หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ

ข่าวการเมือง Tuesday March 28, 2017 16:52 —มติคณะรัฐมนตรี

เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ดังนี้

1. เห็นชอบหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถหรือตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิตให้ใช้สิทธิดังกล่าวก่อน และให้สถานพยาบาลภาครัฐทุกแห่งปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ฯ และให้สถานพยาบาลภาครัฐรับย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตหลังเวลา 72 ชั่วโมง ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ

2. ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม หน่วยงานของรัฐ และกองทุนต่าง ๆ ที่มีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการด้านการแพทย์หรือสาธารณสุข ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ฯ และค่าใช้จ่ายในอัตราตามบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ฯ สธ. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎ ระเบียบของหน่วยงาน/กองทุนต่าง ๆ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้รองรับการจ่ายเงินคืนแก่สถานพยาบาลตามหลักเกณฑ์ได้ โดยเร็วต่อไป

3. หากมีการทบทวนปรับปรุงบัญชีและอัตราค่าใช้จ่าย ตามข้อ 12 ของหลักเกณฑ์ฯ ให้ สธ. นำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อให้เป็นไปตามนัยมาตรา 36 วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ต่อไป

4. ในส่วนที่ขอความเห็นชอบให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติดำเนินการตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวเพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการการแพทย์ฉุกเฉินทั้งระบบเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการปฏิบัติงานด้านการแพทย์ฉุกเฉินร่วมกันทั้งภาครัฐและเอกชนนั้น ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรับไปดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต

มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้

1. กำหนดให้สถานพยาบาลมีหน้าที่ให้การรักษาพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต เพื่อให้พ้นจากอันตรายตามมาตรฐานวิชาชีพและขีดความสามารถของสถานพยาบาล โดยไม่มีเงื่อนไขการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล และกำหนดให้สถานพยาบาลมีหน้าที่แจ้งต่อกองทุนของผู้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาล ตามกฎหมาย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบโดยเร็ว

2. กำหนดให้ศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (สพฉ.) เป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการวินิจฉัยในการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต

3. กำหนดให้สถานพยาบาลมีหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต จนพ้นภาวะวิกฤตรวมถึงการจัดให้มีระบบการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตไปยังสถานพยาบาลอื่น ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องส่งต่อ หรือผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตหรือญาติมีความประสงค์

4. กำหนดอัตราค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานับตั้งแต่รับผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตจนถึงเวลา 72 ชั่วโมง ซึ่งสถานพยาบาลจะได้รับให้เป็นไปตามบัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้าย ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นหลังเวลา 72 ชั่วโมง นับตั้งแต่รับผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ให้สถานพยาบาลเรียกเก็บไปที่กองทุนของผู้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลตามกฎหมายหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

5. กำหนดให้ สปสช. มีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องและสรุปค่าใช้จ่ายพร้อมทั้งแจ้งให้กองทุนของผู้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลตามกฎหมายหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับเอกสารครบถ้วน และให้กองทุนของผู้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลตามกฎหมายหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จ่ายค่าใช้จ่ายตามอัตราที่กำหนดไว้ในบัญชีแนบท้ายให้แก่สถานพยาบาลภายใน 15 วัน นับจากวันที่ สปสช. แจ้งผลการตรวจสอบและสรุปค่าใช้จ่าย

6. กำหนดหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายที่สถานพยาบาลจะได้รับ ในกรณีที่มีการส่งต่อผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตจากสถานพยาบาลแห่งหนึ่งไปยังสถานพยาบาลแห่งที่สอง ภายในเวลาก่อนครบ 72 ชั่วโมง นับแต่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลแห่งที่หนึ่ง

7. กำหนดให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เกิดขึ้น ในกรณีที่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสามารถย้ายสถานพยาบาลได้แต่ปฏิเสธไม่ขอย้าย

8. ในกรณีมีความจำเป็น ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานพยาบาล ดำเนินการทบทวนปรับปรุงบัญชีและอัตราตามบัญชีแนบท้ายหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขนี้ ภายในสามปีหรือตามที่คณะกรรมการสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลเห็นสมควร เพื่อให้มีความเหมาะสมโดยคำนึงถึงประโยชน์ที่ผู้ป่วยฉุกเฉินจะได้รับเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ บัญชีและอัตราค่าใช้จ่ายแนบท้ายหลักเกณฑ์ แบ่งออกเป็น 12 หมวดสรุปสาระสำคัญดังนี้

หมวด./รายการ/รายละเอียด/ตัวอย่าง

1. ค่าห้องและค่าอาหาร

  • เช่น ค่าเตียงสามัญ เบิกได้ไม่เกิน 100 บาท ค่าหอผู้ป่วยวิกฤต

2. ค่าอวัยวะเทียมและ อุปกรณ์บำบัดโรค

  • เช่น เยื่อหุ้มสมองเทียม แผ่นละ 9,000 บาท ลิ้นหัวใจเทียมชนิดลูกบอล อันละ 29,000 บาท ชุดสายยางและปอดเทียมชุดละ 80,000 บาท

3. ค่ายาและสารอาหารทางเส้นเลือด

  • กำหนดเป็นราคาแยกรายตัวยา ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยที่อ้างอิงข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านเวชภัณฑ์ สธ. และราคายาของกรมบัญชีกลาง

4. ค่าเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา

  • กำหนดเป็นราคาแยกรายตัวยา ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยที่อ้างอิงข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านเวชภัณฑ์ สธ. และราคายาของกรมบัญชีกลาง

5. ค่าบริการโลหิตและส่วนประกอบของโลหิต

  • หมายถึง ค่าจัดการบริการให้โลหิตหรือส่วนประกอบของโลหิตโดยรวมค่าอุปกรณ์บรรจุ น้ำยาที่ใช้การเตรียมการตรวจทางเทคนิค

6. ค่าตรวจวินิจฉัยทางเทคนิคการแพทย์

  • เช่น ค่าตรวจน้ำตาลในเลือด ค่าตรวจปัสสวะ โดยรวมค่าน้ำยาและวัสดุสิ้นเปลือง ค่าอุปกรณ์

7. ค่าตรวจวินิจฉัยและรักษาทางรังสีวิทยา

  • เช่น ภาพถ่ายเอ็กซ์เรย์ แผ่นละ 300 บาท อัลตราซาวด์ครั้งละ 1,150 บาท MRI สมอง ครั้งละ 8,000 บาท

8. ค่าตรวจวินิจฉัยโดยวิธีพิเศษอื่น ๆ

  • เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้านแบบสามมิติ ครั้งละ 3,600 บาท

9. ค่าทำหัตถการ

  • เช่น ห้องผ่าตัดใหญ่ ชั่วโมงละ 2,400 บาท

10. ค่าบริการวิสัญญี

  • หมายถึง ค่าบริการระงับความรู้สึกเจ็บปวดของคนไข้ก่อนผ่าตัด

11. ค่าบริการวิชาชีพ

  • เช่น ค่าบริการทางการแพทย์ ค่าบริการเภสัชกร ค่าบริการพยาบาล

12. ค่าบริการอื่น ๆ

  • ได้แก่ ค่าบริการรถฉุกเฉิน ครั้งละ 700 บาท ค่าน้ำมันรถ 4 บาท/กม.

--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 28 มีนาคม 2560--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ