ทำเนียบรัฐบาล--23 พ.ค.--นิวส์สแตนด์
คณะรัฐมนตรีพิจารณาการค้ำประกันหุ้นกู้ของบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) วงเงิน 4,600 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วมีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้โดยวิธีการออกหุ้นกู้ในประเทศ อายุ 1 ปี จำนวน 1,000 ล้านบาท และอายุ 3 ปี จำนวน 3,600 ล้านบาท
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังรายงานว่า
1. วงเงินกู้ของบริษัทบางจากฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2541 วันที่ 18 พฤษภาคม 2542 และวันที่ 9 พฤษภาคม 2543 จะครบกำหนดชำระคืนในปี 2543 จำนวนทั้งสิ้น 6,700 ล้านบาท แยกเป็นเงินกู้จากธนาคารออมสินครบกำหนดชำระคืนบางส่วนในเดือนเมษายน และตุลาคม 2543 จำนวนรวม 1,500 ล้านบาท และเงินกู้ต่างประเทศ จำนวน 130 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ชำระคืนทั้งจำนวนในเดือนมิถุนายน 2543 แต่โดยที่ในปี 2543 บริษัท บางจากฯ ประสบปัญหาขาดแคลนเงินสดหมุนเวียนในการดำเนินงาน ไม่สามารถชำระคืนหนี้ที่ครบกำหนดดังกล่าวได้ และประมาณว่าจะยังประสบปัญหาขาดสภาพคล่องต่อเนื่องไปจนถึงปี 2544 และปี 2545 บริษัทบางจากฯ จึงได้ดำเนินการเสนอขายหุ้นกู้ ซึ่งกระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกันเป็นจำนวน 2,100 ล้านบาท ให้แก่สำนักงานประกันสังคมและสหกรณ์ออมทรัพย์ต่าง ๆ โดยปิดการขายให้สิ้นเดือนมีนาคม 2543 และขอให้กระทรวงการคลังพิจารณาค้ำประกันหุ้นกู้ในประเทศให้บริษัทบางจากฯ เป็นจำนวน 4,600 ล้านบาท โดยแยกเป็น 2 ส่วน คือ
- ส่วนที่ 1 หุ้นกู้กระทรวงการคลังค้ำประกันอายุ 1 ปี จำนวน 1,000 ล้านบาท
- ส่วนที่ 2 หุ้นกู้กระทรวงการคลังค้ำประกันอายุ 3 ปี จำนวน 3,600 ล้านบาท
เพื่อให้สามารถใช้ชำระคืนหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปี 2543 ได้ครบจำนวน 6,700 ล้านบาท
2. ในปี 2543 - 2545 บริษัทบางจากฯ จะประสบปัญหาขาดแคลนสภาพคล่องทางการเงิน และมีภาระต้องจ่ายชำระคืนหนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดในปี 2543 ประกอบกับรัฐมีนโยบายอย่างชัดเจนในการแปรรูปบริษัทบางจากฯ โดยการขายหุ้นเดิมที่รัฐถืออยู่ในอัตราร้อยละ 32 ให้แก่ประชาชนทั่วไปในปี 2543 ดังนั้น การพิจารณาค้ำประกันเงินกู้ให้บริษัทบางจากฯ ระยะเวลา 1 ปี และ 3 ปี จะทำให้บริษัทบางจากฯ มีฐานะทางการเงินที่มั่นคงในระดับที่จะก่อให้เกิดความมั่นใจแก่ผู้ลงทุน เกิดผลดีต่อราคาหุ้น และการขายหุ้นเดิมให้แก่ประชาชนทั่วไปก็จะทำให้สิทธิประโยชน์จากการค้ำประกันหุ้นกู้นี้ตกกับประชาชนทั่วไปด้วย ทั้งนี้ บริษัทบางจากฯ ได้ดำเนินการกู้เงินบางส่วนโดยอาศัย Credit ของบริษัทเอง เพื่อไม่ให้เป็นภาระของรัฐในการค้ำประกันรัฐวิสาหกิจที่กำลังจะแปรรูปมากเกินไป โดยกระทรวงการคลังคิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ในครั้งนี้ในอัตราร้อยละ 1 ของวงเงินที่ค้ำประกัน
3. การค้ำประกันเงินกู้ของกระทรวงการคลังจะต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก่อนตามนัยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังในการค้ำประกัน พ.ศ. 2510 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และจำนวนเงินกู้ที่กระทรวงการคลังจะเข้าค้ำประกันในครั้งนี้จำนวน 4,600 ล้านบาท ยังอยู่ภายใต้ขอบเขตตามนัยมาตรา 5(2) ของกฎหมายดังกล่าว โดยกระทรวงการคลังจะสามารถเข้าค้ำประกันเงินกู้ของบริษัทบางจากฯ ได้ไม่เกิน 6 เท่าของเงินกองทุน คิดเป็นจำนวน 50,297.82 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 กระทรวงการคลังได้ค้ำประกันเงินกู้ให้บริษัทบางจากฯ แล้วเป็นจำนวน 10,600 ล้านบาท และจำนวนเงินที่จะค้ำประกันในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กระทรวงการคลังค้ำประกันให้แก่รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินและบริษัทจำกัด สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2543 ซึ่งยังไม่เกินร้อยละ 10 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2543 จำนวน 860,000 ล้านบาท
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 23 พฤษภาคม 2543-
-สส-
คณะรัฐมนตรีพิจารณาการค้ำประกันหุ้นกู้ของบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) วงเงิน 4,600 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แล้วมีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้โดยวิธีการออกหุ้นกู้ในประเทศ อายุ 1 ปี จำนวน 1,000 ล้านบาท และอายุ 3 ปี จำนวน 3,600 ล้านบาท
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังรายงานว่า
1. วงเงินกู้ของบริษัทบางจากฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2541 วันที่ 18 พฤษภาคม 2542 และวันที่ 9 พฤษภาคม 2543 จะครบกำหนดชำระคืนในปี 2543 จำนวนทั้งสิ้น 6,700 ล้านบาท แยกเป็นเงินกู้จากธนาคารออมสินครบกำหนดชำระคืนบางส่วนในเดือนเมษายน และตุลาคม 2543 จำนวนรวม 1,500 ล้านบาท และเงินกู้ต่างประเทศ จำนวน 130 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ชำระคืนทั้งจำนวนในเดือนมิถุนายน 2543 แต่โดยที่ในปี 2543 บริษัท บางจากฯ ประสบปัญหาขาดแคลนเงินสดหมุนเวียนในการดำเนินงาน ไม่สามารถชำระคืนหนี้ที่ครบกำหนดดังกล่าวได้ และประมาณว่าจะยังประสบปัญหาขาดสภาพคล่องต่อเนื่องไปจนถึงปี 2544 และปี 2545 บริษัทบางจากฯ จึงได้ดำเนินการเสนอขายหุ้นกู้ ซึ่งกระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกันเป็นจำนวน 2,100 ล้านบาท ให้แก่สำนักงานประกันสังคมและสหกรณ์ออมทรัพย์ต่าง ๆ โดยปิดการขายให้สิ้นเดือนมีนาคม 2543 และขอให้กระทรวงการคลังพิจารณาค้ำประกันหุ้นกู้ในประเทศให้บริษัทบางจากฯ เป็นจำนวน 4,600 ล้านบาท โดยแยกเป็น 2 ส่วน คือ
- ส่วนที่ 1 หุ้นกู้กระทรวงการคลังค้ำประกันอายุ 1 ปี จำนวน 1,000 ล้านบาท
- ส่วนที่ 2 หุ้นกู้กระทรวงการคลังค้ำประกันอายุ 3 ปี จำนวน 3,600 ล้านบาท
เพื่อให้สามารถใช้ชำระคืนหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปี 2543 ได้ครบจำนวน 6,700 ล้านบาท
2. ในปี 2543 - 2545 บริษัทบางจากฯ จะประสบปัญหาขาดแคลนสภาพคล่องทางการเงิน และมีภาระต้องจ่ายชำระคืนหนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดในปี 2543 ประกอบกับรัฐมีนโยบายอย่างชัดเจนในการแปรรูปบริษัทบางจากฯ โดยการขายหุ้นเดิมที่รัฐถืออยู่ในอัตราร้อยละ 32 ให้แก่ประชาชนทั่วไปในปี 2543 ดังนั้น การพิจารณาค้ำประกันเงินกู้ให้บริษัทบางจากฯ ระยะเวลา 1 ปี และ 3 ปี จะทำให้บริษัทบางจากฯ มีฐานะทางการเงินที่มั่นคงในระดับที่จะก่อให้เกิดความมั่นใจแก่ผู้ลงทุน เกิดผลดีต่อราคาหุ้น และการขายหุ้นเดิมให้แก่ประชาชนทั่วไปก็จะทำให้สิทธิประโยชน์จากการค้ำประกันหุ้นกู้นี้ตกกับประชาชนทั่วไปด้วย ทั้งนี้ บริษัทบางจากฯ ได้ดำเนินการกู้เงินบางส่วนโดยอาศัย Credit ของบริษัทเอง เพื่อไม่ให้เป็นภาระของรัฐในการค้ำประกันรัฐวิสาหกิจที่กำลังจะแปรรูปมากเกินไป โดยกระทรวงการคลังคิดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันเงินกู้ในครั้งนี้ในอัตราร้อยละ 1 ของวงเงินที่ค้ำประกัน
3. การค้ำประกันเงินกู้ของกระทรวงการคลังจะต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก่อนตามนัยมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังในการค้ำประกัน พ.ศ. 2510 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และจำนวนเงินกู้ที่กระทรวงการคลังจะเข้าค้ำประกันในครั้งนี้จำนวน 4,600 ล้านบาท ยังอยู่ภายใต้ขอบเขตตามนัยมาตรา 5(2) ของกฎหมายดังกล่าว โดยกระทรวงการคลังจะสามารถเข้าค้ำประกันเงินกู้ของบริษัทบางจากฯ ได้ไม่เกิน 6 เท่าของเงินกองทุน คิดเป็นจำนวน 50,297.82 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 กระทรวงการคลังได้ค้ำประกันเงินกู้ให้บริษัทบางจากฯ แล้วเป็นจำนวน 10,600 ล้านบาท และจำนวนเงินที่จะค้ำประกันในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กระทรวงการคลังค้ำประกันให้แก่รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินและบริษัทจำกัด สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2543 ซึ่งยังไม่เกินร้อยละ 10 ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2543 จำนวน 860,000 ล้านบาท
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 23 พฤษภาคม 2543-
-สส-