานจะมีคณะกรรมการ 2 ชุด พิจารณากำหนดนโยบายแต่ละเรื่อง ซึ่งการแยกกันดังกล่าวทำให้การกำหนดนโยบายไม่สับสนและประเมินประสิทธิภาพของผลงานแต่ละส่วนได้ชัดเจนขึ้น
2.2 การเปิดเผยข้อมูลของธนาคารในลักษณะต่างๆ ได้แก่
1) การประกาศเป้าหมายของนโยบายการเงินที่คณะรัฐมนตรี อนุมัติแล้วในราชกิจจานุเบกษา
2) การเปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในราชกิจจานุเบกษา
3) การเปิดเผยรายงานผลการสอบบัญชีประจำปีไปยังคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และจะต้องลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้สาธารณชนทราบ
4) การเปิดเผยรายงานเกี่ยวกับนโยบายการเงิน แนวทางการดำเนินงาน การประเมินผลการดำเนินงานในระบบหกเดือนที่ผ่านมา เสนอต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เพื่อทราบ
3. การถ่วงดุลอำนาจที่เหมาะสม ซึ่งกำหนดในพระราชบัญญัติดังกล่าว มีดังนี้
3.1 การกำหนดให้ธนาคารดำเนินการภายใต้วัตถุประสงค์ โดยพึงคำนึงถึงการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล เป็นการกำหนดให้ธนาคารจะต้องนำนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลมาประกอบการพิจารณากำหนดเป้าหมายด้วย
3.2 การอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงินโดยคณะรัฐมนตรี และการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป้าหมายเมื่อมีเหตุอันสมควรก็จะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ก็เป็นการคานอำนาจของธนาคารให้อยู่ในทิศทางที่เหมาะสม เพราะทางการเมืองได้รับรู้ถึงการดำเนินการของธนาคารซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
3.3 กำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ว่าการและรองผู้ว่าการ โดยคณะรัฐมนตรีเป็นผู้แนะนำเป็นการคานไม่ให้ฝ่ายบริหารธนาคารมีอำนาจมากเกินไป แต่เมื่อดำรงตำแหน่งแล้วก็จะมีวาระและเหตุถอดถอนผู้ว่าการหรือผู้ว่าการ ทำให้ฝ่ายการเมืองไม่อาจถอดถอนออกจากตำแหน่งได้ตามอำเภอใจ
3.4 ในทำนองเดียวกันกับกรรมการในคณะกรรมการของธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการนโยบายการเงิน ที่เป็นคณะกรรมการอื่นที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิก็จะได้รับการแต่งตั้งและถอดถอนโดยคณะรัฐมนตรี และเมื่อดำรงตำแหน่งก็จะมีสาระและเหตุถอดถอนเช่นเดียวกันกับผู้ว่าการและรองผู้ว่าการ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 9 พฤษภาคม 2543--
-สส-
คณะรัฐมนตรีอนุมัติร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2543 อนุมัติในหลักการร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยและกฎหมายเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง รวม 5 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วให้นำเสนอคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
สำหรับการแก้ไขเพิ่มเติมจากร่างเดิมฯ สืบเนื่องมาจากปัญหาวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาระบบสถาบันการเงินของประเทศที่ธนาคารแห่งประเทศไทยมีส่วนรับผิดชอบอยู่ จึงได้มีการศึกษาของคณะกรรมการการศึกษาและเสนอแนะมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบการเงินของประเทศ (ศปร.1) และของผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศที่ประกอบด้วยผู้ที่มีประสบการณ์ในการบริหารธนาคารกลางจากประเทศต่างๆ เพื่อเสนอแนะการปรับปรุงโครงสร้างของธนาคารแห่งประเทศไทยให้การบริหารนโยบายการเงินมีความเหมาะสมและชัดเจน และเป็นไปตามมาตรฐานสากล ในการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งนี้จึงเป็นไปตามหลักการสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1) ความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย 2) ความโปร่งใสในการดำเนินนโยบายการเงิน และ 3) การถ่วงดุลอำนาจที่เหมาะสม อันสอดคล้องกับข้อเสนอแนะของ ศปร.1 และของผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
1. ความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยพิจารณาได้จากโครงสร้างขององค์กร การดำเนินงาน และบุคลากร ดังนี้
1.1 โครงสร้างของธนาคาร กำหนดธนาคารเป็นนิติบุคคล ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระของรัฐ แต่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
1.2 การดำเนินงาน ซึ่งจะเห็นได้จากการดำเนินการของธนาคารฯ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในด้านนโยบายการเงินและนโยบายสถาบันการเงิน ซึ่งรวมไปถึงการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการรักษาสเถียรภาพราคาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี จะเป็นไปอย่างอิสระภายใต้กรอบภารกิจ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจและหน้าที่กำกับดูแลโดยทั่วไปซึ่งกิจการของธนาคารฯ ซึ่งการกำกับดูแลเป็นความสัมพันธ์ในระดับที่อ่อนที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับอำนาจควบคุมหรืออำนาจบังคับบัญชา ซึ่งรัฐมนตรีฯ จะไม่มีอำนาจดำเนินการหรือสั่งการใดได้นอกจากจะให้ความคิดเห็นต่อธนาคารฯ หรือเรียกธนาคารฯ มาชี้แจงหรือรายงานเท่านั้น หากธนาคารฯ ใช้อำนาจดำเนินการในเรื่องใดแล้ว รัฐมนตรีฯ จะตรวจสอบในเรื่องของการใช้ดุลยพินิจไม่ได้ แต่จะตรวจสอบหรือทักท้วงได้หากดำเนินการดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สำหรับความเป็นอิสระในการดำเนินการของธนาคารฯ อีกประการหนึ่ง คือ การห้ามธนาคารฯ ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่รัฐบาลเว้นแต่ในกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ มิฉะนั้นอาจทำให้ธนาคารฯ ทำหน้าที่ของธนาคารฯ ได้ไม่เป็นอิสระจากการที่ต้องอัดฉีดเงินให้แก่รัฐบาล ซึ่งอาจมีผลเป็นการเพิ่มปริมาณเงินที่อาจมีผลกระทบต่อเป้าหมายในการรักษาเสถียรภาพราคา (อัตราเงินเฟ้อ) ที่กำหนดไว้ได้
1.3 บุคลากร โดยการกำหนดให้มีวาระในการดำรงตำแหน่งและการกำหนดให้มีเหตุในการถอดถอนจากตำแหน่งที่ชัดเจน ทำให้กรรมการในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย คณะกรรมการนโยบายการเงิน และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน รวมทั้งผู้ว่าการและรองผู้ว่าการมีความเป็นอิสระในการปฏิบัติงาน เพราะหากจะถอดถอนจากตำแหน่งก่อนสิ้นสุดวาระก็จะต้องเป็นไปตามที่กำหนดไว้ซึ่งเปรียบเสมือนเกราะสำหรับบุคลากรที่ปฏิบัติโดยสุจริต ไม่อาจถูกถอดถอนด้วยเหตุในเรื่องนโยบายไม่ตรงกับรัฐบาลหรือเหตุอื่นจากการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง
2. ความโปร่งใสในการดำเนินนโยบายการเงิน ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติในเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้
2.1 การแยกแยะทำหน้าที่ระหว่างงานด้านนโยบายการเงินและนโยบายสถาบันการเงิน ซึ่งมีลักษณะและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน โดยในการดำเนินงานจะมีคณะกรรมการ 2 ชุด พิจารณากำหนดนโยบายแต่ละเรื่อง ซึ่งการแยกกันดังกล่าวทำให้การกำหนดนโยบายไม่สับสนและประเมินประสิทธิภาพของผลงานแต่ละส่วนได้ชัดเจนขึ้น
2.2 การเปิดเผยข้อมูลของธนาคารในลักษณะต่างๆ ได้แก่
1) การประกาศเป้าหมายของนโยบายการเงินที่คณะรัฐมนตรี อนุมัติแล้วในราชกิจจานุเบกษา
2) การเปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในราชกิจจานุเบกษา
3) การเปิดเผยรายงานผลการสอบบัญชีประจำปีไปยังคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และจะต้องลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้สาธารณชนทราบ
4) การเปิดเผยรายงานเกี่ยวกับนโยบายการเงิน แนวทางการดำเนินงาน การประเมินผลการดำเนินงานในระบบหกเดือนที่ผ่านมา เสนอต่อคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เพื่อทราบ
3. การถ่วงดุลอำนาจที่เหมาะสม ซึ่งกำหนดในพระราชบัญญัติดังกล่าว มีดังนี้
3.1 การกำหนดให้ธนาคารดำเนินการภายใต้วัตถุประสงค์ โดยพึงคำนึงถึงการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล เป็นการกำหนดให้ธนาคารจะต้องนำนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลมาประกอบการพิจารณากำหนดเป้าหมายด้วย
3.2 การอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงินโดยคณะรัฐมนตรี และการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป้าหมายเมื่อมีเหตุอันสมควรก็จะต้องได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ก็เป็นการคานอำนาจของธนาคารให้อยู่ในทิศทางที่เหมาะสม เพราะทางการเมืองได้รับรู้ถึงการดำเนินการของธนาคารซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
3.3 กำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งผู้ว่าการและรองผู้ว่าการ โดยคณะรัฐมนตรีเป็นผู้แนะนำเป็นการคานไม่ให้ฝ่ายบริหารธนาคารมีอำนาจมากเกินไป แต่เมื่อดำรงตำแหน่งแล้วก็จะมีวาระและเหตุถอดถอนผู้ว่าการหรือผู้ว่าการ ทำให้ฝ่ายการเมืองไม่อาจถอดถอนออกจากตำแหน่งได้ตามอำเภอใจ
3.4 ในทำนองเดียวกันกับกรรมการในคณะกรรมการของธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการนโยบายการเงิน ที่เป็นคณะกรรมการอื่นที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิก็จะได้รับการแต่งตั้งและถอดถอนโดยคณะรัฐมนตรี และเมื่อดำรงตำแหน่งก็จะมีสาระและเหตุถอดถอนเช่นเดียวกันกับผู้ว่าการและรองผู้ว่าการ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 9 พฤษภาคม 2543--
-สส-