ทำเนียบรัฐบาล--26 ธ.ค.--นิวส์สแตนด์
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้จ่ายเงินชดเชยการเลิกจ้างให้แก่พนักงานและลูกจ้างของบริษัทเงินทุนเฟิสท์ ซิตี้ อินเวสเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ FCI ต้องถือปฏิบัติตามหลักการตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 ทั้งนี้ ให้กรณีของ FCI เป็นบรรทัดฐานสำหรับสถาบันการเงินอื่นที่เป็นรัฐวิสาหกิจ โดยนิติเหตุ และอาจจะมีการเลิกจ้างต่อไปด้วย ทั้งนี้ เรื่องนี้เป็นกรณีการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินชดเชยให้แก่พนักงานและลูกจ้างของสถาบันการเงินที่ทางการเข้าแทรกแซงเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน
ทั้งนี้ เดิมกระทรวงการคลังได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินชดเชยการเลิกจ้างให้แก่พนักงานและลูกจ้างของสถาบันการเงินที่ทางการเข้าแทรกแซง ซึ่งรวมถึงการจ่ายเงินชดเชยให้แก่พนักงานของ FCI ด้วย โดยให้ถือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 เนื่องจากเหตุผลที่ว่า FCI มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจจากการที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าถือหุ้นใน FCI เกินกว่าร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน ประกอบกับได้มีคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง คดีหมายเลขดำที่ 1543/2542 และคดีหมายเลขแดงที่ 4916/2542 ลงวันที่ 16 เมษายน 2542 ระหว่างนายประหยัด ศิริยงค์ (โจทก์) กับบริษัท เงินทุนธนสยาม จำกัด (มหาชน) (จำเลย) เรื่อง สัญญาจ้างงานกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ว่า ค่าชดเชยที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างกรณีเลิกจ้างนั้น จะต้องเป็นการจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่ลูกจ้างถูกเลิกจ้างคือ จ่ายโดยถือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 เนื่องจากบริษัท เงินทุนธนสยาม จำกัด (จำเลย) มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ จากการที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เข้าแทรกแซงถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ดังนั้น การจ่ายเงินค่าชดเชยแก่พนักงาน FCI จึงต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 ด้วยเช่นกัน ซึ่งข้อเสนอของกระทรวงการคลังดังกล่าวนี้คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วมีมติเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2543 ให้กระทรวงการคลังทำความเข้าใจกับคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์และผู้เกี่ยวข้องให้ชัดเจนเกี่ยวกับหลักการและผลกระทบซึ่งจะติดตามมา หากมีการจ่ายเงินค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แทนการจ่ายเงินตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
กระทรวงการคลังได้ทำความเข้าใจกับคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ตามมติคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่เนื่องจากพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 ได้ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ทำให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ต้องสิ้นสภาพไปด้วย กระทรวงการคลังจึงได้หารือกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม (กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน) เกี่ยวกับแนวทางการพิจารณาของกระทรวงการคลัง เรื่อง การจ่ายค่าชดเชยการเลิกจ้างให้แก่พนักงานและลูกจ้างของสถาบันการเงินที่ทางการเข้าแทรกแซงว่าถูกต้องและเป็นไปตามหลักการตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 หรือไม่ อย่างไร ซึ่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ให้ความเห็นว่า พนักงานลูกจ้างของ FCI ถูกเลิกจ้างระหว่างเดือนมิถุนายน - ตุลาคม 2542 ขณะที่บริษัทฯ ได้เปลี่ยนฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจโดยนิติเหตุแล้ว จึงต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้น ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2541 ให้สถาบันการเงินที่เป็นรัฐวิสาหกิจเนื่องจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าแทรกแซงได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการในเรื่องเงินเดือน สวัสดิการ ผลประโยชน์ ค่าตอบแทนของพนักงาน และการกำหนดอัตรากำลังโดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ้างเดิมของสถาบันการเงินนั้น
จากหลักการตามกฎหมายและแนวทางคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง และศาลฎีกาดังกล่าว ประกอบกับการชี้แจงของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงการคลังได้พิจารณา และมีความเห็น ดังนี้
1. FCI มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ดังนั้น จึงต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 ตามแนวทางการพิจารณาของศาลฎีกา กรณี นายประหยัด ศิริยงค์ (โจทก์) กับบริษัท เงินทุนธนสยาม จำกัด (มหาชน) (จำเลย)
2. FCI เดิมมีฐานะเป็นเอกชนเมื่อเกิดปัญหาทางการเงิน ถ้ารัฐบาลไม่แทรกแซงกิจการจะถูกปิด แม้พนักงานจะได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานก็จริง แต่กิจการไม่สามารถจ่ายได้ พนักงานต้องไปฟ้องร้องกับเจ้าของเดิมเอง
3. FCI มิได้เป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายเฉพาะตามกฎหมายการจัดตั้งเหมือนเช่นรัฐวิสาหกิจอื่น มีเงื่อนไขการเป็นรัฐวิสาหกิจไม่เหมือนกัน จึงไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกับการจ่ายเงินชดเชยกรณีที่รัฐจ่ายชดเชยเพิ่มพิเศษให้พนักงานของรัฐวิสาหกิจอื่นที่ถูกยุบเลิกได้
4. ฐานะการเงินของ FCI ปัจจุบันประสบภาวะขาดทุน ฐานะการเงินของกิจการไม่สามารถจ่ายได้ หากจ่ายต้องกู้เงินจากแหล่งอื่น ซึ่งไม่สามารถกู้ได้ รัฐบาลต้องจ่ายชดเชยในส่วนนั้น ซึ่งเป็นภาระต่องบประมาณ
โดยที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เรื่องนี้หากพิจารณาจากหลักการตามกฎหมายและแนวทางคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง กับศาลฎีกา ซึ่งเคยพิพากษาเรื่องทำนองนี้มาแล้ว การจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่พนักงาน FCI น่าจะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 แต่โดยที่พระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 ถูกยกเลิกแล้ว โดยพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ประกอบกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 บัญญัติให้สภาพการจ้างที่มีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ใช้บังคับเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 และให้ถือว่าบรรดาคำร้องข้อเสนอเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่ยื่นไว้ตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 และยังมิได้มีการพิจารณาวินิจฉัยถึงที่สุดก่อนวันที่พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ใช้บังคับ ให้ดำเนินการต่อไปตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจึงได้เสนอเรื่องให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว สั่งการให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาวินิจฉัยตีความให้ได้ข้อยุติก่อน แล้วจึงนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 26 ธ.ค. 2543--
-สส-
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้จ่ายเงินชดเชยการเลิกจ้างให้แก่พนักงานและลูกจ้างของบริษัทเงินทุนเฟิสท์ ซิตี้ อินเวสเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ FCI ต้องถือปฏิบัติตามหลักการตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 ทั้งนี้ ให้กรณีของ FCI เป็นบรรทัดฐานสำหรับสถาบันการเงินอื่นที่เป็นรัฐวิสาหกิจ โดยนิติเหตุ และอาจจะมีการเลิกจ้างต่อไปด้วย ทั้งนี้ เรื่องนี้เป็นกรณีการกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินชดเชยให้แก่พนักงานและลูกจ้างของสถาบันการเงินที่ทางการเข้าแทรกแซงเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน
ทั้งนี้ เดิมกระทรวงการคลังได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินชดเชยการเลิกจ้างให้แก่พนักงานและลูกจ้างของสถาบันการเงินที่ทางการเข้าแทรกแซง ซึ่งรวมถึงการจ่ายเงินชดเชยให้แก่พนักงานของ FCI ด้วย โดยให้ถือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 เนื่องจากเหตุผลที่ว่า FCI มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจจากการที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าถือหุ้นใน FCI เกินกว่าร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียน ประกอบกับได้มีคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง คดีหมายเลขดำที่ 1543/2542 และคดีหมายเลขแดงที่ 4916/2542 ลงวันที่ 16 เมษายน 2542 ระหว่างนายประหยัด ศิริยงค์ (โจทก์) กับบริษัท เงินทุนธนสยาม จำกัด (มหาชน) (จำเลย) เรื่อง สัญญาจ้างงานกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ว่า ค่าชดเชยที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างกรณีเลิกจ้างนั้น จะต้องเป็นการจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่ลูกจ้างถูกเลิกจ้างคือ จ่ายโดยถือปฏิบัติตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 เนื่องจากบริษัท เงินทุนธนสยาม จำกัด (จำเลย) มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ จากการที่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เข้าแทรกแซงถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ดังนั้น การจ่ายเงินค่าชดเชยแก่พนักงาน FCI จึงต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 ด้วยเช่นกัน ซึ่งข้อเสนอของกระทรวงการคลังดังกล่าวนี้คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้วมีมติเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2543 ให้กระทรวงการคลังทำความเข้าใจกับคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์และผู้เกี่ยวข้องให้ชัดเจนเกี่ยวกับหลักการและผลกระทบซึ่งจะติดตามมา หากมีการจ่ายเงินค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แทนการจ่ายเงินตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
กระทรวงการคลังได้ทำความเข้าใจกับคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ตามมติคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่เนื่องจากพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 ได้ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ทำให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ต้องสิ้นสภาพไปด้วย กระทรวงการคลังจึงได้หารือกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม (กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน) เกี่ยวกับแนวทางการพิจารณาของกระทรวงการคลัง เรื่อง การจ่ายค่าชดเชยการเลิกจ้างให้แก่พนักงานและลูกจ้างของสถาบันการเงินที่ทางการเข้าแทรกแซงว่าถูกต้องและเป็นไปตามหลักการตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 หรือไม่ อย่างไร ซึ่งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ให้ความเห็นว่า พนักงานลูกจ้างของ FCI ถูกเลิกจ้างระหว่างเดือนมิถุนายน - ตุลาคม 2542 ขณะที่บริษัทฯ ได้เปลี่ยนฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจโดยนิติเหตุแล้ว จึงต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้น ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2541 ให้สถาบันการเงินที่เป็นรัฐวิสาหกิจเนื่องจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าแทรกแซงได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการในเรื่องเงินเดือน สวัสดิการ ผลประโยชน์ ค่าตอบแทนของพนักงาน และการกำหนดอัตรากำลังโดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ้างเดิมของสถาบันการเงินนั้น
จากหลักการตามกฎหมายและแนวทางคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง และศาลฎีกาดังกล่าว ประกอบกับการชี้แจงของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงการคลังได้พิจารณา และมีความเห็น ดังนี้
1. FCI มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ ดังนั้น จึงต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 ตามแนวทางการพิจารณาของศาลฎีกา กรณี นายประหยัด ศิริยงค์ (โจทก์) กับบริษัท เงินทุนธนสยาม จำกัด (มหาชน) (จำเลย)
2. FCI เดิมมีฐานะเป็นเอกชนเมื่อเกิดปัญหาทางการเงิน ถ้ารัฐบาลไม่แทรกแซงกิจการจะถูกปิด แม้พนักงานจะได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานก็จริง แต่กิจการไม่สามารถจ่ายได้ พนักงานต้องไปฟ้องร้องกับเจ้าของเดิมเอง
3. FCI มิได้เป็นรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายเฉพาะตามกฎหมายการจัดตั้งเหมือนเช่นรัฐวิสาหกิจอื่น มีเงื่อนไขการเป็นรัฐวิสาหกิจไม่เหมือนกัน จึงไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกับการจ่ายเงินชดเชยกรณีที่รัฐจ่ายชดเชยเพิ่มพิเศษให้พนักงานของรัฐวิสาหกิจอื่นที่ถูกยุบเลิกได้
4. ฐานะการเงินของ FCI ปัจจุบันประสบภาวะขาดทุน ฐานะการเงินของกิจการไม่สามารถจ่ายได้ หากจ่ายต้องกู้เงินจากแหล่งอื่น ซึ่งไม่สามารถกู้ได้ รัฐบาลต้องจ่ายชดเชยในส่วนนั้น ซึ่งเป็นภาระต่องบประมาณ
โดยที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เรื่องนี้หากพิจารณาจากหลักการตามกฎหมายและแนวทางคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง กับศาลฎีกา ซึ่งเคยพิพากษาเรื่องทำนองนี้มาแล้ว การจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่พนักงาน FCI น่าจะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 แต่โดยที่พระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 ถูกยกเลิกแล้ว โดยพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ประกอบกับบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 บัญญัติให้สภาพการจ้างที่มีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ใช้บังคับเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 และให้ถือว่าบรรดาคำร้องข้อเสนอเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่ยื่นไว้ตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534 และยังมิได้มีการพิจารณาวินิจฉัยถึงที่สุดก่อนวันที่พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ใช้บังคับ ให้ดำเนินการต่อไปตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจึงได้เสนอเรื่องให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว สั่งการให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาวินิจฉัยตีความให้ได้ข้อยุติก่อน แล้วจึงนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 26 ธ.ค. 2543--
-สส-