ทำเนียบรัฐบาล--7 พ.ย..--นิวส์สแตนด์
การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยขอซื้อหุ้นในส่วนของบริษัท TOTAL ในบริษัทร่วมทุน VIETNAM LPG CO.,LTD. จำนวนร้อยละ 13
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ซื้อหุ้นในส่วนของบริษัท TOTAL ในบริษัทร่วมทุน VIETNAM LPG CO.,LTD. จำนวนร้อยละ 13 เพื่อให้ ปตท. มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 45 ร่วมกับบริษัท PETROVIETNAM GAS COMPANY เพื่อดำเนินธุรกิจก๊าซหุงต้มในสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามต่อไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจพิจารณาแล้วไม่มีข้อขัดข้องในการที่ ปตท. จะซื้อหุ้นเพิ่มเติมดังกล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานว่า
1. ปตท. มีแผนการขยายตลาดและการค้าปิโตรเลียมไปยังภูมิภาคเอเซีย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในแถบประเทศอินโดจีน ซึ่งประเทศไทยได้เปรียบในการจัดหาและขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมให้แก่ประเทศดังกล่าวสำหรับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (ประเทศเวียดนาม) เป็นประเทศที่มีศักยภาพการเจริญเติบโตสูง แต่รัฐบาลเวียดนามยังไม่เปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในด้านธุรกิจน้ำมัน ปตท. จึงมุ่งไปทำธุรกิจก๊าซหุงต้ม ซึ่งปัจจุบันประเทศเวียดนามมีความต้องการก๊าซหุงต้มอยู่ประมาณปีละ 210,000 ตัน และคาดว่าจะมีอัตราการเพิ่มประมาณร้อยละ 30 ต่อปีในขณะที่กำลังผลิตในประเทศมีอยู่ประมาณ 240,000 ตันต่อปี จึงคาดว่าประเทศเวียดนามจะต้องมีการนำเข้าก๊าซหุ้งต้มอีกในอนาคต
2. ในส่วนของการดำเนินธุรกิจก๊าซหุงต้มของบริษัท VIETNAM LPG ซึ่ง ปตท. ถือหุ้นอยู่ด้วย (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2537) นั้น มีการเจริญเติบโตมาโดยตลอด ปัจจุบันมียอดการจำหน่ายก๊าซหุงต้มประมาณปีละ 20,000 ตัน โดยบริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดก๊าซหุงต้มในประเทศเวียดนามอยู่ประมาณร้อยละ 12 ซึ่งนอกเหนือจากผลกำไรในบริษัทร่วมทุนดังกล่าวแล้ว ปตท. ยังได้รับประโยชน์จากการจำหน่ายโดยการส่งออกก๊าซหุงต้มจากประเทศไทยให้แก่บริษัทร่วมทุนอีกด้วย โดยในช่วงปี 2539 จนถึงปัจจุบัน ปตท. ได้จำหน่ายก๊าซหุงต้มให้แก่บริษัทฯแล้ว จำนวน 36,660 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 77 ของความต้องการของบริษัทฯ ทั้งหมด
3. เนื่องจากบริษัท TOTAL ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัท VIETNAM LPG ได้ดำเนินการขยายธุรกิจก๊าซหุงต้มเพิ่มขึ้นในประเทศเวียดนาม โดยตั้งคลังและโรงบรรจุก๊าซขึ้นอีก 2 แห่ง รวมทั้งได้รวมกิจการกับบริษัท FINA และบริษัท ELF ทำให้บริษัท ELF กลายเป็นผู้ประกอบธุรกิจก๊าซหุงต้มรายใหญ่ และมีผลประโยชน์ทางธุรกิจที่ขัดกันกับบริษัท VIETNAM LPG ที่บริษัท TOTAL ถือหุ้นอยู่เป็นส่วนน้อย บริษัท TOTAL จึงเสนอขายหุ้นทั้งหมดจำนวนร้อยละ32 ให้แก่ ปตท. และ PETROVIETNAM GAS COMPANY (PVGC) ในราคา 3.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
4. ปตท. และ PVGC จึงได้เจรจากันและตกลงเห็นควรร่วมกันซื้อหุ้นในส่วนของบริษัท TOTAL ทั้งหมดโดย PVGC จะซื้อร้อยละ 19 และ ปตท. จะซื้อร้อยละ 13 ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นใหม่เป็น ปตท. ถือหุ้นร้อยละ 45 และ PVGC ร้อยละ 55 และได้มีการตกลงกันในเรื่องโครงสร้างการบริหารของบริษัท VIETNAM LPG ใหม่ให้มีความเท่าเทียมกันด้วย ทั้งนี้ ได้มีการต่อรองราคาในการซื้อขายหุ้นในส่วนของบริษัท TOTAL แล้วปรากฏว่าบริษัท TOTAL ยินยอมขายหุ้นทั้งหมดในราคารวมภาษีเป็นเงิน 2.65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยคิดเป็นส่วนของ ปตท. ตามจำนวนหุ้นร้อยละ 13 เท่ากับวงเงินประมาณ 1.077 ล้านหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 44.2 ล้านบาท)
5. คณะกรรมการ ปตท. ในการประชุมฯ ครั้งที่ 8/2543 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2543 มีมติเห็นชอบในหลักการให้ ปตท. ซื้อหุ้นในส่วนของบริษัท TOTAL ตามรายละเอียดในข้อ 4. แล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 7 พ.ย. 2543--
-สส-
การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยขอซื้อหุ้นในส่วนของบริษัท TOTAL ในบริษัทร่วมทุน VIETNAM LPG CO.,LTD. จำนวนร้อยละ 13
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ซื้อหุ้นในส่วนของบริษัท TOTAL ในบริษัทร่วมทุน VIETNAM LPG CO.,LTD. จำนวนร้อยละ 13 เพื่อให้ ปตท. มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 45 ร่วมกับบริษัท PETROVIETNAM GAS COMPANY เพื่อดำเนินธุรกิจก๊าซหุงต้มในสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามต่อไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และประธานคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจพิจารณาแล้วไม่มีข้อขัดข้องในการที่ ปตท. จะซื้อหุ้นเพิ่มเติมดังกล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานว่า
1. ปตท. มีแผนการขยายตลาดและการค้าปิโตรเลียมไปยังภูมิภาคเอเซีย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในแถบประเทศอินโดจีน ซึ่งประเทศไทยได้เปรียบในการจัดหาและขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมให้แก่ประเทศดังกล่าวสำหรับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (ประเทศเวียดนาม) เป็นประเทศที่มีศักยภาพการเจริญเติบโตสูง แต่รัฐบาลเวียดนามยังไม่เปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในด้านธุรกิจน้ำมัน ปตท. จึงมุ่งไปทำธุรกิจก๊าซหุงต้ม ซึ่งปัจจุบันประเทศเวียดนามมีความต้องการก๊าซหุงต้มอยู่ประมาณปีละ 210,000 ตัน และคาดว่าจะมีอัตราการเพิ่มประมาณร้อยละ 30 ต่อปีในขณะที่กำลังผลิตในประเทศมีอยู่ประมาณ 240,000 ตันต่อปี จึงคาดว่าประเทศเวียดนามจะต้องมีการนำเข้าก๊าซหุ้งต้มอีกในอนาคต
2. ในส่วนของการดำเนินธุรกิจก๊าซหุงต้มของบริษัท VIETNAM LPG ซึ่ง ปตท. ถือหุ้นอยู่ด้วย (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2537) นั้น มีการเจริญเติบโตมาโดยตลอด ปัจจุบันมียอดการจำหน่ายก๊าซหุงต้มประมาณปีละ 20,000 ตัน โดยบริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดก๊าซหุงต้มในประเทศเวียดนามอยู่ประมาณร้อยละ 12 ซึ่งนอกเหนือจากผลกำไรในบริษัทร่วมทุนดังกล่าวแล้ว ปตท. ยังได้รับประโยชน์จากการจำหน่ายโดยการส่งออกก๊าซหุงต้มจากประเทศไทยให้แก่บริษัทร่วมทุนอีกด้วย โดยในช่วงปี 2539 จนถึงปัจจุบัน ปตท. ได้จำหน่ายก๊าซหุงต้มให้แก่บริษัทฯแล้ว จำนวน 36,660 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 77 ของความต้องการของบริษัทฯ ทั้งหมด
3. เนื่องจากบริษัท TOTAL ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัท VIETNAM LPG ได้ดำเนินการขยายธุรกิจก๊าซหุงต้มเพิ่มขึ้นในประเทศเวียดนาม โดยตั้งคลังและโรงบรรจุก๊าซขึ้นอีก 2 แห่ง รวมทั้งได้รวมกิจการกับบริษัท FINA และบริษัท ELF ทำให้บริษัท ELF กลายเป็นผู้ประกอบธุรกิจก๊าซหุงต้มรายใหญ่ และมีผลประโยชน์ทางธุรกิจที่ขัดกันกับบริษัท VIETNAM LPG ที่บริษัท TOTAL ถือหุ้นอยู่เป็นส่วนน้อย บริษัท TOTAL จึงเสนอขายหุ้นทั้งหมดจำนวนร้อยละ32 ให้แก่ ปตท. และ PETROVIETNAM GAS COMPANY (PVGC) ในราคา 3.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
4. ปตท. และ PVGC จึงได้เจรจากันและตกลงเห็นควรร่วมกันซื้อหุ้นในส่วนของบริษัท TOTAL ทั้งหมดโดย PVGC จะซื้อร้อยละ 19 และ ปตท. จะซื้อร้อยละ 13 ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นใหม่เป็น ปตท. ถือหุ้นร้อยละ 45 และ PVGC ร้อยละ 55 และได้มีการตกลงกันในเรื่องโครงสร้างการบริหารของบริษัท VIETNAM LPG ใหม่ให้มีความเท่าเทียมกันด้วย ทั้งนี้ ได้มีการต่อรองราคาในการซื้อขายหุ้นในส่วนของบริษัท TOTAL แล้วปรากฏว่าบริษัท TOTAL ยินยอมขายหุ้นทั้งหมดในราคารวมภาษีเป็นเงิน 2.65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยคิดเป็นส่วนของ ปตท. ตามจำนวนหุ้นร้อยละ 13 เท่ากับวงเงินประมาณ 1.077 ล้านหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 44.2 ล้านบาท)
5. คณะกรรมการ ปตท. ในการประชุมฯ ครั้งที่ 8/2543 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2543 มีมติเห็นชอบในหลักการให้ ปตท. ซื้อหุ้นในส่วนของบริษัท TOTAL ตามรายละเอียดในข้อ 4. แล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 7 พ.ย. 2543--
-สส-