ทำเนียบรัฐบาล--8 ส.ค.--นิวส์สแตนด์
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ (Inflation Report) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างความเข้าใจและสื่อสารกับสาธารณะชนถึงแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศ ภายใต้ความรับผิดชอบของคณะกรรมการนโยลายการเงิน รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อนี้จะจัดทำทุก 3 เดือน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เสนอกรอบประมาณการเงินเฟ้อที่ชัดเจนและมองไปข้างหน้า ซึ่งช่วยในการตัดสินใจในการดำเนินนโยบายการเงินของคณะกรรมการฯ 2) ถ่ายทอดแนวความคิดของคณะกรรมการฯ ต่อสาธารณชน และอธิบายเหตุผลของการตัดสินใจในการดำเนินนโยบายการเงิน
รายงานแนวโนัมเงินเฟ้อแต่ละฉบับจะมีเนื้อหาสาระสำคัญ 2 ส่วน คือ
1. การประเมิณและวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจการเงินและเงินเฟ้อในปัจจุบัน สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1.1 การฟื้นตัวทางเศษฐกิจโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี โดยขยายวงจากการส่งออกและการใช้จ่ายภาครัฐบาลไปสู่การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ข้อมูลล่าสุดชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคธุรกิจยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า ไตรมาสแรกของปี 2543 เศรษฐกิจไทยขยายตัวในอัตราร้อยละ 5.2 ต่อเนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปี 2542 ซึ่งขยายตัวในอัตรารัอยละ 6.5
1.2 การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงมีต่อเนื่อง แต่ยังไม่กระจายทั่วถึงในทุกภาคเศรษฐกิจ
1.3 คณะกรรมการนโยบายการเงินมีความเห็นว่า แม้ว่าราคาน้ำมันจะมีแนวโน้มสูงขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ขณะนี้ยังคงอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ประมาณร้อยละ1.2 ในเดือนมิถุนายน และร้อยละ 1 ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2543
1.4 แม้ว่าการขยายตัวของปริมาณเงินยังอยู่ในระดับต่ำ แต่มิได้หมายความว่าระบบการเงินจะตึงตัวเพราะธุรกิจเอกชนยังได้รับบริการสินเชื่อจากตราสารหนี้และเงินทุน ดังนั้นภาวะการเงินในขณะนี้ยังคงเอื้ออำนวจต่อการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจ และขณะเดียวกันยังไม่สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อพื้นฐานมากจนเกินไป
2. การคาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจใน 8 ไตรมาสข้างหน้า ได้มีการใช้แบบจำลองเศรษฐกิจมิติเป็นเครื่องมือประกอบอย่างหนึ่ง ค่าพยากรณ์ที่ได้จากแบบจำลองจะเป็นข้อมูลเบื้องต้นให้แก่คณะกรรมการฯ ในการประเมิณแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งช่วยในการวิเคราะห์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์และนโยบายที่สำคัญ เช่น ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนและราคาน้ำมัน เป็นต้น
เนื่องจากการคาดการณ์ในอนาคตกระทำภายใต้ข้อสมมุติและความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น ผลของการคาดการณ์เงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจจึงแสดงในแผนภาพรูปพัด (Fan Chart) ซึ่งแสดงเป็นโกาสที่จะเกิดขึ้นมิใช่ค่าพยากรณ์ค่าเดียว สะท้อนถึงความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมองการณ์ไปข้างหน้า ไกลเท่าใดก็ยิ่งมีความไม่แน่นอนสูงขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ การแสดงโดยแผนภาพรูปพัดยังสามารถนำความคิดเห็นของคณะกรรมการเกี่ยวกับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีผลต่อการพยากรณ์ รวมทั้งแสดงดุลยพินิจของคณะกรรมการฯ ที่อาจไม่ตรงกันจะสะท้อนออกมาในรูปพัดที่เบ้ไปข้างใดข้างหนึ่ง
ผลการคาดการณ์ สรุปได้ดังนี้
1. คณะกรรมการนโยบายการเงินคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแต่ยังคงอยู่ในช่วงเป้าหมายที่กำหนดไว้ ยกเว้นในไตรมาสที่ 4 ของปี 2544 ซึ่งเป็นผลกระทบจากการขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 ในเดือนตุลาคม 2544 อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2-3 เทียบกับเฉลี่ยปี 2543 ที่คาดว่าประมาณร้อยละ 1 - 1.5 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วงปี 2543 และ 2544 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.5 - 2 และ 1.5 - 2.5 ตามลำดับ
2. คณะกรรมการนโยบายการเงินได้คำนึงถึงปัจจัยบวกและลบที่มีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่อาจกระทบต่อการส่งออกและการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยแล้วส่วนใหญ่มีความเห็นว่ามีโอกาสที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะต่ำกว่าที่คาด ทั้งนี้ เฉลี่ยโอกาสที่การขยายตัวจะเกิดขึ้นในแต่ละไตรมาสแล้ว คณะกรรมการฯ ประมมาณว่าในปี 2543 เศรษฐกิจจะขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 4.5 - 5.5 และความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นทั้งด้านบวกและลบในปี 2544 ทำให้คาดว่าการขยายตัวเฉลี่ยประมาณร้อยละ 4 - 6
เมื่อแรงกดดันด้านราคายังมีไม่มาก คณะกรรมการฯ จึงมีความเห็นในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ว่า นโยบายการเงินยังจำเป็นต้องเอื้อต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจต่อไป จึงยังให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนระยะ 14 วันไว้ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 7 ส.ค. 2543--
-นช/ยก-
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ (Inflation Report) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างความเข้าใจและสื่อสารกับสาธารณะชนถึงแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศ ภายใต้ความรับผิดชอบของคณะกรรมการนโยลายการเงิน รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อนี้จะจัดทำทุก 3 เดือน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ 1) เสนอกรอบประมาณการเงินเฟ้อที่ชัดเจนและมองไปข้างหน้า ซึ่งช่วยในการตัดสินใจในการดำเนินนโยบายการเงินของคณะกรรมการฯ 2) ถ่ายทอดแนวความคิดของคณะกรรมการฯ ต่อสาธารณชน และอธิบายเหตุผลของการตัดสินใจในการดำเนินนโยบายการเงิน
รายงานแนวโนัมเงินเฟ้อแต่ละฉบับจะมีเนื้อหาสาระสำคัญ 2 ส่วน คือ
1. การประเมิณและวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจการเงินและเงินเฟ้อในปัจจุบัน สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1.1 การฟื้นตัวทางเศษฐกิจโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี โดยขยายวงจากการส่งออกและการใช้จ่ายภาครัฐบาลไปสู่การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ข้อมูลล่าสุดชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคธุรกิจยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า ไตรมาสแรกของปี 2543 เศรษฐกิจไทยขยายตัวในอัตราร้อยละ 5.2 ต่อเนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปี 2542 ซึ่งขยายตัวในอัตรารัอยละ 6.5
1.2 การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงมีต่อเนื่อง แต่ยังไม่กระจายทั่วถึงในทุกภาคเศรษฐกิจ
1.3 คณะกรรมการนโยบายการเงินมีความเห็นว่า แม้ว่าราคาน้ำมันจะมีแนวโน้มสูงขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ขณะนี้ยังคงอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ประมาณร้อยละ1.2 ในเดือนมิถุนายน และร้อยละ 1 ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2543
1.4 แม้ว่าการขยายตัวของปริมาณเงินยังอยู่ในระดับต่ำ แต่มิได้หมายความว่าระบบการเงินจะตึงตัวเพราะธุรกิจเอกชนยังได้รับบริการสินเชื่อจากตราสารหนี้และเงินทุน ดังนั้นภาวะการเงินในขณะนี้ยังคงเอื้ออำนวจต่อการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจ และขณะเดียวกันยังไม่สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อพื้นฐานมากจนเกินไป
2. การคาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจใน 8 ไตรมาสข้างหน้า ได้มีการใช้แบบจำลองเศรษฐกิจมิติเป็นเครื่องมือประกอบอย่างหนึ่ง ค่าพยากรณ์ที่ได้จากแบบจำลองจะเป็นข้อมูลเบื้องต้นให้แก่คณะกรรมการฯ ในการประเมิณแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งช่วยในการวิเคราะห์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์และนโยบายที่สำคัญ เช่น ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนและราคาน้ำมัน เป็นต้น
เนื่องจากการคาดการณ์ในอนาคตกระทำภายใต้ข้อสมมุติและความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น ผลของการคาดการณ์เงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจจึงแสดงในแผนภาพรูปพัด (Fan Chart) ซึ่งแสดงเป็นโกาสที่จะเกิดขึ้นมิใช่ค่าพยากรณ์ค่าเดียว สะท้อนถึงความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมองการณ์ไปข้างหน้า ไกลเท่าใดก็ยิ่งมีความไม่แน่นอนสูงขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ การแสดงโดยแผนภาพรูปพัดยังสามารถนำความคิดเห็นของคณะกรรมการเกี่ยวกับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีผลต่อการพยากรณ์ รวมทั้งแสดงดุลยพินิจของคณะกรรมการฯ ที่อาจไม่ตรงกันจะสะท้อนออกมาในรูปพัดที่เบ้ไปข้างใดข้างหนึ่ง
ผลการคาดการณ์ สรุปได้ดังนี้
1. คณะกรรมการนโยบายการเงินคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแต่ยังคงอยู่ในช่วงเป้าหมายที่กำหนดไว้ ยกเว้นในไตรมาสที่ 4 ของปี 2544 ซึ่งเป็นผลกระทบจากการขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 ในเดือนตุลาคม 2544 อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2-3 เทียบกับเฉลี่ยปี 2543 ที่คาดว่าประมาณร้อยละ 1 - 1.5 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วงปี 2543 และ 2544 จะอยู่ที่ร้อยละ 1.5 - 2 และ 1.5 - 2.5 ตามลำดับ
2. คณะกรรมการนโยบายการเงินได้คำนึงถึงปัจจัยบวกและลบที่มีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่อาจกระทบต่อการส่งออกและการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยแล้วส่วนใหญ่มีความเห็นว่ามีโอกาสที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะต่ำกว่าที่คาด ทั้งนี้ เฉลี่ยโอกาสที่การขยายตัวจะเกิดขึ้นในแต่ละไตรมาสแล้ว คณะกรรมการฯ ประมมาณว่าในปี 2543 เศรษฐกิจจะขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 4.5 - 5.5 และความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นทั้งด้านบวกและลบในปี 2544 ทำให้คาดว่าการขยายตัวเฉลี่ยประมาณร้อยละ 4 - 6
เมื่อแรงกดดันด้านราคายังมีไม่มาก คณะกรรมการฯ จึงมีความเห็นในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ว่า นโยบายการเงินยังจำเป็นต้องเอื้อต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจต่อไป จึงยังให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนระยะ 14 วันไว้ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 7 ส.ค. 2543--
-นช/ยก-