ทำเนียบรัฐบาล--9 พ.ค.--นิวส์สแตนด์
คณะรัฐมนตรีพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. …. ซึ่งเป็นการปรับปรุงระบบกฎหมายเกี่ยวกับหลักประกันให้สามารถนำทรัพย์สินที่มีมูลค่าในทางเศรษฐกิจมาใช้เป็นหลักประกันในลักษณะที่ไม่ต้องส่งมอบการครอบครองแก่เจ้าหนี้ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการประกอบธุรกิจอันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ แล้วมีมติ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาแล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
2. สำหรับการขอจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบการรับจดแจ้งหลักประกันทางธุรกิจนั้น ให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2540 และวันที่ 18 สิงหาคม 2541 ที่ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจระงับหรือชะลอการจัดตั้งหรือขยายหน่วยงานใหม่ จึงเห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานที่มีอยู่แล้วในกระทรวงพาณิชย์หรือกระทรวงยุติธรรมรับไปดำเนินการ สำหรับงบประมาณดำเนินการดังกล่าว ให้เจียดจ่ายจากงบประมาณของหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้รับจดแจ้งหลักประกันดังกล่าวก่อน หากไม่พอเพียงจึงให้ขอรับการจัดสรรจากงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายฯ ต่อไป
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. สัญญาหลักประกันทางธุรกิจ คือ สัญญาซึ่งคู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ผู้ให้หลักประกันเอาทรัพย์สินตราไว้แก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ผู้รับหลักประกัน เป็นประกันการชำระหนี้ โดยจะส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับหลักประกันหรือไม่ก็ได้ และต้องทำเป็นหนังสือมีรายการตามที่กำหนดไว้
2. ผู้ให้หลักประกันและผู้รับหลักประกันต้องเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลอื่นที่รัฐมนตรีกำหนด
3. ทรัพย์สินไม่ว่าประเภทใด ทั้งที่มีอยู่ในขณะทำสัญญาและที่จะมีในอนาคตอาจใช้เป็นหลักประกันได้เว้นแต่กรณีที่กฎหมายกำหนดห้ามไว้โดยเฉพาะ
4. เว้นแต่ในหนังสือจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ถ้าผู้ให้หลักประกันยังคงครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน ผู้ให้หลักประกันมีสิทธิจำหน่าย จ่ายโอน ใช้สอย ใช้ในการผลิต นำไปรวมกับทรัพย์สินอื่น ใช้ไปสิ้นไป และดอกผลของทรัพย์สินนั้นจนกว่าศาลมีคำสั่งบังคับหลักประกัน
5. เมื่อจดแจ้งหลักประกันตามกฎหมาย ผู้รับหลักประกันมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันก่อนเจ้าหนี้สามัญ หากมีการจดแจ้งทรัพย์สินใดเป็นหลักประกันหลายครั้ง ให้ถือลำดับสิทธิการได้รับการชำระหนี้ตามลำดับวันเวลาจดแจ้ง และหากทรัพย์สินดังกล่าวมีการจำนองหรือจำนำด้วย ก็ให้ถือลำดับสิทธิเรียงตามลำดับวันและเวลาจดแจ้ง วันเวลาที่จดทะเบียน หรือวันเวลาที่มีการจำนำแล้วแต่กรณี
6. กรณีมีบุริมสิทธิ์แย้งกับสิทธิตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ หากมีการจดแจ้งอสังหาริมทรัพย์ ให้ผู้รับหลักประกันมีสิทธิอย่างเดียวกับผู้รับจำนอง หรือหากมีการจดแจ้งสังหาริมทรัพย์ให้ผู้รับหลักประกันมีสิทธิอย่างเดียวกับผู้รับจำนำ
7. การบังคับหลักประกันตามสัญญาต้องมีหนังสือบอกกล่าวบังคับหลักประกัน และยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งบังคับหลักประกัน
8. การจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันอาจใช้วิธีขายทอดตลาดโดยเจ้าพนักงานบังคับคดี หรือจำหน่ายโดยวิธีการอื่นตามที่มีการร้องขอต่อศาล
9. การบังคับและจำหน่ายหลักประกันที่เป็นกิจการ อาจดำเนินการในลักษณะที่ผู้รับโอนสามารถรับโอนโครงการของผู้ให้หลักประกันและดำเนินโครงการต่อไปได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 9 พฤษภาคม 2543--
-สส-
คณะรัฐมนตรีพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. …. ซึ่งเป็นการปรับปรุงระบบกฎหมายเกี่ยวกับหลักประกันให้สามารถนำทรัพย์สินที่มีมูลค่าในทางเศรษฐกิจมาใช้เป็นหลักประกันในลักษณะที่ไม่ต้องส่งมอบการครอบครองแก่เจ้าหนี้ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมการประกอบธุรกิจอันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ แล้วมีมติ ดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาแล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
2. สำหรับการขอจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบการรับจดแจ้งหลักประกันทางธุรกิจนั้น ให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2540 และวันที่ 18 สิงหาคม 2541 ที่ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจระงับหรือชะลอการจัดตั้งหรือขยายหน่วยงานใหม่ จึงเห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานที่มีอยู่แล้วในกระทรวงพาณิชย์หรือกระทรวงยุติธรรมรับไปดำเนินการ สำหรับงบประมาณดำเนินการดังกล่าว ให้เจียดจ่ายจากงบประมาณของหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้รับจดแจ้งหลักประกันดังกล่าวก่อน หากไม่พอเพียงจึงให้ขอรับการจัดสรรจากงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายฯ ต่อไป
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. สัญญาหลักประกันทางธุรกิจ คือ สัญญาซึ่งคู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ผู้ให้หลักประกันเอาทรัพย์สินตราไว้แก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ผู้รับหลักประกัน เป็นประกันการชำระหนี้ โดยจะส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับหลักประกันหรือไม่ก็ได้ และต้องทำเป็นหนังสือมีรายการตามที่กำหนดไว้
2. ผู้ให้หลักประกันและผู้รับหลักประกันต้องเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลอื่นที่รัฐมนตรีกำหนด
3. ทรัพย์สินไม่ว่าประเภทใด ทั้งที่มีอยู่ในขณะทำสัญญาและที่จะมีในอนาคตอาจใช้เป็นหลักประกันได้เว้นแต่กรณีที่กฎหมายกำหนดห้ามไว้โดยเฉพาะ
4. เว้นแต่ในหนังสือจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ถ้าผู้ให้หลักประกันยังคงครอบครองทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน ผู้ให้หลักประกันมีสิทธิจำหน่าย จ่ายโอน ใช้สอย ใช้ในการผลิต นำไปรวมกับทรัพย์สินอื่น ใช้ไปสิ้นไป และดอกผลของทรัพย์สินนั้นจนกว่าศาลมีคำสั่งบังคับหลักประกัน
5. เมื่อจดแจ้งหลักประกันตามกฎหมาย ผู้รับหลักประกันมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันก่อนเจ้าหนี้สามัญ หากมีการจดแจ้งทรัพย์สินใดเป็นหลักประกันหลายครั้ง ให้ถือลำดับสิทธิการได้รับการชำระหนี้ตามลำดับวันเวลาจดแจ้ง และหากทรัพย์สินดังกล่าวมีการจำนองหรือจำนำด้วย ก็ให้ถือลำดับสิทธิเรียงตามลำดับวันและเวลาจดแจ้ง วันเวลาที่จดทะเบียน หรือวันเวลาที่มีการจำนำแล้วแต่กรณี
6. กรณีมีบุริมสิทธิ์แย้งกับสิทธิตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ หากมีการจดแจ้งอสังหาริมทรัพย์ ให้ผู้รับหลักประกันมีสิทธิอย่างเดียวกับผู้รับจำนอง หรือหากมีการจดแจ้งสังหาริมทรัพย์ให้ผู้รับหลักประกันมีสิทธิอย่างเดียวกับผู้รับจำนำ
7. การบังคับหลักประกันตามสัญญาต้องมีหนังสือบอกกล่าวบังคับหลักประกัน และยื่นคำขอให้ศาลมีคำสั่งบังคับหลักประกัน
8. การจำหน่ายทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันอาจใช้วิธีขายทอดตลาดโดยเจ้าพนักงานบังคับคดี หรือจำหน่ายโดยวิธีการอื่นตามที่มีการร้องขอต่อศาล
9. การบังคับและจำหน่ายหลักประกันที่เป็นกิจการ อาจดำเนินการในลักษณะที่ผู้รับโอนสามารถรับโอนโครงการของผู้ให้หลักประกันและดำเนินโครงการต่อไปได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 9 พฤษภาคม 2543--
-สส-