คณะรัฐมนตรีพิจารณาการปฏิรูปผลิตผลการเกษตรตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) เสนอ แล้วมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การปฏิรูปผลิตผลการเกษตรรวม 6 ด้าน ประกอบด้วย
ยุทธศาสตร์ที่ 1 นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการเกษตรอย่างกว้างขวาง ทำการวิจัยและพัฒนา
เทคโนโลยีชีวภาพ เทคนิคชีวโมเลกุลและด้านอื่น เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน สามารถแปรรูปเป็นสินค้าอุตสาหกรรม สร้างความหลากหลายในผลิตภัณฑ์
ยุทธศาสตร์ที่ 2 ลงทุนทางการเกษตรในระดับฟาร์ม สร้างโอกาสให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งทุนใน
ระบบ สามารถลงทุนในทรัพย์สินเกี่ยวกับการเกษตร ได้แก่ เครื่องจักรกล การปรับปรุงที่ดินสิ่งก่อสร้างทางการเกษตร เป็นต้น รวมถึงสนับสนุนการทำ intensive farming เพื่อให้เกิดการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงความปลอดภัยทางอาหารด้วย
ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนาเกษตรกรสู่ผู้ประกอบการ พัฒนาองค์ความรู้ของเกษตรกร เพิ่มทักษะในการทำธุรกิจการเกษตร สร้างความมั่นคงในอาชีพการเกษตร ประกันความเสี่ยงด้านราคา โดยใช้ตลาดกลางสินค้าการเกษตร และกลไกการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าให้มากขึ้น
ยุทธศาสตร์ที่ 4 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิต และการตลาด รวมทั้ง logistics ขยายเนื้อที่ชลประทาน พัฒนาและฟื้นฟูที่ดินเพื่อผลผลิต ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ห้องเย็น ตลาด ไซโล เป็นต้น
การกระจายสินค้าอย่างมีระบบ ตลอดจนการพัฒนา logistics จะช่วยลดต้นทุนการผลิตและย่นระยะเวลาในการขนส่ง ซึ่งส่งผลให้สามารถรักษาคุณภาพสินค้าเกษตรไว้ได้
ยุทธศาสตร์ที่ 5 พัฒนาการบริหารจัดการ และจัดองค์กรรองรับการเปลี่ยนแปลง มีการบริหารจัดการแนวใหม่โดยรัฐ ให้ครบวงจรตั้งแต่การผลิตจนถึงการตลาด ออกแบบองค์กรของรัฐ เกษตรกรและกลุ่มที่มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการ รวมทั้งการระดมทุนและธุรกิจ เป็นการรองรับการเปลี่ยนแปลงการเกษตร ตัวอย่างองค์กรที่ได้มีการจัดตั้งขึ้นมา ได้แก่ องค์กรที่มีวัตถุประสงค์จำเพาะ (spicial purpose vehicle:SPV) มารองรับการเปลี่ยนแปลงการเกษตรสมัยใหม่
ยุทธศาสตร์ที่ 6 มุ่งผลิตสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพในการแข่งขัน โดยเร่งรัดการพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตรที่มีความต้องการสูง มีโอกาสในการส่งออก และสินค้าที่เป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงไปข้างหน้า (Forward linkage) ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม อาทิ พืชทดแทนพลังงาน ยางพารา เป็นต้น
2. เห็นชอบกรอบการพัฒนารายสินค้า รวม 14 ชนิด โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
ก. กลุ่มสินค้าที่ศักยภาพสูง ประกอบด้วยสินค้า 8 ชนิด ยางพารา เกษตรอินทรีย์ กุ้งและผลิตภัณฑ์
โคแนื้อ พืชทดแทนพลังงาน ปาล์มน้ำมัน สุมนไพร และไม้เศรษฐกิจ
ข. กลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย สินค้าที่สำคัญ 6 ชนิด ได้แก่ สับปะรด มังคุด กล้วยไม้ ไก่เนื้อกวาง ผึ้งและผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนในการพัฒนาสินค้า 14 ชนิด จำนวนเงิน 38,000 ล้านบาท
ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 6 และการลงทุนในด้านอื่น ๆ ตามยุทธศาสตร์ที่ 1 - 5 เช่น ด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ด้านพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โลจิสติกส์ เป็นต้น จำนวนเงิน 30,000 ล้านบาท จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จาก 600,000 ล้านบาท ในปี 2547 เป็น 900,000 ล้านบาท ในปี 2551 และรายได้ของเกษตรกรรายละ 32,000 บาท/ปี ในปี 2547 เป็น 43,000 บาท ในปี 2552
3. เห็นชอบในการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปผลิตผลการเกษตร เพื่อพิจารณารายละเอียดของ
ยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ สำหรับการใช้งบประมาณเพื่อสนับสนุนงานของคณะกรรมการปฏิรูปผลิตผลการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการพัฒนาสินค้าต่าง ๆ ให้ใช้งบกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งระเบียบเกี่ยวกับกองทุนดังกล่าวขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังประกาศใช้ โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 25 มกราคม 2548--จบ--
1. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การปฏิรูปผลิตผลการเกษตรรวม 6 ด้าน ประกอบด้วย
ยุทธศาสตร์ที่ 1 นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการเกษตรอย่างกว้างขวาง ทำการวิจัยและพัฒนา
เทคโนโลยีชีวภาพ เทคนิคชีวโมเลกุลและด้านอื่น เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน สามารถแปรรูปเป็นสินค้าอุตสาหกรรม สร้างความหลากหลายในผลิตภัณฑ์
ยุทธศาสตร์ที่ 2 ลงทุนทางการเกษตรในระดับฟาร์ม สร้างโอกาสให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งทุนใน
ระบบ สามารถลงทุนในทรัพย์สินเกี่ยวกับการเกษตร ได้แก่ เครื่องจักรกล การปรับปรุงที่ดินสิ่งก่อสร้างทางการเกษตร เป็นต้น รวมถึงสนับสนุนการทำ intensive farming เพื่อให้เกิดการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคำนึงความปลอดภัยทางอาหารด้วย
ยุทธศาสตร์ที่ 3 พัฒนาเกษตรกรสู่ผู้ประกอบการ พัฒนาองค์ความรู้ของเกษตรกร เพิ่มทักษะในการทำธุรกิจการเกษตร สร้างความมั่นคงในอาชีพการเกษตร ประกันความเสี่ยงด้านราคา โดยใช้ตลาดกลางสินค้าการเกษตร และกลไกการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าให้มากขึ้น
ยุทธศาสตร์ที่ 4 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิต และการตลาด รวมทั้ง logistics ขยายเนื้อที่ชลประทาน พัฒนาและฟื้นฟูที่ดินเพื่อผลผลิต ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ห้องเย็น ตลาด ไซโล เป็นต้น
การกระจายสินค้าอย่างมีระบบ ตลอดจนการพัฒนา logistics จะช่วยลดต้นทุนการผลิตและย่นระยะเวลาในการขนส่ง ซึ่งส่งผลให้สามารถรักษาคุณภาพสินค้าเกษตรไว้ได้
ยุทธศาสตร์ที่ 5 พัฒนาการบริหารจัดการ และจัดองค์กรรองรับการเปลี่ยนแปลง มีการบริหารจัดการแนวใหม่โดยรัฐ ให้ครบวงจรตั้งแต่การผลิตจนถึงการตลาด ออกแบบองค์กรของรัฐ เกษตรกรและกลุ่มที่มีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการ รวมทั้งการระดมทุนและธุรกิจ เป็นการรองรับการเปลี่ยนแปลงการเกษตร ตัวอย่างองค์กรที่ได้มีการจัดตั้งขึ้นมา ได้แก่ องค์กรที่มีวัตถุประสงค์จำเพาะ (spicial purpose vehicle:SPV) มารองรับการเปลี่ยนแปลงการเกษตรสมัยใหม่
ยุทธศาสตร์ที่ 6 มุ่งผลิตสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพในการแข่งขัน โดยเร่งรัดการพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตรที่มีความต้องการสูง มีโอกาสในการส่งออก และสินค้าที่เป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงไปข้างหน้า (Forward linkage) ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม อาทิ พืชทดแทนพลังงาน ยางพารา เป็นต้น
2. เห็นชอบกรอบการพัฒนารายสินค้า รวม 14 ชนิด โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ
ก. กลุ่มสินค้าที่ศักยภาพสูง ประกอบด้วยสินค้า 8 ชนิด ยางพารา เกษตรอินทรีย์ กุ้งและผลิตภัณฑ์
โคแนื้อ พืชทดแทนพลังงาน ปาล์มน้ำมัน สุมนไพร และไม้เศรษฐกิจ
ข. กลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพ ประกอบด้วย สินค้าที่สำคัญ 6 ชนิด ได้แก่ สับปะรด มังคุด กล้วยไม้ ไก่เนื้อกวาง ผึ้งและผลิตภัณฑ์
ทั้งนี้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุนในการพัฒนาสินค้า 14 ชนิด จำนวนเงิน 38,000 ล้านบาท
ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 6 และการลงทุนในด้านอื่น ๆ ตามยุทธศาสตร์ที่ 1 - 5 เช่น ด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่ด้านพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โลจิสติกส์ เป็นต้น จำนวนเงิน 30,000 ล้านบาท จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จาก 600,000 ล้านบาท ในปี 2547 เป็น 900,000 ล้านบาท ในปี 2551 และรายได้ของเกษตรกรรายละ 32,000 บาท/ปี ในปี 2547 เป็น 43,000 บาท ในปี 2552
3. เห็นชอบในการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปผลิตผลการเกษตร เพื่อพิจารณารายละเอียดของ
ยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ สำหรับการใช้งบประมาณเพื่อสนับสนุนงานของคณะกรรมการปฏิรูปผลิตผลการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการพัฒนาสินค้าต่าง ๆ ให้ใช้งบกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งระเบียบเกี่ยวกับกองทุนดังกล่าวขณะนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำลังประกาศใช้ โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 25 มกราคม 2548--จบ--