ทำเนียบรัฐบาล--6 พ.ย.--นิวส์สแตนด์
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบรายงานข้อมูลการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ณ เดือนกันยายน 2543 ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเสนอ สรุปได้ดังนี้
1. ความคืบหน้าของการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543
1.1 ความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้างของสถาบันการเงิน
สถาบันการเงินทั้งระบบได้เร่งรัดการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพื่อแก้ไขปัญหาของลูกหนี้ที่เป็น NPL สำเร็จไปแล้ว จำนวน 310,027 ราย คิดเป็นมูลหนี้รวม 1,768,777 ล้านบาท โดยในเดือนกันยายน 2543 สถาบันการเงินมีความคืบหน้าในการดำเนินการ ดังนี้
1) ลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จเพิ่มขึ้นจากสิ้นเดือนสิงหาคม 2543 จำนวน 15,511 ราย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.27) เป็นมูลหนี้ทั้งสิ้น 61,432 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.60) โดยมูลหนี้ดังกล่าวประมาณร้อยละ 70 เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ของธนาคารพาณิชย์เอกชน ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จในเดือนกันยายนนี้ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคธุรกิจประเภทการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล รองลงมาคือ ลูกหนี้ประเภทการค้าส่งค้าปลีก และการเกษตร ประมง ป่าไม้ ตามลำดับ นอกจากนี้ย้งเป็นลูกหนี้ในเขตกรุงเทพมหานครและภาคกลางเป็นสำคัญ
2) ลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างการเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 75,256 ราย มูลหนี้ 479,222 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นเดือนสิงหาคม 2543 จำนวน 3,797 ราย มูลหนี้ 283,483 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากมีสถาบันการเงินบางแห่งได้ดำเนินการโอนลูกหนี้ NPL ให้บริษัท บริหารสินทรัพย์ดูแลต่อไป
1.2 ความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายของคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (คปน.)
นับแต่เริ่มใช้กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักการของสัญญา DCA/ICA สำหรับลูกหนี้รายใหญ่ และ สำหรับลูกหนี้รายกลาง รายย่อย ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการเป็นระยะเวลาเพียงหนึ่งปีหกเดือน มีผลการดำเนินการ ณ 31 ตุลาคม 2543 สรุปได้ดังนี้
ลูกหนี้เป้าหมายที่ให้ความร่วมมือเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 7,7078 ราย มูลหนี้ 1,588,828 ล้านบาท จากจำนวนลูกหนี้เป้าหมายในความดูแลของ คปน. ทั้งสิ้น 10,767 ราย มูลหนี้ 2,501,511 ล้านบาท ลูกหนี้เป้าหมายทั้ง 7,078 ราย ดังกล่าวเป็นลูกหนี้เป้าหมายรายใหญ่ จำนวน 1,423 ราย มูลหนี้ 1,397,127 ล้านบาท และลูกหนี้รายกลายรายย่อย จำนวน 5,655 ราย มูลหนี้ 191,701 ล้านบาท โดยมีความคืบหน้าในการดำเนินการดังนี้
1) ลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จ 5,631 ราย มูลหนี้รวม 1,129,215 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 80 ของลูกหนี้ที่ให้ความร่วมมือเข้ากระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
สำหรับจำนวนลูกหนี้เป้าหมายที่ปรับปรุงโครงสร้งหนี้สำเร็จส่วนใหญ่อยู่ในภาคการพาณิชย์คิดเป็นร้อยละ 25.50 ของจำนวนลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จทั้งสิ้น รองลงมาคือการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลและการอุตสาหกรรม ซี่งมีสัดส่วนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จร้อยละ 23.48 และ 17.00 ตามลำดับ
2) ลูกหนี้ที่ยังคงเหลืออยู่ในกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของ คปน. ซึ่งต้องเร่งรัดการดำเนินการต่อไปนั้น มีจำนวนทั้งสิ้น 476 รายมูลหนี้ 85,315 ล้านบาท เป็นลูกหนี้รายใหญ่ จำนวน 288 ราย มูลหนี้ 70,752 ล้านบาท และลูกหนี้รายกลางรายย่อย จำนวน 188 ราย มูลหนี้ 14,463 ล้านบาท
ทั้งนี้คปน. จะเร่งรัดให้สถาบันการเงินปรับปรุงโครงสร้างหนี้แก่ลูกหนี้รายกลางรายย่อยต่อไป โดยขณะนี้มีลูกหนี้เป้าหมายรายกลางรายย่อย จำนวน 1,163 ราย มูลหนี้ 6,630 ล้านบาท ที่อยู่ระหว่างรอลงนามเพื่อเข้ากระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
3) ลูกหนี้ที่ไม่ลงนามผูกพันตนเข้าสู่กระบวนการหรือเป็นลูกหนี้ที่ไม่สามารถเจรจาตกลงกับเจ้าหนี้ได้โดยสถาบันการเงินต้องนำเข้าสู่กระบวนการทางศาล มีจำนวนทั้งสิ้น 3,437 ราย มูลหนี้ 1,210,689 ล้านบาทในจำนวนนี้เป็นลูกหนี้ที่ให้ความร่วมมือเข้ากระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของคปน.เพียง 971 ราย มูลหนี้ 374,298 ล้านบาท หรือ เพียงร้อยละ 14 ของลูกหนี้ที่ให้ความร่วมมือเข้ากระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
1.3 ปัญหาและอุปสรรคในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ สรุปได้เป็น 3 ประการคือ
1) ปัญหาเกี่ยวกับที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งจะเป็นผู้วิเคราะห์ข้อมูลสำหรับใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของแผนการดำเนินธุรกิจของลูกหนี้ ซึ่งรวมถึงกระแสเงินสดของลูกหนี้ในการชำระหนี้ตามแผนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ นั้น ปัจจุบันที่ปรึกษาทางการเงินยังมีคุณภาพที่แตกต่างกันและคิดค่าใช้จ่ายบริการในด้านนี้ค่อนข้างจะสูงมาก
2) ปัญหาเกี่ยวกับมาตรฐานการประเมินราคาสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน ในกรณีที่ต้องใช้ผู้ประเมินราคาหลายราย ปรากฎว่าผลการประเมินราคาของผู้บประเมินราคาจะความแตกต่างกันมาก
3) นอกจากนี้ ยังพบว่าบรรดาเจ้าหนี้ด้วยกันเองยังมีปัญหาเกี่ยวกับบุริมสิทธิ์ของหลักประกันและการแบ่งหลักประกันให้เป็นธรรม เป็นต้น
2. การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543
2.1 NPL คงค้างของระบบสถาบันการเงินที่ไม่รวมสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
1) ระบบสถาบันการเงิน (ไม่รวมสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์) มี NPL คงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 ทั้งสิ้น 1,115.4 พันล้านบาทและสินเชื่อรวม 1,007. พันล้านบาท NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 22.78 ซึ่งแยกแสดงรายกลุ่มได้ดังนี้
- ธนาคารเอกชน มี NPL คงค้างทั้งสิ้น 526.3 พันล้านบาท และสินเชื่อรวม 2,617.2 พันล้านบาท NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 20.11
- ธนาคารของรัฐ NPL คงค้างทั้งสิ้น 492.6 พันล้านบาท และสินเชื่อรวม 1,488.7 พันล้านบาท NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 33.09
- สาขาธนาคารต่างประเทศมี NPL คงค้างทั้งสิ้น 39.3 พันล้านบาท และสินเชื่อรวม 631.4 พันล้านบาท NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 6.23
- บริษัทเงินทุนมี NPL คงค้างทั้งสิ้น 57.2 พันล้านบาท และสินเชื่อรวม 160.3 พันล้านบาท NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 35.69
2) ประเภทธุรกิจที่มี NPL คงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 จำนวนสูงแสดงได้ ดังนี้
- ภาคอุตสาหกรรมมี NPL คงค้าง 188.2 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.88 ของ NPL ทั้งสิ้น
- ธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์มี NPL คงค้าง 188.2 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.63 ของ NPL ทั้งสิ้น
- ธุรกิจการค้าส่งออกและค้าปลีกมี NPL คงค้าง 174.4 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.63 ของ NPL ทั้งสิ้น
2.2 NPL ของสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
1) สำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศมี NPL คงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 ทั้งสิ้น 4.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นเดือนก่อน 0.3 พันล้านบาท และมีเสินเชื่อรวม 71.0 พันล้านบาท NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 6.54
2) บริษัท เครดิตฟองซิเอร์มี NPL คงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 ทั้งสิ้น 1.6 พันล้านบาทใกล้เคียงกับเดือนก่อน และมีสินเชื่อรวม 3.2 พันล้านบาท NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 49.65
2.3 NPL คงค้าง ของระบบสถาบันการเงินรวมสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 ทั้งสิ้น 1,121.7 พันล้านบาท และสินเชื่อรวม 4,971.8 พันล้านบาท NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 22.56 ลดลงมาจากร้อยละ 30.89 ณ สิ้นเดือนก่อน
2.4 การปรับปรุงโครงสร้างหนี้
การปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จของระบบสถาบันการเงินที่เกิดขึ้นในเดือนกันยายน 2543 มีจำนวนทั้งสิ้น C1.4 พันล้านบาท เป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้จาก NPL จำนวน 40.2 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการปรับปรุงโครงสร้งหนี้จากหนี้ที่มีการค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยไม่เกิน 3 เดือน
2.5 NPL คงค้างหลังหักเงินสำรอง
1) ระบบสถาบันการเงิน (ไม่รวมสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์) ได้กันเงินสำรองสำหรับ NPL ส่วนที่ไม่มีหลักประกันรองรับจำนวน พันล้านบาท ดังนั้น NPL หลังหักเงินสำรองจึงเท่ากับ 721.2 พันล้านบาท และสินเชื่อทั้งสิ้นหลังหักเงินสำรองเท่ากับ 4,503.4 พันล้านบาท NPL หลังหักเงินสำรองต่อสินเชื่อทั้งสิ้นหลังหักเงินสำรองเท่ากับร้อยละ 16.02
2) ระบบสถาบันการเงินรวมสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ได้กันเงินสำรองสำหรับ NPL ส่วนที่ไม่มีหลักประกันรองรับจำนวน 397.2 พันล้านบาท ดังนั้น NPL หลังหักเงินสำรองจึงเท่ากับ 724.5 พันล้านบาท และสินเชื่อทั้งสิ้นหลังหักเงินสำรองเท่ากับ 4,574.6 พันล้านบาท NPL หลังหักเงินสำรองต่อสินเชื่อทั้งสิ้นหลังหักเงินสำรองเท่ากับร้อยละ 15.84
2.6 แนวโน้มและสถานการณ์ PL และ NPL ในอนาคต
1) (PL) ของระบบสถาบันการเงินไม่รวมสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยตลอด ทั้งในรูปจำนวนและร้อยละสินเชื่อรวม
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 สินเชื่อที่เป็น PL มีจำนวนทั้งสิ้น 0.709.9 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 77.22 ของสินเชื่อรวม ประกอบด้วยส่วนที่ค้างชำระไม่เกิน 3 เดือนจำนวน 92.7 พันล้านบาท ซึ่งคงค้างในจำนวนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วน PL ที่เหลืออีกจำนวน 3,689.5 พันล้านบาท เป็นเสินเชื่อที่ไม่ค้างชำระซึ่งมีปริมาณที่เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด เนื่องจากได้มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เสร็จแล้วเป็นสำคัญ อีกทั้งยังเป็นผลจากการให้สินเชื่อจำนวนใหม่เพิ่มขึ้นด้วย
2) ธนาคารพาณิชย์ไทยเอกชนและของรัฐวิธีแก้ไขปัญหา NPL แตกต่างกัน โดยมีความคืบหน้าดังนี้
- ธนาคารเอกชนดูแลแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ผ่านกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างนี้ การโอนหนี้เสียไป AMC และการตัดหนี้จัดชั้นสงสัยจะสูญที่กันสำรองครบร้อยละ 100 แล้วออกจากบัญชี โดยในขณะนี้ธนาคารเอกชนสามารถจัดการปัญหา NPL ได้เป็นอย่างดี จนมียอด NPL คงค้างลดลงเหลืออยู่ในระดับเพียงร้อยละ 20.11 ของสินเชื่อรวม
- สำหรับธนาคารรัฐถึงแม้จะมีอัตราส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมสูงกว่าของกลุ่มธนาคารเอกชนแต่ก็เป็นสถาบันการเงินกลุ่มที่ทางการเป็นผู้ดูแลโดยตรงในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งในเดือนกันยายน 2543 นี้ ธนาคารกรุงไทยได้โอนหนี้ไป AMC เรียบร้อยแล้ว ทำให้ NPL ของธนาคารรัฐลดลงเหลืออยู่ในระดับร้อยละ 33.09 ของสินเชื่อรวม ส่วนกรณีธนาคารไทยธนาคาร และธนาคารศรีนคร ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติแนวทางการชดเชยสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Yield Mainternance and Gain/Loss Sharing) นั้น เมื่อทำสัญญาเสร็จแล้ว NPL จะทยอยลดลงต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 6 พ.ย. 2543--
-สส-
คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบรายงานข้อมูลการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และการแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ณ เดือนกันยายน 2543 ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเสนอ สรุปได้ดังนี้
1. ความคืบหน้าของการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543
1.1 ความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้างของสถาบันการเงิน
สถาบันการเงินทั้งระบบได้เร่งรัดการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพื่อแก้ไขปัญหาของลูกหนี้ที่เป็น NPL สำเร็จไปแล้ว จำนวน 310,027 ราย คิดเป็นมูลหนี้รวม 1,768,777 ล้านบาท โดยในเดือนกันยายน 2543 สถาบันการเงินมีความคืบหน้าในการดำเนินการ ดังนี้
1) ลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จเพิ่มขึ้นจากสิ้นเดือนสิงหาคม 2543 จำนวน 15,511 ราย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.27) เป็นมูลหนี้ทั้งสิ้น 61,432 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.60) โดยมูลหนี้ดังกล่าวประมาณร้อยละ 70 เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ของธนาคารพาณิชย์เอกชน ทั้งนี้ ลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จในเดือนกันยายนนี้ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคธุรกิจประเภทการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล รองลงมาคือ ลูกหนี้ประเภทการค้าส่งค้าปลีก และการเกษตร ประมง ป่าไม้ ตามลำดับ นอกจากนี้ย้งเป็นลูกหนี้ในเขตกรุงเทพมหานครและภาคกลางเป็นสำคัญ
2) ลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างการเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 75,256 ราย มูลหนี้ 479,222 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นเดือนสิงหาคม 2543 จำนวน 3,797 ราย มูลหนี้ 283,483 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากมีสถาบันการเงินบางแห่งได้ดำเนินการโอนลูกหนี้ NPL ให้บริษัท บริหารสินทรัพย์ดูแลต่อไป
1.2 ความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายของคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (คปน.)
นับแต่เริ่มใช้กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักการของสัญญา DCA/ICA สำหรับลูกหนี้รายใหญ่ และ สำหรับลูกหนี้รายกลาง รายย่อย ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการเป็นระยะเวลาเพียงหนึ่งปีหกเดือน มีผลการดำเนินการ ณ 31 ตุลาคม 2543 สรุปได้ดังนี้
ลูกหนี้เป้าหมายที่ให้ความร่วมมือเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ มีจำนวนทั้งสิ้น 7,7078 ราย มูลหนี้ 1,588,828 ล้านบาท จากจำนวนลูกหนี้เป้าหมายในความดูแลของ คปน. ทั้งสิ้น 10,767 ราย มูลหนี้ 2,501,511 ล้านบาท ลูกหนี้เป้าหมายทั้ง 7,078 ราย ดังกล่าวเป็นลูกหนี้เป้าหมายรายใหญ่ จำนวน 1,423 ราย มูลหนี้ 1,397,127 ล้านบาท และลูกหนี้รายกลายรายย่อย จำนวน 5,655 ราย มูลหนี้ 191,701 ล้านบาท โดยมีความคืบหน้าในการดำเนินการดังนี้
1) ลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จ 5,631 ราย มูลหนี้รวม 1,129,215 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 80 ของลูกหนี้ที่ให้ความร่วมมือเข้ากระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
สำหรับจำนวนลูกหนี้เป้าหมายที่ปรับปรุงโครงสร้งหนี้สำเร็จส่วนใหญ่อยู่ในภาคการพาณิชย์คิดเป็นร้อยละ 25.50 ของจำนวนลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จทั้งสิ้น รองลงมาคือการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลและการอุตสาหกรรม ซี่งมีสัดส่วนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จร้อยละ 23.48 และ 17.00 ตามลำดับ
2) ลูกหนี้ที่ยังคงเหลืออยู่ในกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของ คปน. ซึ่งต้องเร่งรัดการดำเนินการต่อไปนั้น มีจำนวนทั้งสิ้น 476 รายมูลหนี้ 85,315 ล้านบาท เป็นลูกหนี้รายใหญ่ จำนวน 288 ราย มูลหนี้ 70,752 ล้านบาท และลูกหนี้รายกลางรายย่อย จำนวน 188 ราย มูลหนี้ 14,463 ล้านบาท
ทั้งนี้คปน. จะเร่งรัดให้สถาบันการเงินปรับปรุงโครงสร้างหนี้แก่ลูกหนี้รายกลางรายย่อยต่อไป โดยขณะนี้มีลูกหนี้เป้าหมายรายกลางรายย่อย จำนวน 1,163 ราย มูลหนี้ 6,630 ล้านบาท ที่อยู่ระหว่างรอลงนามเพื่อเข้ากระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
3) ลูกหนี้ที่ไม่ลงนามผูกพันตนเข้าสู่กระบวนการหรือเป็นลูกหนี้ที่ไม่สามารถเจรจาตกลงกับเจ้าหนี้ได้โดยสถาบันการเงินต้องนำเข้าสู่กระบวนการทางศาล มีจำนวนทั้งสิ้น 3,437 ราย มูลหนี้ 1,210,689 ล้านบาทในจำนวนนี้เป็นลูกหนี้ที่ให้ความร่วมมือเข้ากระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของคปน.เพียง 971 ราย มูลหนี้ 374,298 ล้านบาท หรือ เพียงร้อยละ 14 ของลูกหนี้ที่ให้ความร่วมมือเข้ากระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
1.3 ปัญหาและอุปสรรคในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ สรุปได้เป็น 3 ประการคือ
1) ปัญหาเกี่ยวกับที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งจะเป็นผู้วิเคราะห์ข้อมูลสำหรับใช้ในการตัดสินใจเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของแผนการดำเนินธุรกิจของลูกหนี้ ซึ่งรวมถึงกระแสเงินสดของลูกหนี้ในการชำระหนี้ตามแผนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ นั้น ปัจจุบันที่ปรึกษาทางการเงินยังมีคุณภาพที่แตกต่างกันและคิดค่าใช้จ่ายบริการในด้านนี้ค่อนข้างจะสูงมาก
2) ปัญหาเกี่ยวกับมาตรฐานการประเมินราคาสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน ในกรณีที่ต้องใช้ผู้ประเมินราคาหลายราย ปรากฎว่าผลการประเมินราคาของผู้บประเมินราคาจะความแตกต่างกันมาก
3) นอกจากนี้ ยังพบว่าบรรดาเจ้าหนี้ด้วยกันเองยังมีปัญหาเกี่ยวกับบุริมสิทธิ์ของหลักประกันและการแบ่งหลักประกันให้เป็นธรรม เป็นต้น
2. การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543
2.1 NPL คงค้างของระบบสถาบันการเงินที่ไม่รวมสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
1) ระบบสถาบันการเงิน (ไม่รวมสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์) มี NPL คงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 ทั้งสิ้น 1,115.4 พันล้านบาทและสินเชื่อรวม 1,007. พันล้านบาท NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 22.78 ซึ่งแยกแสดงรายกลุ่มได้ดังนี้
- ธนาคารเอกชน มี NPL คงค้างทั้งสิ้น 526.3 พันล้านบาท และสินเชื่อรวม 2,617.2 พันล้านบาท NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 20.11
- ธนาคารของรัฐ NPL คงค้างทั้งสิ้น 492.6 พันล้านบาท และสินเชื่อรวม 1,488.7 พันล้านบาท NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 33.09
- สาขาธนาคารต่างประเทศมี NPL คงค้างทั้งสิ้น 39.3 พันล้านบาท และสินเชื่อรวม 631.4 พันล้านบาท NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 6.23
- บริษัทเงินทุนมี NPL คงค้างทั้งสิ้น 57.2 พันล้านบาท และสินเชื่อรวม 160.3 พันล้านบาท NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 35.69
2) ประเภทธุรกิจที่มี NPL คงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 จำนวนสูงแสดงได้ ดังนี้
- ภาคอุตสาหกรรมมี NPL คงค้าง 188.2 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 16.88 ของ NPL ทั้งสิ้น
- ธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์มี NPL คงค้าง 188.2 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.63 ของ NPL ทั้งสิ้น
- ธุรกิจการค้าส่งออกและค้าปลีกมี NPL คงค้าง 174.4 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 15.63 ของ NPL ทั้งสิ้น
2.2 NPL ของสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
1) สำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศมี NPL คงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 ทั้งสิ้น 4.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นเดือนก่อน 0.3 พันล้านบาท และมีเสินเชื่อรวม 71.0 พันล้านบาท NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 6.54
2) บริษัท เครดิตฟองซิเอร์มี NPL คงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 ทั้งสิ้น 1.6 พันล้านบาทใกล้เคียงกับเดือนก่อน และมีสินเชื่อรวม 3.2 พันล้านบาท NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 49.65
2.3 NPL คงค้าง ของระบบสถาบันการเงินรวมสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 ทั้งสิ้น 1,121.7 พันล้านบาท และสินเชื่อรวม 4,971.8 พันล้านบาท NPL ต่อสินเชื่อรวมเท่ากับร้อยละ 22.56 ลดลงมาจากร้อยละ 30.89 ณ สิ้นเดือนก่อน
2.4 การปรับปรุงโครงสร้างหนี้
การปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จของระบบสถาบันการเงินที่เกิดขึ้นในเดือนกันยายน 2543 มีจำนวนทั้งสิ้น C1.4 พันล้านบาท เป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้จาก NPL จำนวน 40.2 พันล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นการปรับปรุงโครงสร้งหนี้จากหนี้ที่มีการค้างชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยไม่เกิน 3 เดือน
2.5 NPL คงค้างหลังหักเงินสำรอง
1) ระบบสถาบันการเงิน (ไม่รวมสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์) ได้กันเงินสำรองสำหรับ NPL ส่วนที่ไม่มีหลักประกันรองรับจำนวน พันล้านบาท ดังนั้น NPL หลังหักเงินสำรองจึงเท่ากับ 721.2 พันล้านบาท และสินเชื่อทั้งสิ้นหลังหักเงินสำรองเท่ากับ 4,503.4 พันล้านบาท NPL หลังหักเงินสำรองต่อสินเชื่อทั้งสิ้นหลังหักเงินสำรองเท่ากับร้อยละ 16.02
2) ระบบสถาบันการเงินรวมสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ได้กันเงินสำรองสำหรับ NPL ส่วนที่ไม่มีหลักประกันรองรับจำนวน 397.2 พันล้านบาท ดังนั้น NPL หลังหักเงินสำรองจึงเท่ากับ 724.5 พันล้านบาท และสินเชื่อทั้งสิ้นหลังหักเงินสำรองเท่ากับ 4,574.6 พันล้านบาท NPL หลังหักเงินสำรองต่อสินเชื่อทั้งสิ้นหลังหักเงินสำรองเท่ากับร้อยละ 15.84
2.6 แนวโน้มและสถานการณ์ PL และ NPL ในอนาคต
1) (PL) ของระบบสถาบันการเงินไม่รวมสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยตลอด ทั้งในรูปจำนวนและร้อยละสินเชื่อรวม
ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 สินเชื่อที่เป็น PL มีจำนวนทั้งสิ้น 0.709.9 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 77.22 ของสินเชื่อรวม ประกอบด้วยส่วนที่ค้างชำระไม่เกิน 3 เดือนจำนวน 92.7 พันล้านบาท ซึ่งคงค้างในจำนวนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วน PL ที่เหลืออีกจำนวน 3,689.5 พันล้านบาท เป็นเสินเชื่อที่ไม่ค้างชำระซึ่งมีปริมาณที่เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด เนื่องจากได้มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เสร็จแล้วเป็นสำคัญ อีกทั้งยังเป็นผลจากการให้สินเชื่อจำนวนใหม่เพิ่มขึ้นด้วย
2) ธนาคารพาณิชย์ไทยเอกชนและของรัฐวิธีแก้ไขปัญหา NPL แตกต่างกัน โดยมีความคืบหน้าดังนี้
- ธนาคารเอกชนดูแลแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ผ่านกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างนี้ การโอนหนี้เสียไป AMC และการตัดหนี้จัดชั้นสงสัยจะสูญที่กันสำรองครบร้อยละ 100 แล้วออกจากบัญชี โดยในขณะนี้ธนาคารเอกชนสามารถจัดการปัญหา NPL ได้เป็นอย่างดี จนมียอด NPL คงค้างลดลงเหลืออยู่ในระดับเพียงร้อยละ 20.11 ของสินเชื่อรวม
- สำหรับธนาคารรัฐถึงแม้จะมีอัตราส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมสูงกว่าของกลุ่มธนาคารเอกชนแต่ก็เป็นสถาบันการเงินกลุ่มที่ทางการเป็นผู้ดูแลโดยตรงในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งในเดือนกันยายน 2543 นี้ ธนาคารกรุงไทยได้โอนหนี้ไป AMC เรียบร้อยแล้ว ทำให้ NPL ของธนาคารรัฐลดลงเหลืออยู่ในระดับร้อยละ 33.09 ของสินเชื่อรวม ส่วนกรณีธนาคารไทยธนาคาร และธนาคารศรีนคร ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติแนวทางการชดเชยสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Yield Mainternance and Gain/Loss Sharing) นั้น เมื่อทำสัญญาเสร็จแล้ว NPL จะทยอยลดลงต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 6 พ.ย. 2543--
-สส-