คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดังกล่าวไปพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมในคราวเดียวกับการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2559 (เรื่อง การเตรียมการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่) ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยเพิ่มหมวด 1/1 เลขหมายโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติ
2. กำหนดบทนิยามคำว่า “เหตุฉุกเฉิน” “ผู้แจ้ง” และ “ผู้รับแจ้ง”
3. กำหนดให้มีศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่รับแจ้งเหตุฉุกเฉินและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือหรือระงับเหตุฉุกเฉินโดยคณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้กำหนดหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบดำเนินการและบริหารจัดการศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ รวมถึงมาตรฐานการปฏิบัติงาน
4. กำหนดให้ กสทช. จัดเลขหมายโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติให้แก่ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉินแห่งชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของ กสทช. ในการจัดทำแผนเลขหมายโทรคมนาคม และการพิจารณาอนุญาตและกำกับดูแลการใช้เลขหมายโทรคมนาคมดังกล่าว รวมทั้งกำหนดห้ามผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมเรียกเก็บค่าบริการจากผู้แจ้งเหตุฉุกเฉินด้วย เพราะเป็นเรื่องความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชน
5. กำหนดบทบัญญัติคุ้มครองผู้รับแจ้งเหตุฉุกเฉินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือหรือระงับเหตุฉุกเฉิน ให้สามารถเข้าถึงหรือเปิดเผยพิกัดตำแหน่ง หรือข้อมูลส่วนบุคคลของผู้แจ้งเหตุฉุกเฉินหรือผู้ประสบเหตุฉุกเฉินได้โดยไม่มีความผิด ทั้งนี้ เฉพาะเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการช่วยเหลือหรือระงับเหตุฉุกเฉิน หรือเพื่อตรวจสอบผู้กระทำความผิดตามหมวดนี้
6. กำหนดบทลงโทษกรณีผู้ใช้หรือเรียกเลขหมายโทรศัพท์ฉุกเฉินแห่งชาติ โดยไม่มีเหตุฉุกเฉินหรือมีพฤติกรรมอันเป็นการก่อกวนการปฏิบัติงานของผู้รับแจ้งเหตุฉุกเฉินเพื่อให้การกระทำความผิดดังกล่าวลดลง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 15 พฤศจิกายน 2559--