คณะรัฐมนตรีพิจารณาผลการเจรจาเงินกู้จากธนาคารโลกสำหรับแผนงานเงินกู้เพื่อลดและเลิกการใช้สารทำลายโอโซน (Thailand : Building Chiller Replacement Project) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วมีมติอนุมัติ ดังนี้
1. ให้กระทรวงการคลังในนามราชอาณาจักรไทยค้ำประกันเงินกู้จาก The Ozone Trust และ The Global Environment Facility Trust Fund ผ่านธนาคารโลก ในวงเงิน 2.475 ล้านเหรียญสหรัฐ และวงเงินเทียบเท่า 2 ล้าน SDR (Special Drawing Rights) ซึ่งธนาคารโลกได้พิจารณาให้เงินกู้แก่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือบรรษัทฯ เพื่อดำเนินการตามแผนการลดและเลิกการใช้สารทำลายโอโซน (CFC) ในประเทศไทย โดยบรรษัทฯ จะนำเงินกู้ดังกล่าวมาให้กู้ต่อแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่ร่วมในโครงการนำร่องในการเปลี่ยนระบบทำความเย็นในตัวอาคาร ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการใช้สารทำลายโอโซนที่มีในประเทศไทย ทั้งนี้ ธนาคารโลกได้กำหนดให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1.1 เงื่อนไขเงินกู้
- อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 0.00 ต่อปี
- การดำเนินโครงการนำร่อง
1) บรรษัทฯ จะให้เงินกู้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจำนวน 24 ราย ที่เข้าร่วมโครงการตามแผนงานดังกล่าว เพื่อเปลี่ยนระบบทำความเย็น
2) บรรษัทฯ จะต้องประเมินผลความสำเร็จของโครงการนำร่อง จัดเตรียมแผนงานสำหรับโครงการต่อเนื่อง และเผยแพร่ข้อมูลที่ได้จากโครงการนำร่อง ทั้งนี้ บรรษัทฯ จะได้รับการสนับสนุนทางการเงินในการดำเนินการดังกล่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จำนวน 9,852,400 บาท
- การชำระคืน บรรษัทฯ จะชำระหนี้คืนให้แก่ธนาคารโลกเป็นเงินบาท โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันเบิกจ่ายเงินกู้ ดังนั้น จึงไม่มีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน
- ระยะเงินกู้
1) กรณีที่รัฐบาลไม่ทำโครงการต่อเนื่องในการเปลี่ยนแปลงระบบทำความเย็น จำนวน 400 โครงการ ในอนาคตจะต้องชำระคืนเงินกู้ภายในเวลา 5 ปี นับจากวันที่สัญญาเงินกู้มีผลบังคับใช้
2) กรณีทีรัฐบาลทำโครงการต่อเนื่องในการเปลี่ยนแปลงระบบทำความเย็น จำนวน 400 โครงการ ในอนาคตจะต้องชำระคืนเงินกู้ภายในเวลา 8 ปี นับจากวันที่สัญญาเงินกู้มีผลบังคับใช้
- การเบิกจ่ายเงินกู้ เบิกจ่ายผ่านบัญชีพิเศษ (Special Account) โดยมีระยะสิ้นสุดการเบิกจ่ายเงินกู้ (Closing Date) ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2548
- เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามมาตรฐานสัญญากู้เงินและค้ำประกันเงินกู้ธนาคารโลก
1.2 เงื่อนไขการให้กู้ต่อแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม บรรษัทฯ จะให้กู้เป็นสกุลเงินบาทโดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 4.50 ต่อปี ระยะเวลาชำระหนี้เงินกู้คืนนาน 4 - 5 ปี
1.3 เงื่อนไขการค้ำประกันเงินกู้ รัฐบาลไทยในฐานะผู้ค้ำประกันเงินกู้ต้องดำเนินโครงการตามแผนงานในระยะที่ 2 (Part B) โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จะต้องดำเนินการ ดังนี้
1) ตั้งคณะกรรมการเพื่อควบคุมและกำกับการดำเนินโครงการในระยะที่ 2 โดยมีผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บรรษัทฯ และผู้แทนภาคเอกชน
2) ตั้งคณะผู้ประเมินอิสระเพื่อประเมินผลโครงการนำร่อง (Part A) และประชาสัมพันธ์ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่ได้รับจากโครงการนำร่องแก่สาธารณชน รวมทั้งพัฒนาโครงการและกำหนดแนวทางการจัดหาแหล่งเงินทุน สำหรับการดำเนินแผนงานในระยะที่ 2 เพื่อเปลี่ยนระบบทำความเย็นในสถานประกอบการอุตสาหกรรมในวงกว้างต่อไป
2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในสัญญาค้ำประกันรวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้อง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 3 ก.ค.44--
-สส-
1. ให้กระทรวงการคลังในนามราชอาณาจักรไทยค้ำประกันเงินกู้จาก The Ozone Trust และ The Global Environment Facility Trust Fund ผ่านธนาคารโลก ในวงเงิน 2.475 ล้านเหรียญสหรัฐ และวงเงินเทียบเท่า 2 ล้าน SDR (Special Drawing Rights) ซึ่งธนาคารโลกได้พิจารณาให้เงินกู้แก่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือบรรษัทฯ เพื่อดำเนินการตามแผนการลดและเลิกการใช้สารทำลายโอโซน (CFC) ในประเทศไทย โดยบรรษัทฯ จะนำเงินกู้ดังกล่าวมาให้กู้ต่อแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่ร่วมในโครงการนำร่องในการเปลี่ยนระบบทำความเย็นในตัวอาคาร ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการใช้สารทำลายโอโซนที่มีในประเทศไทย ทั้งนี้ ธนาคารโลกได้กำหนดให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1.1 เงื่อนไขเงินกู้
- อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 0.00 ต่อปี
- การดำเนินโครงการนำร่อง
1) บรรษัทฯ จะให้เงินกู้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจำนวน 24 ราย ที่เข้าร่วมโครงการตามแผนงานดังกล่าว เพื่อเปลี่ยนระบบทำความเย็น
2) บรรษัทฯ จะต้องประเมินผลความสำเร็จของโครงการนำร่อง จัดเตรียมแผนงานสำหรับโครงการต่อเนื่อง และเผยแพร่ข้อมูลที่ได้จากโครงการนำร่อง ทั้งนี้ บรรษัทฯ จะได้รับการสนับสนุนทางการเงินในการดำเนินการดังกล่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จำนวน 9,852,400 บาท
- การชำระคืน บรรษัทฯ จะชำระหนี้คืนให้แก่ธนาคารโลกเป็นเงินบาท โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันเบิกจ่ายเงินกู้ ดังนั้น จึงไม่มีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน
- ระยะเงินกู้
1) กรณีที่รัฐบาลไม่ทำโครงการต่อเนื่องในการเปลี่ยนแปลงระบบทำความเย็น จำนวน 400 โครงการ ในอนาคตจะต้องชำระคืนเงินกู้ภายในเวลา 5 ปี นับจากวันที่สัญญาเงินกู้มีผลบังคับใช้
2) กรณีทีรัฐบาลทำโครงการต่อเนื่องในการเปลี่ยนแปลงระบบทำความเย็น จำนวน 400 โครงการ ในอนาคตจะต้องชำระคืนเงินกู้ภายในเวลา 8 ปี นับจากวันที่สัญญาเงินกู้มีผลบังคับใช้
- การเบิกจ่ายเงินกู้ เบิกจ่ายผ่านบัญชีพิเศษ (Special Account) โดยมีระยะสิ้นสุดการเบิกจ่ายเงินกู้ (Closing Date) ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2548
- เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามมาตรฐานสัญญากู้เงินและค้ำประกันเงินกู้ธนาคารโลก
1.2 เงื่อนไขการให้กู้ต่อแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม บรรษัทฯ จะให้กู้เป็นสกุลเงินบาทโดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 4.50 ต่อปี ระยะเวลาชำระหนี้เงินกู้คืนนาน 4 - 5 ปี
1.3 เงื่อนไขการค้ำประกันเงินกู้ รัฐบาลไทยในฐานะผู้ค้ำประกันเงินกู้ต้องดำเนินโครงการตามแผนงานในระยะที่ 2 (Part B) โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จะต้องดำเนินการ ดังนี้
1) ตั้งคณะกรรมการเพื่อควบคุมและกำกับการดำเนินโครงการในระยะที่ 2 โดยมีผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บรรษัทฯ และผู้แทนภาคเอกชน
2) ตั้งคณะผู้ประเมินอิสระเพื่อประเมินผลโครงการนำร่อง (Part A) และประชาสัมพันธ์ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่ได้รับจากโครงการนำร่องแก่สาธารณชน รวมทั้งพัฒนาโครงการและกำหนดแนวทางการจัดหาแหล่งเงินทุน สำหรับการดำเนินแผนงานในระยะที่ 2 เพื่อเปลี่ยนระบบทำความเย็นในสถานประกอบการอุตสาหกรรมในวงกว้างต่อไป
2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในสัญญาค้ำประกันรวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้อง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 3 ก.ค.44--
-สส-