แท็ก
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
สาธารณรัฐประชาชนจีน
มาตรการช่วยเหลือ
นายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2548 ตามที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร รายงาน โดยคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ได้มีมติดังนี้
1. มอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
1) เป็นหน่วยงานระดับกระทรวงทำหน้าที่บริหารจัดการลำไยทั้งระบบอย่างบูรณาการ ทั้งนี้ให้ยกเลิกคณะอนุกรรมการขายลำไยอบแห้งแลกเปลี่ยนกับยุทโธปกรณ์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน และให้กระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้ดำเนินการต่อไป
2) เป็นผู้เจรจาประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของจีน (COSTIND) โดยนำข้อเสนอของคณะอนุกรรมการขายลำไยอบแห้งฯ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับกระทรวงกลาโหมในด้านการจัดหายุทโธปกรณ์มาประกอบการพิจารณาด้วย ทั้งนี้ เห็นควรให้ผู้แทนในคณะอนุกรรมการขายลำไยอบแห้งฯ เดิม สนับสนุนการเจรจาและประสานงานตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นสมควรต่อไป
2. ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ตอบหนังสือในนามรัฐบาลไทย ไปยังรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน (COSTIND) ตามหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2548
3. การดำเนินการตามข้อ 1 — 2 ควรพิจารณาดำเนินการโดยเร่งด่วนเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้จากคุณภาพของลำไยที่เก็บไว้นานจนเสียหายหรือเสื่อมค่า
4. เห็นควรนำมติ คชก. และผลความคืบหน้า รายงาน คณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2548 รับทราบและเห็นชอบการดำเนินการเกี่ยวกับการซื้อขายลำไยอบแห้งแลกเปลี่ยนยุทโธปกรณ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนตามที่ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธาน คชก. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ และโดยที่เรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีน จึงให้ประธาน คชก. ประสานดำเนินการกับกระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อจัดทำหนังสือในนามรัฐบาลไทยไปยังผู้แทนรัฐบาลจีน (COSTIND) โดยผ่านสถานทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทยต่อไป
ซึ่งนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้มีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศเพื่อขอให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยในวันที่ 22 มิถุนายน 2548 กระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือไปยังสถานทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีสาระสำคัญ เพื่อเร่งรัดให้มีการปฏิบัติตามเงื่อนไข MOU / Agreement ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน
ต่อมาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2548 COSTIND ได้มีหนังสือตอบมายังสถานทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง โดยมีสาระที่สำคัญดังนี้
1. COSTIND เห็นชอบที่จะดำเนินการแลกเปลี่ยนลำไยอบแห้งกับยุทโธปกรณ์ ในรูปแบบของ Barter Trade ให้สำเร็จ โดยเป็นการแลกเปลี่ยนลำไยอบแห้งกับยุทโธปกรณ์โดยตรง ไม่มีการแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา
2. เสนอให้รัฐบาลไทยแต่งตั้งหน่วยงานระดับกระทรวงประสานกับ COSTIND เพื่อควบคุมและดำเนินการตามเงื่อนไข MOU / Agreement
3. ขอให้หน่วยงานที่รัฐบาลไทยแต่งตั้ง รับผิดชอบในการเคลื่อนย้ายและขนส่งลำไยอบแห้งที่ผ่านการรับรองคุณภาพแล้วไปยังท่าเรือที่ฝ่ายจีนกำหนด
คณะอนุกรรมการขายลำไยอบแห้งฯ ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2548 เพื่อกำหนดท่าทีที่จะดำเนินการต่อไป โดยการพิจารณาได้ยึดหลักตามกรอบมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2548 สาระสำคัญของหนังสือ COSTIND และสถานการณ์การจัดการลำไยปี 2548 ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นดังนี้
1. จากความเห็นและข้อเสนอแนะของ COSTIND ตามข้อ 1 น่าจะปฏิบัติได้ แต่ต้องมีการเจรจาต่อรองในรายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบ วิธีการ ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง โดยหารือกับกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานอัยการสูงสุด
2. ข้อเสนอของ COSTIND ตามข้อ 3 ที่กล่าวถึงการตรวจสอบคุณภาพลำไยอบแห้ง การเคลื่อนย้ายและขนส่งไปยังท่าเรือที่ฝ่ายจีนกำหนด มีนัยว่าจะให้ฝ่ายไทยเป็นผู้รับผิดชอบ คณะอนุกรรมการขายลำไยอบแห้งฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าน่าจะมีปัญหาในทางปฏิบัติหลายประการ รวมทั้งต้องเพิ่มงบประมาณในเรื่องค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเห็นควรให้ดำเนินการไปตามกรอบของ MOU / Agreement เดิม เป็นหลัก โดยอาจปรับเปลี่ยนได้ในรายละเอียดที่ฝ่ายไทยสามารถปฏิบัติได้
3. เนื่องจากปัจจุบัน ได้เข้าสู่ฤดูกาลลำไยปี 2548 แล้ว ซึ่งในความเป็นจริงผลผลิตลำไยปี 2546 ปี 2547 และปี 2548 มีความสัมพันธ์กันในเรื่องการบริหารจัดการด้านการตลาด (ราคา) อย่างแยกไม่ได้ ดังนั้น จึงควรมีการจัดการลำไยทั้งระบบอย่างบูรณาการ และเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ รวมทั้งเกษตรกรผู้ปลูกลำไย การพิจารณาถึงกรอบแผนงานในการบริหารจัดการลำไยทั้งระบบ เช่น ถ้ามีการขายลำไยอบแห้งปี 2546 — 2547 โดยเร็ว หรือขายลำไยอบแห้งปี 2546 — 2547 หลังการขายลำไยปี 2548 หรือไม่มีการขายลำไยอบแห้งปี 2546 — 2547 ควรพิจารณาถึงผลกระทบว่าเป็นอย่างไร มีผลได้ ผลเสีย ในแต่ละแผนงานมากน้อยเพียงใด ทั้งนี้ เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้ที่จะบริหารจัดการลำไยทั้งระบบ ได้ตัดสินใจอย่างถูกต้อง และโดยที่ผู้บริหารจัดการรับผิดชอบในการเจรจากับฝ่ายจีนและการบริหารจัดการลำไยปี 2548 ควรเป็นหน่วยงานเดียวกันที่มีอำนาจตัดสินใจ จึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 12 กรกฎาคม 2548--จบ--
1. มอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
1) เป็นหน่วยงานระดับกระทรวงทำหน้าที่บริหารจัดการลำไยทั้งระบบอย่างบูรณาการ ทั้งนี้ให้ยกเลิกคณะอนุกรรมการขายลำไยอบแห้งแลกเปลี่ยนกับยุทโธปกรณ์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน และให้กระทรวงเกษตรฯ เป็นผู้ดำเนินการต่อไป
2) เป็นผู้เจรจาประสานงานกับคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของจีน (COSTIND) โดยนำข้อเสนอของคณะอนุกรรมการขายลำไยอบแห้งฯ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับกระทรวงกลาโหมในด้านการจัดหายุทโธปกรณ์มาประกอบการพิจารณาด้วย ทั้งนี้ เห็นควรให้ผู้แทนในคณะอนุกรรมการขายลำไยอบแห้งฯ เดิม สนับสนุนการเจรจาและประสานงานตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นสมควรต่อไป
2. ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ตอบหนังสือในนามรัฐบาลไทย ไปยังรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน (COSTIND) ตามหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2548
3. การดำเนินการตามข้อ 1 — 2 ควรพิจารณาดำเนินการโดยเร่งด่วนเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้จากคุณภาพของลำไยที่เก็บไว้นานจนเสียหายหรือเสื่อมค่า
4. เห็นควรนำมติ คชก. และผลความคืบหน้า รายงาน คณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2548 รับทราบและเห็นชอบการดำเนินการเกี่ยวกับการซื้อขายลำไยอบแห้งแลกเปลี่ยนยุทโธปกรณ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนตามที่ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธาน คชก. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ และโดยที่เรื่องนี้เป็นการดำเนินการตามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีน จึงให้ประธาน คชก. ประสานดำเนินการกับกระทรวงการต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อจัดทำหนังสือในนามรัฐบาลไทยไปยังผู้แทนรัฐบาลจีน (COSTIND) โดยผ่านสถานทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทยต่อไป
ซึ่งนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้มีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศเพื่อขอให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยในวันที่ 22 มิถุนายน 2548 กระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือไปยังสถานทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีสาระสำคัญ เพื่อเร่งรัดให้มีการปฏิบัติตามเงื่อนไข MOU / Agreement ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน
ต่อมาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2548 COSTIND ได้มีหนังสือตอบมายังสถานทูตไทยประจำกรุงปักกิ่ง โดยมีสาระที่สำคัญดังนี้
1. COSTIND เห็นชอบที่จะดำเนินการแลกเปลี่ยนลำไยอบแห้งกับยุทโธปกรณ์ ในรูปแบบของ Barter Trade ให้สำเร็จ โดยเป็นการแลกเปลี่ยนลำไยอบแห้งกับยุทโธปกรณ์โดยตรง ไม่มีการแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา
2. เสนอให้รัฐบาลไทยแต่งตั้งหน่วยงานระดับกระทรวงประสานกับ COSTIND เพื่อควบคุมและดำเนินการตามเงื่อนไข MOU / Agreement
3. ขอให้หน่วยงานที่รัฐบาลไทยแต่งตั้ง รับผิดชอบในการเคลื่อนย้ายและขนส่งลำไยอบแห้งที่ผ่านการรับรองคุณภาพแล้วไปยังท่าเรือที่ฝ่ายจีนกำหนด
คณะอนุกรรมการขายลำไยอบแห้งฯ ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2548 เพื่อกำหนดท่าทีที่จะดำเนินการต่อไป โดยการพิจารณาได้ยึดหลักตามกรอบมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2548 สาระสำคัญของหนังสือ COSTIND และสถานการณ์การจัดการลำไยปี 2548 ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นดังนี้
1. จากความเห็นและข้อเสนอแนะของ COSTIND ตามข้อ 1 น่าจะปฏิบัติได้ แต่ต้องมีการเจรจาต่อรองในรายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบ วิธีการ ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง โดยหารือกับกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานอัยการสูงสุด
2. ข้อเสนอของ COSTIND ตามข้อ 3 ที่กล่าวถึงการตรวจสอบคุณภาพลำไยอบแห้ง การเคลื่อนย้ายและขนส่งไปยังท่าเรือที่ฝ่ายจีนกำหนด มีนัยว่าจะให้ฝ่ายไทยเป็นผู้รับผิดชอบ คณะอนุกรรมการขายลำไยอบแห้งฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าน่าจะมีปัญหาในทางปฏิบัติหลายประการ รวมทั้งต้องเพิ่มงบประมาณในเรื่องค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเห็นควรให้ดำเนินการไปตามกรอบของ MOU / Agreement เดิม เป็นหลัก โดยอาจปรับเปลี่ยนได้ในรายละเอียดที่ฝ่ายไทยสามารถปฏิบัติได้
3. เนื่องจากปัจจุบัน ได้เข้าสู่ฤดูกาลลำไยปี 2548 แล้ว ซึ่งในความเป็นจริงผลผลิตลำไยปี 2546 ปี 2547 และปี 2548 มีความสัมพันธ์กันในเรื่องการบริหารจัดการด้านการตลาด (ราคา) อย่างแยกไม่ได้ ดังนั้น จึงควรมีการจัดการลำไยทั้งระบบอย่างบูรณาการ และเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ รวมทั้งเกษตรกรผู้ปลูกลำไย การพิจารณาถึงกรอบแผนงานในการบริหารจัดการลำไยทั้งระบบ เช่น ถ้ามีการขายลำไยอบแห้งปี 2546 — 2547 โดยเร็ว หรือขายลำไยอบแห้งปี 2546 — 2547 หลังการขายลำไยปี 2548 หรือไม่มีการขายลำไยอบแห้งปี 2546 — 2547 ควรพิจารณาถึงผลกระทบว่าเป็นอย่างไร มีผลได้ ผลเสีย ในแต่ละแผนงานมากน้อยเพียงใด ทั้งนี้ เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้ที่จะบริหารจัดการลำไยทั้งระบบ ได้ตัดสินใจอย่างถูกต้อง และโดยที่ผู้บริหารจัดการรับผิดชอบในการเจรจากับฝ่ายจีนและการบริหารจัดการลำไยปี 2548 ควรเป็นหน่วยงานเดียวกันที่มีอำนาจตัดสินใจ จึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 12 กรกฎาคม 2548--จบ--