คณะรัฐมนตรีพิจารณาการสนับสนุนการจัดตั้งสถานศึกษาเอกชน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ให้ผ่อนผันหลักเกณฑ์การขอกู้เงินตามนโยบายสนับสนุนภาคเอกชนลงทุนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แล้วมีมติอนุมัติดังนี้
1. การให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียน นักศึกษาที่มาจากครอบครัวที่มีรายได้น้อยสำหรับกรณี
1.1 การกู้เงินไปสร้างอาคารเรียนให้จัดสรรทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนผู้เรียน ตามความจุของอาคารที่สร้างใหม่
1.2 การกู้เงินเพื่อจัดหาครุภัณฑ์และ/หรือสร้างอาคารประกอบ ให้จัดสรรทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 ของจำนวนนักเรียนส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นจากเดิม แต่ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ 1 ของจำนวนเงินที่ขอรับการสนับสนุน
1.3 การกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง ไม่ต้องนำมาจัดสรรทุน
2. การกู้เงินลงทุนในทรัพย์สินถาวรให้ขยายเวลาชำระหนี้เป็นไม่เกิน 20 ปี โดยรวมระยะเวลาปลอดการชำระหนี้เงินต้นไม่เกิน 6 ปี
3. การผ่อนผันหลักเกณฑ์ดังกล่าวนี้ ให้มีผลย้อนหลังแก่สถานศึกษาเอกชนที่เข้าร่วมโครงการก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติในครั้งนี้คือกรณี
3.1 สถานศึกษาเอกชนที่เข้าร่วมโครงการและยังไม่ครบระยะเวลาการปลอดการชำระหนี้ให้ได้รับสิทธิตามข้อ 2 ด้วย
3.2 สถานศึกษาเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ และครบระยะเวลาปลอดการชำระหนี้แล้วให้ได้รับสิทธิเฉพาะการขยายเวลาการชำระหนี้จากไม่เกิน 15 ปี เป็นไม่เกิน 20 ปี เท่านั้น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นางสิริกร มณีรินทร์) เสนอว่า การจัดตั้งกองทุนเงินให้กู้ยืมตามโครงการสนับสนุนการจัดตั้งสถานศึกษาเอกชน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง ทบวงมหาวิทยาลัย และกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ได้ร่วมกันดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน มีวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 20,000 ล้านบาท ซึ่งปรากฏว่ามีเอกชนมาขอกู้เงินเพียง 16 ราย ในวงเงิน 1,469 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากหลักเกณฑ์การกู้เงินที่กำหนดให้ผู้กู้เงินต้องนำเงินกู้ส่วนหนึ่งมาจัดสรรทุนการศึกษาด้วย ทำให้ไม่จูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนในการจัดการศึกษา ดังนั้น หากมีการผ่อนปรนหลักเกณฑ์การขอกู้เงินดังกล่าว จะเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมให้ภาคเอกชนสนใจที่จะมาลงทุนและขอกู้เงินจากกองทุนเพิ่มมากขึ้น
สำหรับวัตถุประสงค์ของการขอกู้เงิน อาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ เพื่อสร้างอาคารเรียน เพื่อจัดหาครุภัณฑ์และสร้างอาคารประกอบ และเพื่อเสริมสภาพคล่อง ซึ่งในส่วนของการขอกู้เงินเพื่อจัดหาครุภัณฑ์และสร้างอาคารประกอบ จะเป็นกรณีการขอกู้เงินของสถานศึกษาที่มีนักเรียนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้น หลักเกณฑ์ในการจัดสรรทุนจึงควรคิดเฉพาะจำนวนส่วนต่างของนักเรียนที่เพิ่มขึ้นจากเดิมเท่านั้น แต่จะต้องไม่เกินร้อยละ 0.25 ของวงเงินที่กู้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 22 ต.ค. 44--
-สส-
1. การให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียน นักศึกษาที่มาจากครอบครัวที่มีรายได้น้อยสำหรับกรณี
1.1 การกู้เงินไปสร้างอาคารเรียนให้จัดสรรทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนผู้เรียน ตามความจุของอาคารที่สร้างใหม่
1.2 การกู้เงินเพื่อจัดหาครุภัณฑ์และ/หรือสร้างอาคารประกอบ ให้จัดสรรทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 ของจำนวนนักเรียนส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นจากเดิม แต่ทั้งนี้ไม่เกินร้อยละ 1 ของจำนวนเงินที่ขอรับการสนับสนุน
1.3 การกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง ไม่ต้องนำมาจัดสรรทุน
2. การกู้เงินลงทุนในทรัพย์สินถาวรให้ขยายเวลาชำระหนี้เป็นไม่เกิน 20 ปี โดยรวมระยะเวลาปลอดการชำระหนี้เงินต้นไม่เกิน 6 ปี
3. การผ่อนผันหลักเกณฑ์ดังกล่าวนี้ ให้มีผลย้อนหลังแก่สถานศึกษาเอกชนที่เข้าร่วมโครงการก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติในครั้งนี้คือกรณี
3.1 สถานศึกษาเอกชนที่เข้าร่วมโครงการและยังไม่ครบระยะเวลาการปลอดการชำระหนี้ให้ได้รับสิทธิตามข้อ 2 ด้วย
3.2 สถานศึกษาเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ และครบระยะเวลาปลอดการชำระหนี้แล้วให้ได้รับสิทธิเฉพาะการขยายเวลาการชำระหนี้จากไม่เกิน 15 ปี เป็นไม่เกิน 20 ปี เท่านั้น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นางสิริกร มณีรินทร์) เสนอว่า การจัดตั้งกองทุนเงินให้กู้ยืมตามโครงการสนับสนุนการจัดตั้งสถานศึกษาเอกชน ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการคลัง ทบวงมหาวิทยาลัย และกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ได้ร่วมกันดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน มีวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 20,000 ล้านบาท ซึ่งปรากฏว่ามีเอกชนมาขอกู้เงินเพียง 16 ราย ในวงเงิน 1,469 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากหลักเกณฑ์การกู้เงินที่กำหนดให้ผู้กู้เงินต้องนำเงินกู้ส่วนหนึ่งมาจัดสรรทุนการศึกษาด้วย ทำให้ไม่จูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามาลงทุนในการจัดการศึกษา ดังนั้น หากมีการผ่อนปรนหลักเกณฑ์การขอกู้เงินดังกล่าว จะเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมให้ภาคเอกชนสนใจที่จะมาลงทุนและขอกู้เงินจากกองทุนเพิ่มมากขึ้น
สำหรับวัตถุประสงค์ของการขอกู้เงิน อาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ เพื่อสร้างอาคารเรียน เพื่อจัดหาครุภัณฑ์และสร้างอาคารประกอบ และเพื่อเสริมสภาพคล่อง ซึ่งในส่วนของการขอกู้เงินเพื่อจัดหาครุภัณฑ์และสร้างอาคารประกอบ จะเป็นกรณีการขอกู้เงินของสถานศึกษาที่มีนักเรียนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้น หลักเกณฑ์ในการจัดสรรทุนจึงควรคิดเฉพาะจำนวนส่วนต่างของนักเรียนที่เพิ่มขึ้นจากเดิมเท่านั้น แต่จะต้องไม่เกินร้อยละ 0.25 ของวงเงินที่กู้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 22 ต.ค. 44--
-สส-