คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์ ครั้งที่ 22 ณ เมือง Punta del Este ประเทศอุรุกวัย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ดังนี้
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสุวรรณ วลัยเสถียร) ได้นำคณะผู้แทนไทย ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีของกลุ่มเคร์นส์ ครั้งที่ 22 ณ เมือง Punta del Este ประเทศอุรุกวัย ระหว่างวันที่ 3 - 5 กันยายน 2544
ในการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์ในครั้งนี้ประเทศสมาชิกได้พร้อมใจกันประกาศจุดยืนของกลุ่มในเรื่องการเจรจา WTO รอบใหม่ที่กรุงโดฮา ประเทศกาต้าร์ว่าโอกาสในการเปิดเจรจารอบใหม่จะขึ้นอยู่กับสมาชิกมีความทะเยอทะยานและมุ่งปฏิรูปการค้าสินค้าเกษตรมากเพียงใด และได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ที่ประชุม WTO ที่โดฮากาต้าร์ ตกลงในเรื่องเกษตร ดังนี้
1. ยุติการเลือกปฏิบัติกับสินค้าเกษตร
2. ปฏิรูปการค้าสินค้าเกษตรอย่างจริงจัง โดยการยกเลิกการอุดหนุนส่งออก (export subsidies) ทุกชนิดลดการอุดหนุนภายในลงให้มาก และเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้กว้างขึ้นอีก
3. เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการค้า (non-trade concerns) จะต้องเป็นเรื่องรอง และต้องไม่มีผลกระทบบิดเบือนการค้า รวมทั้งไม่เป็นข้ออ้างให้นำมาตรการกีดกันใหม่ ๆ มาใช้ด้วย
4. มีการให้แต้มต่อสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ชัดเจน จริงจังและขยายเพิ่มขึ้นจากเดิม
5. มีความชัดเจนในเรื่องกำหนดเวลา กำหนดเป้าหมายในแต่ละขั้นตอน และรูปแบบโครงสร้างการเจรจาการค้าสินค้าเกษตร
ในการประชุมครั้งนี้ นาย Robert Zoellick ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) และนาง Anne Veneman รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ ได้รับเชิญมาพบสมาชิกกลุ่มเคร์นส์ด้วย และเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีแข็งขันในการสนับสนุนการเจรจาเกษตร รวมทั้งแสดงจุดยืนซึ่งใกล้เคียงกับกลุ่มเคร์นส์ เช่นต้องการให้ยกเลิกการอุดหนุนส่งออกและการมีกำหนดเวลาในการเจรจาที่แน่ชัด
สำหรับประเทศไทยได้ผลักดันประเด็นที่เป็นปัญหาของไทยไว้ในแถลงการณ์ด้วย เช่นปัญหาการกีดกันการนำเข้าโดยการใช้มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ปัญหาที่ประเทศพัฒนาแล้วให้การอุดหนุนจำนวนมากจนประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตไม่สามารถแข่งขันได้ โดยได้พูดถึงกรณีที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลกในปีหนึ่งส่งออกประมาณ 6 ล้านตัน แต่การที่ประเทศพัฒนาแล้วให้การอุดหนุนการผลิตทำให้ไทยไม่สามารถแข่งขันได้หากการอุดหนุนเหล่านี้ลดลงไทยก็จะสามารถขยายการส่งออกทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงได้มีการแถลงการณ์ร่วมกันให้ลดการช่วยเหลือภายในของสินค้าเกษตรลงอย่างมาก ยกเลิกการอุดหนุนส่งออก และในขณะเดียวกันก็มีการปฏิบัติที่พิเศษและแตกต่าง (S & D) แก่ประเทศกำลังพัฒนาด้วย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 9 ต.ค. 44--
-สส-
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายสุวรรณ วลัยเสถียร) ได้นำคณะผู้แทนไทย ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีของกลุ่มเคร์นส์ ครั้งที่ 22 ณ เมือง Punta del Este ประเทศอุรุกวัย ระหว่างวันที่ 3 - 5 กันยายน 2544
ในการประชุมระดับรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์ในครั้งนี้ประเทศสมาชิกได้พร้อมใจกันประกาศจุดยืนของกลุ่มในเรื่องการเจรจา WTO รอบใหม่ที่กรุงโดฮา ประเทศกาต้าร์ว่าโอกาสในการเปิดเจรจารอบใหม่จะขึ้นอยู่กับสมาชิกมีความทะเยอทะยานและมุ่งปฏิรูปการค้าสินค้าเกษตรมากเพียงใด และได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ที่ประชุม WTO ที่โดฮากาต้าร์ ตกลงในเรื่องเกษตร ดังนี้
1. ยุติการเลือกปฏิบัติกับสินค้าเกษตร
2. ปฏิรูปการค้าสินค้าเกษตรอย่างจริงจัง โดยการยกเลิกการอุดหนุนส่งออก (export subsidies) ทุกชนิดลดการอุดหนุนภายในลงให้มาก และเปิดตลาดสินค้าเกษตรให้กว้างขึ้นอีก
3. เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการค้า (non-trade concerns) จะต้องเป็นเรื่องรอง และต้องไม่มีผลกระทบบิดเบือนการค้า รวมทั้งไม่เป็นข้ออ้างให้นำมาตรการกีดกันใหม่ ๆ มาใช้ด้วย
4. มีการให้แต้มต่อสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ชัดเจน จริงจังและขยายเพิ่มขึ้นจากเดิม
5. มีความชัดเจนในเรื่องกำหนดเวลา กำหนดเป้าหมายในแต่ละขั้นตอน และรูปแบบโครงสร้างการเจรจาการค้าสินค้าเกษตร
ในการประชุมครั้งนี้ นาย Robert Zoellick ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) และนาง Anne Veneman รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ ได้รับเชิญมาพบสมาชิกกลุ่มเคร์นส์ด้วย และเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีแข็งขันในการสนับสนุนการเจรจาเกษตร รวมทั้งแสดงจุดยืนซึ่งใกล้เคียงกับกลุ่มเคร์นส์ เช่นต้องการให้ยกเลิกการอุดหนุนส่งออกและการมีกำหนดเวลาในการเจรจาที่แน่ชัด
สำหรับประเทศไทยได้ผลักดันประเด็นที่เป็นปัญหาของไทยไว้ในแถลงการณ์ด้วย เช่นปัญหาการกีดกันการนำเข้าโดยการใช้มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ปัญหาที่ประเทศพัฒนาแล้วให้การอุดหนุนจำนวนมากจนประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตไม่สามารถแข่งขันได้ โดยได้พูดถึงกรณีที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลกในปีหนึ่งส่งออกประมาณ 6 ล้านตัน แต่การที่ประเทศพัฒนาแล้วให้การอุดหนุนการผลิตทำให้ไทยไม่สามารถแข่งขันได้หากการอุดหนุนเหล่านี้ลดลงไทยก็จะสามารถขยายการส่งออกทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงได้มีการแถลงการณ์ร่วมกันให้ลดการช่วยเหลือภายในของสินค้าเกษตรลงอย่างมาก ยกเลิกการอุดหนุนส่งออก และในขณะเดียวกันก็มีการปฏิบัติที่พิเศษและแตกต่าง (S & D) แก่ประเทศกำลังพัฒนาด้วย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 9 ต.ค. 44--
-สส-