ทำเนียบรัฐบาล--26 ธ.ค.--นิวส์สแตนด์
คณะรัฐมนตรีพิจารณาแผนปฏิบัติการสร้างราชการใสสะอาด ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ แล้วมีมติดังนี้
1. เห็นชอบหลักการของแผนปฏิบัติการสร้างราชการใสสะอาด และกำหนดเป็นนโยบายสำคัญของทางราชการ และประกาศเป็นแผนระดับชาติ โดยกำหนดให้การทุจริตคอร์รัปชันเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
2. ให้กระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ จัดทำแผนกลยุทธ "หน่วยงานใสสะอาด" เพื่อป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน และประกาศให้สาธารณชนทราบตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 เป็นต้นไป โดยให้จัดตั้ง "ศูนย์ประสานราชการใสสะอาด" เป็นหน่วยงานภายใน เพื่อดำเนินการตามแผนนี้
3. ให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนงบประมาณแก่ส่วนราชการตามความเหมาะสม และให้สำนักงาน ก.พ. ให้การสนับสนุนและคำปรึกษาในการจัดตั้งศูนย์ประสานราชการใสสะอาด และการจัดทำแผนปฏิบัติการสร้างราชการใสสะอาด
4. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐตามที่กำหนดไว้ในกลยุทธและมาตรการ ดำเนินการและให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการเรื่องนี้บรรลุผลอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นไป
5. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐรายงานผลดำเนินการและปัญหาอุปสรรคต่อคณะรัฐมนตรีเป็นรายปี เพื่อรายงานผลต่อรัฐสภาต่อไป
สำนักงาน ก.พ. เสนอว่า ก.พ. ได้มีมติในการประชุมวันที่ 12 มิถุนายน 2543 เห็นชอบให้กระทรวงเป็นศูนย์กลางกำกับให้ส่วนราชการในสังกัดจัดทำมาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรม โดยยึดถือปฏิบัติตามค่านิยมสร้างสรรค์ของข้าราชการ 5 ประการ กล่าวคือ 1) กล้ายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง 2) ซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ 3) โปร่งใสตรวจสอบได้ 4) ไม่เลือกปฏิบัติ และ 5) มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน และเพื่อให้ส่วนราชการต่าง ๆ ได้มีมาตรการที่จะรณรงค์ เพื่อลดการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐและการสร้างฐานข้อมูลเรื่องคอร์รัปชันให้เป็นไปตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐดังกล่าว ก.พ. ในการประชุมเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2543 ได้พิจารณาเห็นว่า การที่จะรณรงค์เพื่อลดการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐนั้น จำเป็นจะต้องสร้างความใสสะอาดเพื่อให้เกิดสภาพการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดีเสียก่อน โดยให้มีการจัดทำแผนสร้างราชการใสสะอาดขึ้น ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. แผนการสร้างราชการใสสะอาด ประกอบด้วยแผนหลัก 3 แผน ดังนี้
1.1 แผนส่งเสริมจิตสำนึก "ราชการใสสะอาด" ซึ่งเป็นส่วนย่อยของ "โครงการประเทศไทยใสสะอาด" มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างจิตสำนึกให้แก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ และประชาชนทุกคนทุกระดับให้เกิดผลจนเป็นคุณธรรมประจำใจ "ราชการใสสะอาด"
1.2 แผนการป้องกันเหตุการณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ ที่อาจเป็นภัยต่อการก้าวไปสู่ "ประเทศไทยใสสะอาด" มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างระบบเตือนและป้องกันล่วงหน้าต่อการทุจริตคอร์รัปชันที่จะเกิดขึ้นในราชการทั้งระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และระดับประเทศ
1.3 แผนการจัดการกรณีการทุจริตและคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นแล้วหรือที่กำลังเกิดขึ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงถึงความเอาจริงเอาจังของรัฐและสังคมเมื่อเกิดการทุจริตคอร์รัปชันแล้วหรือการกระทำทุจริตที่กำลังเกิดขึ้น ทั้งนี้ เพื่อกำจัดคนไม่ดีให้ออกจากระบบราชการโดยเร็ว และเพิ่มความเกรงกลัวต่อโทษทัณฑ์อันจะเป็นส่วนเรียกศรัทธาและความมั่นใจให้กลับคืนมาสู่ความรู้สึกของชาวไทย
2. กลยุทธ
2.1 ประกาศแผนปฏิบัติการสร้างราชการใสสะอาดเป็นนโยบายและแผนระดับชาติ โดยสภาความมั่นคงแห่งชาติระบุให้การทุจริตคอร์รัปชันเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
2.2 ให้ส่วนราชการทั้งในราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานของรัฐทุกแห่งจัดทำแผนปฏิบัติการสร้างราชการใสสะอาด โดยให้ถือว่าการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันเป็นภารกิจของหน่วยงาน และเป็นหน้าที่ของข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องให้ความร่วมมือและดำเนินการตามแผนปฏิบัติการนี้โดยเคร่งครัด
2.3 ให้มีการรณรงค์สร้างจิตสำนึกอย่างเป็นระบบ ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนไทยทั้งประเทศเห็นภัยของการทุจริตคอร์รัปชัน ร่วมกันสร้างสังคมและประเทศชาติให้มีความใสสะอาด และรักษาชื่อเสียงของประเทศชาติให้เป็นที่นับถือศรัทธาจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก มีการยกย่องคนดีและคนที่มีความกล้าหาญในการต่อต้าน ชี้เบาะแส และเป็นพยานการทุจริตคอร์รัปชัน
2.4 จัดตั้งศูนย์ประสาน "ราชการใสสะอาด" ขึ้นในส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง โดยให้สำนักงาน ก.พ. เป็นศูนย์กลางประสานการดำเนินการ
2.5 ให้สำนักงบประมาณและหน่วยตรวจสอบทุกระดับมีแผนรณรงค์และเข้มงวดการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินและงบประมาณแผ่นดิน
2.6 ให้มีการวัดผลการดำเนินการสร้างราชการใสสะอาดเพื่อรายงานต่อสาธารณะถึงผลการเปลี่ยนแปลง โดยหน่วยงานที่ปล่อยปละละเลยจะต้องได้รับการตำหนิ และหน่วยงานที่เอาจริงเอาจังจนเกิดผลดีต้องได้รับคำชมเชย
2.7 สร้างความใสสะอาดในภาคเอกชนและภาคประชาสังคมให้คู่ขนานกันไปด้วย
3. มาตรการ
3.1 มาตรการแผนส่งเสริมจิตสำนึก "ราชการใสสะอาด"
1) รัฐบาลประกาศให้แผนปฏิบัติการสร้างราชการใสสะอาดเป็นนโยบายและแผนระดับชาติ และให้สภาความมั่นคงแห่งชาติกำหนดให้การทุจริตคอร์รัปชันในราชการเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
2) ให้หน่วยงานของรัฐจัดตั้งศูนย์ประสานราชการใสสะอาด โดยมีสำนักงาน ก.พ. เป็นที่ปรึกษาในการจัดตั้งและกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบ
3) มีโครงการอบรมส่งเสริมจิตสำนึก "ราชการใสสะอาด" แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ 4) ให้กระทรวงศึกษาธิการ ทบวงมหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาของรัฐทุกแห่งจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณธรรมและผลร้ายของการทุจริตคอร์รัปชัน และต้องถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของพลเมืองที่จะต้องสร้างความใสสะอาดของชาติบ้านเมือง
5) ให้หน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับประชาชน หรือองค์กรประชาชนและชุมชน หรือองค์กรเอกชน ให้ความรู้และสร้างความสำนึกและตระหนักเกี่ยวกับภัยของการทุจริตคอร์รัปชัน
6) ให้กรมประชาสัมพันธ์และหน่วยงานของรัฐทุกแห่งที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์จัดทำแผนประชาสัมพันธ์และดำเนินการตามแผนผ่านสื่อต่าง ๆ ให้สาธารณชนได้รับทราบ
7) ให้หน่วยงานของรัฐสร้างเครือข่าย "หน่วยงานใสสะอาด" เชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานในสังกัดเดียวกัน เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับแผน โครงการ แนวทาง และประสบการณ์การ "สร้างราชการใสสะอาด" ของแต่ละหน่วยงาน
8) ให้มีรางวัลนายกรัฐมนตรีประจำปีเพื่อยกย่องชมเชยหน่วยงานของรัฐที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ในการสร้าง "ราชการใสสะอาด ที่เป็นตัวอย่างอันดีสำหรับหน่วยงานอื่น โดยมีคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือก ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน เลขาธิการ ก.พ. เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เลขาธิการ ป.ป.ช. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผู้ทรงคุณวุฒิและบุคคลที่ไม่เป็นข้าราชการจำนวนหนึ่งเป็นกรรมการ โดยมีสำนักงาน ก.พ. เป็นฝ่ายเลขานุการ
3.2 มาตรการตามแผนการป้องกันเหตุการณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ ที่อาจเป็นภัยต่อการก้าวไปสู่ "ประเทศไทยใสสะอาด"
1) ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทุกแห่งจัดทำแผนกลยุทธ "หน่วยงานใสสะอาด" โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 เป็นต้นไป เพื่อรายงานให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นจนถึงคณะรัฐมนตรีได้ทราบและพิจารณาสั่งการเพื่อการป้องกันหรือแก้ไขปัญหาได้ทันสถานการณ์
2) ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณาทบทวนปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบ และข้อบังคับที่รับผิดชอบ ให้การบังคับใช้และการปฏิบัติตามมีความโปร่งใส ชัดเจน เข้าใจง่าย ปฏิบัติได้จริง และเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงระเบียบว่าด้วยการรับของขวัญและสินน้ำใจ
3) ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณากำหนดลักษณะงานที่อาจทำให้เกิดโอกาสของการทุจริตเพราะผลประโยชน์ที่ขัดกันระหว่างส่วนตนและส่วนรวม และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทราบ
4) ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งดำเนินการปฏิรูประบบราชการตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐ ให้มีระบบการทำงานที่สั้น โปร่งใส วัดผลสำเร็จของงานได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิบัติราชการเพื่อประชาชนของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2532 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับรองมาตรฐานด้านการจัดการและสัมฤทธิ์ผลของงานภาครัฐ พ.ศ. 2543
5) ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณาดำเนินการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของทางราชการให้สาธารณชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในผลงานและการดำเนินการ
6) ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐจัดระบบการคานอำนาจของงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ หน่วยงานจะต้องมีระบบตรวจสอบทั้งที่เป็นระบบและเป็นการสุ่มตัวอย่างในกรณีที่มีการบริการล่าช้า ตลอดจนให้ผู้บังคับบัญชาสอดส่องดูแลด้วย
3.3 มาตรการตามแผนการจัดการกรณีทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นแล้วและที่กำลังเกิดขึ้น
1) ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการดำเนินการทางวินัยให้รวดเร็ว เปิดเผย ให้ผู้ที่ทำผิดต้องถูกลงโทษโดยให้เห็นผลโทษโดยเร็ว
2) ในการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ตรวจราชการประจำกระทรวงและผู้ตรวจราชการประจำกรม หากพบมีกรณีหรือมูลการทุจริตคอร์รัปชัน ให้รีบแจ้งหน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่อง และแจ้งป.ป.ช. ให้ทราบโดยทันที กรณีเพิกเฉยจะถือเป็นความบกพร่องในหน้าที่ และอาจมีส่วนผิดทางวินัยขั้นสมยอมด้วย
3) กรณีที่เอกชนรายใดได้รับการพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำการทุจริตร่วมกับหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้หน่วยงานของรัฐแจ้งกระทรวงการคลังเพื่อรวบรวมประกาศแจ้งเวียนรายชื่อและพฤติกรรมให้ทุกหน่วยงานทราบ และห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐว่าจ้างเอกชนดังกล่าวอีกต่อไป กรณีที่หน่วยงานของรัฐหน่วยงานใดฝ่าฝืน ถือว่าเป็นการกระทำผิดทางวินัยและผิดกฎหมาย
4) กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดได้รับโทษฐานกระทำการทุจริตคอร์รัปชัน ควรวางระบบลงโทษทางสังคมด้วย ทั้งนี้ให้มีการปรับปรุงระบบการดำเนินการทางวินัยและมาตรการลงโทษให้รุนแรงขึ้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้มีบุคคลภายนอกร่วมเป็นกรรมการสอบสวนหรือเป็นพยานหรือให้ข้อมูลกรณีการทุจริตคอร์รัปชัน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 26 ธ.ค. 2543--
-สส-
คณะรัฐมนตรีพิจารณาแผนปฏิบัติการสร้างราชการใสสะอาด ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ แล้วมีมติดังนี้
1. เห็นชอบหลักการของแผนปฏิบัติการสร้างราชการใสสะอาด และกำหนดเป็นนโยบายสำคัญของทางราชการ และประกาศเป็นแผนระดับชาติ โดยกำหนดให้การทุจริตคอร์รัปชันเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
2. ให้กระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ จัดทำแผนกลยุทธ "หน่วยงานใสสะอาด" เพื่อป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน และประกาศให้สาธารณชนทราบตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 เป็นต้นไป โดยให้จัดตั้ง "ศูนย์ประสานราชการใสสะอาด" เป็นหน่วยงานภายใน เพื่อดำเนินการตามแผนนี้
3. ให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนงบประมาณแก่ส่วนราชการตามความเหมาะสม และให้สำนักงาน ก.พ. ให้การสนับสนุนและคำปรึกษาในการจัดตั้งศูนย์ประสานราชการใสสะอาด และการจัดทำแผนปฏิบัติการสร้างราชการใสสะอาด
4. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐตามที่กำหนดไว้ในกลยุทธและมาตรการ ดำเนินการและให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการเรื่องนี้บรรลุผลอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นไป
5. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐรายงานผลดำเนินการและปัญหาอุปสรรคต่อคณะรัฐมนตรีเป็นรายปี เพื่อรายงานผลต่อรัฐสภาต่อไป
สำนักงาน ก.พ. เสนอว่า ก.พ. ได้มีมติในการประชุมวันที่ 12 มิถุนายน 2543 เห็นชอบให้กระทรวงเป็นศูนย์กลางกำกับให้ส่วนราชการในสังกัดจัดทำมาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรม โดยยึดถือปฏิบัติตามค่านิยมสร้างสรรค์ของข้าราชการ 5 ประการ กล่าวคือ 1) กล้ายืนหยัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง 2) ซื่อสัตย์และมีความรับผิดชอบ 3) โปร่งใสตรวจสอบได้ 4) ไม่เลือกปฏิบัติ และ 5) มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน และเพื่อให้ส่วนราชการต่าง ๆ ได้มีมาตรการที่จะรณรงค์ เพื่อลดการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐและการสร้างฐานข้อมูลเรื่องคอร์รัปชันให้เป็นไปตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐดังกล่าว ก.พ. ในการประชุมเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2543 ได้พิจารณาเห็นว่า การที่จะรณรงค์เพื่อลดการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐนั้น จำเป็นจะต้องสร้างความใสสะอาดเพื่อให้เกิดสภาพการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดีเสียก่อน โดยให้มีการจัดทำแผนสร้างราชการใสสะอาดขึ้น ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. แผนการสร้างราชการใสสะอาด ประกอบด้วยแผนหลัก 3 แผน ดังนี้
1.1 แผนส่งเสริมจิตสำนึก "ราชการใสสะอาด" ซึ่งเป็นส่วนย่อยของ "โครงการประเทศไทยใสสะอาด" มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างจิตสำนึกให้แก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ และประชาชนทุกคนทุกระดับให้เกิดผลจนเป็นคุณธรรมประจำใจ "ราชการใสสะอาด"
1.2 แผนการป้องกันเหตุการณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ ที่อาจเป็นภัยต่อการก้าวไปสู่ "ประเทศไทยใสสะอาด" มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างระบบเตือนและป้องกันล่วงหน้าต่อการทุจริตคอร์รัปชันที่จะเกิดขึ้นในราชการทั้งระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และระดับประเทศ
1.3 แผนการจัดการกรณีการทุจริตและคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นแล้วหรือที่กำลังเกิดขึ้น มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงถึงความเอาจริงเอาจังของรัฐและสังคมเมื่อเกิดการทุจริตคอร์รัปชันแล้วหรือการกระทำทุจริตที่กำลังเกิดขึ้น ทั้งนี้ เพื่อกำจัดคนไม่ดีให้ออกจากระบบราชการโดยเร็ว และเพิ่มความเกรงกลัวต่อโทษทัณฑ์อันจะเป็นส่วนเรียกศรัทธาและความมั่นใจให้กลับคืนมาสู่ความรู้สึกของชาวไทย
2. กลยุทธ
2.1 ประกาศแผนปฏิบัติการสร้างราชการใสสะอาดเป็นนโยบายและแผนระดับชาติ โดยสภาความมั่นคงแห่งชาติระบุให้การทุจริตคอร์รัปชันเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
2.2 ให้ส่วนราชการทั้งในราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานของรัฐทุกแห่งจัดทำแผนปฏิบัติการสร้างราชการใสสะอาด โดยให้ถือว่าการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันเป็นภารกิจของหน่วยงาน และเป็นหน้าที่ของข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องให้ความร่วมมือและดำเนินการตามแผนปฏิบัติการนี้โดยเคร่งครัด
2.3 ให้มีการรณรงค์สร้างจิตสำนึกอย่างเป็นระบบ ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนไทยทั้งประเทศเห็นภัยของการทุจริตคอร์รัปชัน ร่วมกันสร้างสังคมและประเทศชาติให้มีความใสสะอาด และรักษาชื่อเสียงของประเทศชาติให้เป็นที่นับถือศรัทธาจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก มีการยกย่องคนดีและคนที่มีความกล้าหาญในการต่อต้าน ชี้เบาะแส และเป็นพยานการทุจริตคอร์รัปชัน
2.4 จัดตั้งศูนย์ประสาน "ราชการใสสะอาด" ขึ้นในส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง โดยให้สำนักงาน ก.พ. เป็นศูนย์กลางประสานการดำเนินการ
2.5 ให้สำนักงบประมาณและหน่วยตรวจสอบทุกระดับมีแผนรณรงค์และเข้มงวดการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินและงบประมาณแผ่นดิน
2.6 ให้มีการวัดผลการดำเนินการสร้างราชการใสสะอาดเพื่อรายงานต่อสาธารณะถึงผลการเปลี่ยนแปลง โดยหน่วยงานที่ปล่อยปละละเลยจะต้องได้รับการตำหนิ และหน่วยงานที่เอาจริงเอาจังจนเกิดผลดีต้องได้รับคำชมเชย
2.7 สร้างความใสสะอาดในภาคเอกชนและภาคประชาสังคมให้คู่ขนานกันไปด้วย
3. มาตรการ
3.1 มาตรการแผนส่งเสริมจิตสำนึก "ราชการใสสะอาด"
1) รัฐบาลประกาศให้แผนปฏิบัติการสร้างราชการใสสะอาดเป็นนโยบายและแผนระดับชาติ และให้สภาความมั่นคงแห่งชาติกำหนดให้การทุจริตคอร์รัปชันในราชการเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
2) ให้หน่วยงานของรัฐจัดตั้งศูนย์ประสานราชการใสสะอาด โดยมีสำนักงาน ก.พ. เป็นที่ปรึกษาในการจัดตั้งและกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบ
3) มีโครงการอบรมส่งเสริมจิตสำนึก "ราชการใสสะอาด" แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ 4) ให้กระทรวงศึกษาธิการ ทบวงมหาวิทยาลัย และสถาบันการศึกษาของรัฐทุกแห่งจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไป เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคุณธรรมและผลร้ายของการทุจริตคอร์รัปชัน และต้องถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของพลเมืองที่จะต้องสร้างความใสสะอาดของชาติบ้านเมือง
5) ให้หน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับประชาชน หรือองค์กรประชาชนและชุมชน หรือองค์กรเอกชน ให้ความรู้และสร้างความสำนึกและตระหนักเกี่ยวกับภัยของการทุจริตคอร์รัปชัน
6) ให้กรมประชาสัมพันธ์และหน่วยงานของรัฐทุกแห่งที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์จัดทำแผนประชาสัมพันธ์และดำเนินการตามแผนผ่านสื่อต่าง ๆ ให้สาธารณชนได้รับทราบ
7) ให้หน่วยงานของรัฐสร้างเครือข่าย "หน่วยงานใสสะอาด" เชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานในสังกัดเดียวกัน เพื่อให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับแผน โครงการ แนวทาง และประสบการณ์การ "สร้างราชการใสสะอาด" ของแต่ละหน่วยงาน
8) ให้มีรางวัลนายกรัฐมนตรีประจำปีเพื่อยกย่องชมเชยหน่วยงานของรัฐที่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ในการสร้าง "ราชการใสสะอาด ที่เป็นตัวอย่างอันดีสำหรับหน่วยงานอื่น โดยมีคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือก ประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน เลขาธิการ ก.พ. เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เลขาธิการ ป.ป.ช. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผู้ทรงคุณวุฒิและบุคคลที่ไม่เป็นข้าราชการจำนวนหนึ่งเป็นกรรมการ โดยมีสำนักงาน ก.พ. เป็นฝ่ายเลขานุการ
3.2 มาตรการตามแผนการป้องกันเหตุการณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ ที่อาจเป็นภัยต่อการก้าวไปสู่ "ประเทศไทยใสสะอาด"
1) ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทุกแห่งจัดทำแผนกลยุทธ "หน่วยงานใสสะอาด" โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 เป็นต้นไป เพื่อรายงานให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นจนถึงคณะรัฐมนตรีได้ทราบและพิจารณาสั่งการเพื่อการป้องกันหรือแก้ไขปัญหาได้ทันสถานการณ์
2) ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณาทบทวนปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบ และข้อบังคับที่รับผิดชอบ ให้การบังคับใช้และการปฏิบัติตามมีความโปร่งใส ชัดเจน เข้าใจง่าย ปฏิบัติได้จริง และเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงระเบียบว่าด้วยการรับของขวัญและสินน้ำใจ
3) ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณากำหนดลักษณะงานที่อาจทำให้เกิดโอกาสของการทุจริตเพราะผลประโยชน์ที่ขัดกันระหว่างส่วนตนและส่วนรวม และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทราบ
4) ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งดำเนินการปฏิรูประบบราชการตามแผนปฏิรูประบบบริหารภาครัฐ ให้มีระบบการทำงานที่สั้น โปร่งใส วัดผลสำเร็จของงานได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิบัติราชการเพื่อประชาชนของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2532 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับรองมาตรฐานด้านการจัดการและสัมฤทธิ์ผลของงานภาครัฐ พ.ศ. 2543
5) ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณาดำเนินการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของทางราชการให้สาธารณชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในผลงานและการดำเนินการ
6) ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐจัดระบบการคานอำนาจของงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ หน่วยงานจะต้องมีระบบตรวจสอบทั้งที่เป็นระบบและเป็นการสุ่มตัวอย่างในกรณีที่มีการบริการล่าช้า ตลอดจนให้ผู้บังคับบัญชาสอดส่องดูแลด้วย
3.3 มาตรการตามแผนการจัดการกรณีทุจริตคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นแล้วและที่กำลังเกิดขึ้น
1) ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเร่งรัดการดำเนินการทางวินัยให้รวดเร็ว เปิดเผย ให้ผู้ที่ทำผิดต้องถูกลงโทษโดยให้เห็นผลโทษโดยเร็ว
2) ในการตรวจราชการของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ตรวจราชการประจำกระทรวงและผู้ตรวจราชการประจำกรม หากพบมีกรณีหรือมูลการทุจริตคอร์รัปชัน ให้รีบแจ้งหน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่อง และแจ้งป.ป.ช. ให้ทราบโดยทันที กรณีเพิกเฉยจะถือเป็นความบกพร่องในหน้าที่ และอาจมีส่วนผิดทางวินัยขั้นสมยอมด้วย
3) กรณีที่เอกชนรายใดได้รับการพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำการทุจริตร่วมกับหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ให้หน่วยงานของรัฐแจ้งกระทรวงการคลังเพื่อรวบรวมประกาศแจ้งเวียนรายชื่อและพฤติกรรมให้ทุกหน่วยงานทราบ และห้ามมิให้หน่วยงานของรัฐว่าจ้างเอกชนดังกล่าวอีกต่อไป กรณีที่หน่วยงานของรัฐหน่วยงานใดฝ่าฝืน ถือว่าเป็นการกระทำผิดทางวินัยและผิดกฎหมาย
4) กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดได้รับโทษฐานกระทำการทุจริตคอร์รัปชัน ควรวางระบบลงโทษทางสังคมด้วย ทั้งนี้ให้มีการปรับปรุงระบบการดำเนินการทางวินัยและมาตรการลงโทษให้รุนแรงขึ้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้มีบุคคลภายนอกร่วมเป็นกรรมการสอบสวนหรือเป็นพยานหรือให้ข้อมูลกรณีการทุจริตคอร์รัปชัน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 26 ธ.ค. 2543--
-สส-