คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้บำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้
ร่างระเบียบดังกล่าว เป็นการปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการให้บำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษ พ.ศ. 2521 ให้เหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. กำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่พิจารณาและอนุมัติบำเหน็จความชอบตามระเบียบนี้
2. เมื่อคณะอนุกรรมการได้พิจารณาคำขอบำเหน็จความชอบแล้ว ให้เสนอต่อคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติโดยเร็ว เมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยเป็นประการใดให้ถือเป็นที่สุด และให้แจ้งคำวินิจฉัยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทราบ
3. กำหนดให้ข้าราชการซึ่งป่วยเจ็บถึงแก่ความตาย ทุพพลภาพ หรือพิการเพราะเหตุจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เลื่อนได้ไม่เกิน 1 ขั้น
4. กรณีที่ข้าราชการผู้ใดจะได้รับการเลื่อนขั้นและอัตราเงินเดือนตามระเบียบนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกรมหรือผู้ว่าราชการจังหวัดส่งเรื่องและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่มีกรณีนั้นเกิดขึ้น และให้คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการพิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และแจ้งคำวินิจฉัยให้ทราบภายในสามสิบวัน และเมื่อหัวหน้าส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกรมหรือผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับแจ้งคำวินิจฉัยแล้ว ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยนั้นภายในสามสิบวัน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 3 ก.ค.44--
-สส-
ร่างระเบียบดังกล่าว เป็นการปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการให้บำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษ พ.ศ. 2521 ให้เหมาะสมและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. กำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่พิจารณาและอนุมัติบำเหน็จความชอบตามระเบียบนี้
2. เมื่อคณะอนุกรรมการได้พิจารณาคำขอบำเหน็จความชอบแล้ว ให้เสนอต่อคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติโดยเร็ว เมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยเป็นประการใดให้ถือเป็นที่สุด และให้แจ้งคำวินิจฉัยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทราบ
3. กำหนดให้ข้าราชการซึ่งป่วยเจ็บถึงแก่ความตาย ทุพพลภาพ หรือพิการเพราะเหตุจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ เลื่อนได้ไม่เกิน 1 ขั้น
4. กรณีที่ข้าราชการผู้ใดจะได้รับการเลื่อนขั้นและอัตราเงินเดือนตามระเบียบนี้ ให้หัวหน้าส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกรมหรือผู้ว่าราชการจังหวัดส่งเรื่องและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่มีกรณีนั้นเกิดขึ้น และให้คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการพิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และแจ้งคำวินิจฉัยให้ทราบภายในสามสิบวัน และเมื่อหัวหน้าส่วนราชการที่มีฐานะเป็นกรมหรือผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับแจ้งคำวินิจฉัยแล้ว ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยนั้นภายในสามสิบวัน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 3 ก.ค.44--
-สส-