คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2536 และ 2 มิถุนายน 2541 เรื่อง โครงการจัดตั้งบริษัทประกันชีวิตของสหกรณ์ ซึ่งกำหนดให้ผู้ถือหุ้นทั้งหมดของบริษัทต้องเป็น สหกรณ์เท่านั้นและแต่ละสหกรณ์ถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 1.0 ของหุ้นทั้งหมด โดยขอให้ยกเลิกเพดานการถือหุ้นพร้อมทั้งเสนอเพิ่มทางเลือกที่สองให้บุคคลทั่วไปสามารถถือหุ้นบริษัทได้ เพื่อให้การเพิ่มทุนบริษัทสามารถดำเนินการได้ตามประสงค์ ทั้งนี้ ให้บริษัทสามารถปรับโครงสร้างถือหุ้นได้ โดยมีทางเลือกได้ 2 แนวทาง คือ
ทางเลือกที่ 1 ให้ขบวนการสหกรณ์เท่านั้นยังคงเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทโดยกำหนดให้สหกรณ์ต่าง ๆ สามารถถือหุ้นได้โดยไม่มีการจำกัดจำนวนเพื่อเปิดโอกาสให้สหกรณ์ที่มีความพร้อมทางการเงินและประสงค์จะลงทุนเพิ่มเติมสามารถเพิ่มทุนได้
ทางเลือกที่ 2 ให้บุคคลทั่วไปสามารถเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทได้กรณีที่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทไม่ประสงค์จะเพิ่มทุนแล้ว ให้บริษัทสามารถหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ที่เป็นบุคคลทั่วไปได้
กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า
1. บริษัทได้ประกอบธุรกิจโดยมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานมาโดยตลอด ณ สิ้นปี 2546 บริษัทขาดทุนสะสม 185.23 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับทุนจดทะเบียนคือ 208.50 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะมีผลดำเนินงานขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 208.36 ล้านบาท หนี้สินรวม 207.69 ล้านบาท และเงินกองทุนรวมจำนวน 0.67 ล้านบาท แต่เนื่องจากฎหมายกำหนดให้ต้องมีเงินกองทุนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท บริษัทจึงขาดเงินกองทุนจำนวน 49.33 ล้านบาท กระทรวงพาณิชย์ได้ใช้อำนาจตามกฎหมาย ให้บริษัทแก้ไขปัญหาการขาดเงินกองทุนดังกล่าว ภายในเดือนมกราคม 2548 หากบริษัทยังไม่สามารถดำเนินการได้ ให้บริษัทดำเนินการเพิ่มทุนให้มีเงินกองทุนครบตามกฎหมาย ภายในวันที่ 30 เมษายน 2548 ซึ่งหากครบกำหนดเวลาดังกล่าว บริษัทยังมีเงินกองทุนไม่ครบถ้วนตามกฎหมายจะเข้าข่ายเป็นบริษัทที่ขาดความมั่นคงทางการเงินอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนผู้เอาประกันภัย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์สามารถเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจของบริษัทได้
2. ข้อบังคับของบริษัทกำหนดให้กรรมการบริษัทจะต้องมาจากผู้แทนสหกรณ์ผู้ถือหุ้นและผลัดเปลี่ยนกันเป็นกรรมการ ทำให้ผู้บริหารบริษัทเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่ดีพอในการบริหารงานบริษัท
บริษัทไม่สามารถวางนโยบายในการบริหารงานและการดำเนินงานในระยะยาวได้ และขาดความต่อเนื่องของการ
ดำเนินงานสำคัญ ๆ จึงทำให้บริษัทประสบปัญหาฐานะการเงินดังกล่าว
3. บริษัทมีความประสงค์จะเพิ่มทุนจาก 208.50 ล้านบาท เป็น 500 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดเงินกองทุนดังกล่าว แต่การระดมทุนให้ได้ 500 ล้านบาท จะประสบความสำเร็จได้ยาก เนื่องจากเงื่อนไขข้อกำหนดตามมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดให้แต่ละสหกรณ์ถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 1.0 ของหุ้นทั้งหมด ซึ่งทำให้สหกรณ์ขนาดใหญ่ที่ต้องการถือหุ้นในบริษัทจำนวนมากไม่สามารถทำได้ เนื่องจากติดข้อกำหนดตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2536 และ 2 มิถุนายน 2541 กระทรวงพาณิชย์จึงนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 8 มีนาคม 2548--จบ--
ทางเลือกที่ 1 ให้ขบวนการสหกรณ์เท่านั้นยังคงเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทโดยกำหนดให้สหกรณ์ต่าง ๆ สามารถถือหุ้นได้โดยไม่มีการจำกัดจำนวนเพื่อเปิดโอกาสให้สหกรณ์ที่มีความพร้อมทางการเงินและประสงค์จะลงทุนเพิ่มเติมสามารถเพิ่มทุนได้
ทางเลือกที่ 2 ให้บุคคลทั่วไปสามารถเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทได้กรณีที่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทไม่ประสงค์จะเพิ่มทุนแล้ว ให้บริษัทสามารถหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ที่เป็นบุคคลทั่วไปได้
กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า
1. บริษัทได้ประกอบธุรกิจโดยมีผลขาดทุนจากการดำเนินงานมาโดยตลอด ณ สิ้นปี 2546 บริษัทขาดทุนสะสม 185.23 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับทุนจดทะเบียนคือ 208.50 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะมีผลดำเนินงานขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 208.36 ล้านบาท หนี้สินรวม 207.69 ล้านบาท และเงินกองทุนรวมจำนวน 0.67 ล้านบาท แต่เนื่องจากฎหมายกำหนดให้ต้องมีเงินกองทุนไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท บริษัทจึงขาดเงินกองทุนจำนวน 49.33 ล้านบาท กระทรวงพาณิชย์ได้ใช้อำนาจตามกฎหมาย ให้บริษัทแก้ไขปัญหาการขาดเงินกองทุนดังกล่าว ภายในเดือนมกราคม 2548 หากบริษัทยังไม่สามารถดำเนินการได้ ให้บริษัทดำเนินการเพิ่มทุนให้มีเงินกองทุนครบตามกฎหมาย ภายในวันที่ 30 เมษายน 2548 ซึ่งหากครบกำหนดเวลาดังกล่าว บริษัทยังมีเงินกองทุนไม่ครบถ้วนตามกฎหมายจะเข้าข่ายเป็นบริษัทที่ขาดความมั่นคงทางการเงินอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนผู้เอาประกันภัย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์สามารถเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจของบริษัทได้
2. ข้อบังคับของบริษัทกำหนดให้กรรมการบริษัทจะต้องมาจากผู้แทนสหกรณ์ผู้ถือหุ้นและผลัดเปลี่ยนกันเป็นกรรมการ ทำให้ผู้บริหารบริษัทเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่ดีพอในการบริหารงานบริษัท
บริษัทไม่สามารถวางนโยบายในการบริหารงานและการดำเนินงานในระยะยาวได้ และขาดความต่อเนื่องของการ
ดำเนินงานสำคัญ ๆ จึงทำให้บริษัทประสบปัญหาฐานะการเงินดังกล่าว
3. บริษัทมีความประสงค์จะเพิ่มทุนจาก 208.50 ล้านบาท เป็น 500 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดเงินกองทุนดังกล่าว แต่การระดมทุนให้ได้ 500 ล้านบาท จะประสบความสำเร็จได้ยาก เนื่องจากเงื่อนไขข้อกำหนดตามมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดให้แต่ละสหกรณ์ถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 1.0 ของหุ้นทั้งหมด ซึ่งทำให้สหกรณ์ขนาดใหญ่ที่ต้องการถือหุ้นในบริษัทจำนวนมากไม่สามารถทำได้ เนื่องจากติดข้อกำหนดตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2536 และ 2 มิถุนายน 2541 กระทรวงพาณิชย์จึงนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 8 มีนาคม 2548--จบ--