คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบตามมติคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจในคราวประชุมครั้งที่ 4/2544 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2544 ที่ให้ปรับปรุงมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างสำหรับลูกจ้างระดับผู้ปฏิบัติงาน (ผู้ดำรงตำแหน่งต่ำกว่าผู้อำนวยการฝ่ายหรือตำแหน่งที่เทียบเท่าลงมา) ผู้มีสิทธิได้รับเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงาน ซึ่งปฏิบัติงานในช่วงก่อนเกษียณอายุติดต่อกันครบ 15 ปีขึ้นไป ให้ได้รับเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานเป็นจำนวนเท่ากับเงินเดือนค่าจ้างอัตราสุดท้ายสองร้อยสี่สิบวัน (8 เท่าของเงินเดือน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 30กันยายน 2544 เป็นต้นไป ตามที่ประธานคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจเสนอ ทั้งนี้ วงเงินที่เพิ่มขึ้นจะต้องไม่เกิน 200 ล้านบาทต่อปี
เกี่ยวกับเรื่องนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายปองพล อดิเรกสาร) ประธานคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจเสนอตามที่ได้รับรายงานจากคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจว่า
1. พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งใช้บังคับภาคเอกชนไม่ได้กำหนดให้มีการจ่ายเงินเพื่อตอบแทนความชอบกรณีเกษียณอายุ แต่กำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างกรณีเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดสูงสุดไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามร้อยวัน (10 เท่าของเงินเดือน)
2. สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) จึงได้นำร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ในประเด็นเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานซึ่งจ่ายเมื่อเกษียณอายุเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาทบทวน โดยขอให้ปรับปรุงจาก 6 เท่าของเงินเดือน เป็น 10 เท่าของเงินเดือน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบให้ปลัดกระทรวงการคลังรับมาพิจารณาโดยมอบหมายเป็นหลักการให้ความคุ้มครองระดับผู้ปฏิบัติงาน
3. ปลัดกระทรวงการคลังได้เชิญผู้แทน สรส. เข้าร่วมพิจารณาเพื่อหาข้อยุติเรื่องนี้เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม2544 ซึ่งที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นสมควรปรับปรุงเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานกรณีเกษียณอายุจาก 6 เท่าของเงินเดือนเป็น 8 เท่าของเงินเดือน โดยให้ปรับเฉพาะพนักงานรัฐวิสาหกิจผู้ปฏิบัติงาน และวงเงินที่เพิ่มขึ้นจะต้องไม่เกิน200 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ การกำหนดตำแหน่งพนักงานระดับผู้ปฏิบัติงานให้เป็นไปตามที่ สรส. เสนอ กล่าวคือ ให้ถือตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังได้ปฏิบัติในการจำกัดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2543 ที่เห็นชอบหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังได้ปฏิบัติในการจำกัดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรคือ พนักงานตำแหน่งระดับสูง 3 ตำแหน่ง นับจากตำแหน่งผู้ว่าการ ผู้อำนวยการ หรือผู้จัดการลงมา ถึงตำแหน่งรองผู้ว่าการ ผู้ช่วยผู้ว่าการหรือผู้อำนวยการฝ่าย หรือตำแหน่งที่เทียบเท่า ถือว่าเป็นพนักงานระดับผู้บริหาร ดังนั้น พนักงานในตำแหน่งที่ต่ำกว่าตำแหน่งดังกล่าวจึงถือว่าเป็นพนักงานระดับผู้ปฏิบัติงาน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 22 ต.ค. 44--
-สส-
เกี่ยวกับเรื่องนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายปองพล อดิเรกสาร) ประธานคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจเสนอตามที่ได้รับรายงานจากคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจว่า
1. พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งใช้บังคับภาคเอกชนไม่ได้กำหนดให้มีการจ่ายเงินเพื่อตอบแทนความชอบกรณีเกษียณอายุ แต่กำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างกรณีเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดสูงสุดไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามร้อยวัน (10 เท่าของเงินเดือน)
2. สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) จึงได้นำร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ในประเด็นเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานซึ่งจ่ายเมื่อเกษียณอายุเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาทบทวน โดยขอให้ปรับปรุงจาก 6 เท่าของเงินเดือน เป็น 10 เท่าของเงินเดือน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบให้ปลัดกระทรวงการคลังรับมาพิจารณาโดยมอบหมายเป็นหลักการให้ความคุ้มครองระดับผู้ปฏิบัติงาน
3. ปลัดกระทรวงการคลังได้เชิญผู้แทน สรส. เข้าร่วมพิจารณาเพื่อหาข้อยุติเรื่องนี้เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม2544 ซึ่งที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นสมควรปรับปรุงเงินเพื่อตอบแทนความชอบในการทำงานกรณีเกษียณอายุจาก 6 เท่าของเงินเดือนเป็น 8 เท่าของเงินเดือน โดยให้ปรับเฉพาะพนักงานรัฐวิสาหกิจผู้ปฏิบัติงาน และวงเงินที่เพิ่มขึ้นจะต้องไม่เกิน200 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ การกำหนดตำแหน่งพนักงานระดับผู้ปฏิบัติงานให้เป็นไปตามที่ สรส. เสนอ กล่าวคือ ให้ถือตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังได้ปฏิบัติในการจำกัดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2543 ที่เห็นชอบหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังได้ปฏิบัติในการจำกัดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรคือ พนักงานตำแหน่งระดับสูง 3 ตำแหน่ง นับจากตำแหน่งผู้ว่าการ ผู้อำนวยการ หรือผู้จัดการลงมา ถึงตำแหน่งรองผู้ว่าการ ผู้ช่วยผู้ว่าการหรือผู้อำนวยการฝ่าย หรือตำแหน่งที่เทียบเท่า ถือว่าเป็นพนักงานระดับผู้บริหาร ดังนั้น พนักงานในตำแหน่งที่ต่ำกว่าตำแหน่งดังกล่าวจึงถือว่าเป็นพนักงานระดับผู้ปฏิบัติงาน
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 22 ต.ค. 44--
-สส-