แท็ก
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ร่างพระราชบัญญัติ
กระทรวงการคลัง
สภาผู้แทนราษฎร
คณะรัฐมนตรี
บัตรเครดิต
ทำเนียบรัฐบาล--11 ก.ค.--นิวส์สแตนด์
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ในการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับบัตรเครดิตหรือธุรกรรมเกี่ยวกับบัตรเครดิตเป็นการเฉพาะ ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบการเงินในการรองรับธุรกิจและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ประกอบกับเป็นการดำเนินการตามแผนพัฒนาระบบการเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2538 ที่อนุมัติตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจที่มีมติรับทราบแผนพัฒนาระบบการเงิน พ.ศ. 2538 - 2543 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจไปดำเนินการต่อไป ซึ่งแผนพัฒนาระบบการเงินดังกล่าวได้กำหนดให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการกำกับดูแลสถาบันการเงินและระบบการเงิน โดยการออกกฎหมายทางการเงินใหม่ คือ กฎหมายธุรกิจบัตรเครดิต และกฎหมายธุรกิจอื่น ๆ อีกหลายฉบับ เพื่อรองรับธุรกรรมการเงินที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน รวมทั้งธุรกรรมการเงินใหม่ ๆ ที่ทางการสนับสนุนให้มีขึ้นเพื่อพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนของประเทศ
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
2. กำหนดคำนิยาม "บัตรเครดิต" ให้หมายถึง บัตร เอกสาร หรือวัตถุอื่นใดซึ่งผู้ออกบัตรออกให้แก่ผู้ถือบัตร โดยบันทึกข้อมูลบัตรเครดิตหรือรหัสบัตรเครดิตไว้ด้วยกรรมวิธีใด ๆ เพื่อให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษรตัวเลข รหัส หรือสัญลักษณ์อื่นใด ทั้งที่สามารถมองเห็นหรือมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เพื่อให้ผู้ถือบัตรใช้ประโยชน์ในการชำระราคาสินค้าหรือค่าบริการหรือใช้เบิกถอนเงินสด ทั้งนี้ ไม่รวมถึงบัตรที่ผู้ถือบัตรได้ชำระเงินล่วงหน้าให้แก่ผู้ออกบัตรแล้ว (Prepaid card) ประเภทต่าง ๆ อาทิเช่น บัตรทางด่วน บัตรรถไฟฟ้า บัตรโทรศัพท์) และสำหรับ "การประกอบธุรกิจบัตรเครดิต" ให้หมายถึงการประกอบกิจการเกี่ยวกับการออกบัตรเครดิตเพื่อให้ผู้ถือบัตรชำระราคาสินค้าหรือค่าบริการโดยผู้ออกบัตรชำระราคาหรือค่าบริการแทนผู้ถือบัตรนั้นก่อน หรือเพื่อให้ผู้ถือบัตรเบิกถอนเงินสดจากผู้ออกบัตร หรือผู้รับบัตร และให้หมายความรวมถึงการให้บริการอื่น ๆ โดยใช้ประโยชน์จากบัตรเครดิตนั้นด้วย
3. กำหนดให้บุคคลที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องขออนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือบุคคลซึ่งรัฐมนตรีมอบหมาย และมีคุณสมบัติ ดังนี้
3.1 เป็นนิติบุคคล
3.2 มีทุนจดทะเบียนที่ได้รับชำระแล้วไม่น้อยกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
3.3 มีคุณสมบัติอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
4. กำหนดให้มีคณะกรรมการควบคุมการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้แทนกระทรวงยุติธรรม ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุดกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งอีกไม่เกินสามคนเป็นกรรมการ และให้รัฐมนตรีแต่งตั้งผู้แทนจากหน่วยงานที่เหมาะสมเป็นกรรมการและเลขานุการ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าว
5. กำหนดหน้าที่ของผู้ออกบัตร
6. กำหนดหน้าที่ของผู้ถือบัตร
7. กำหนดหน้าที่ของผู้รับบัตร
8. กำหนดอายุความในการฟ้องร้องหนี้อันเนื่องมาจากการมีหรือใช้บัตรเครดิต 5 ปี และกำหนดพยานหลักฐานที่อาจใช้ในการรับฟังของศาลเพิ่มขึ้นจากหลักทั่วไป เช่น ข้อมูลที่บันทึกไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์หรือประมวลผลโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
9. กำหนดการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
9.1 เมื่อผู้ออกบัตรประสงค์จะเลิกประกอบธุรกิจบัตรเครดิตให้ขออนุญาตต่อรัฐมนตรี
9.2 รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งพัก หรือเพิกถอนใบอนุญาต และอาจกำหนดเงื่อนไข หรือวิธีการใด ๆ ให้ผู้ออกบัตรปฏิบัติเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ถือบัตรหรือประชาชนได้
9.3 ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้ผู้ออกบัตรระงับการดำเนินกิจการทั้งหมด หรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ เพื่อประโยชน์ในการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน หรือระบบสถาบันการเงิน หรือความมั่นคงของกิจการของผู้ออกบัตร
10. กำหนดให้มีบทกำหนดโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติตามร่างพระราชบัญญัตินี้
11. กำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ดำเนินการอยู่ก่อนวันที่พระราช-บัญญัติใช้บังคับ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 11 ก.ค. 2543--
-สส-
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ในการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับบัตรเครดิตหรือธุรกรรมเกี่ยวกับบัตรเครดิตเป็นการเฉพาะ ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบการเงินในการรองรับธุรกิจและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ประกอบกับเป็นการดำเนินการตามแผนพัฒนาระบบการเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2538 ที่อนุมัติตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจที่มีมติรับทราบแผนพัฒนาระบบการเงิน พ.ศ. 2538 - 2543 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจไปดำเนินการต่อไป ซึ่งแผนพัฒนาระบบการเงินดังกล่าวได้กำหนดให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการกำกับดูแลสถาบันการเงินและระบบการเงิน โดยการออกกฎหมายทางการเงินใหม่ คือ กฎหมายธุรกิจบัตรเครดิต และกฎหมายธุรกิจอื่น ๆ อีกหลายฉบับ เพื่อรองรับธุรกรรมการเงินที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน รวมทั้งธุรกรรมการเงินใหม่ ๆ ที่ทางการสนับสนุนให้มีขึ้นเพื่อพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนของประเทศ
ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
2. กำหนดคำนิยาม "บัตรเครดิต" ให้หมายถึง บัตร เอกสาร หรือวัตถุอื่นใดซึ่งผู้ออกบัตรออกให้แก่ผู้ถือบัตร โดยบันทึกข้อมูลบัตรเครดิตหรือรหัสบัตรเครดิตไว้ด้วยกรรมวิธีใด ๆ เพื่อให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษรตัวเลข รหัส หรือสัญลักษณ์อื่นใด ทั้งที่สามารถมองเห็นหรือมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เพื่อให้ผู้ถือบัตรใช้ประโยชน์ในการชำระราคาสินค้าหรือค่าบริการหรือใช้เบิกถอนเงินสด ทั้งนี้ ไม่รวมถึงบัตรที่ผู้ถือบัตรได้ชำระเงินล่วงหน้าให้แก่ผู้ออกบัตรแล้ว (Prepaid card) ประเภทต่าง ๆ อาทิเช่น บัตรทางด่วน บัตรรถไฟฟ้า บัตรโทรศัพท์) และสำหรับ "การประกอบธุรกิจบัตรเครดิต" ให้หมายถึงการประกอบกิจการเกี่ยวกับการออกบัตรเครดิตเพื่อให้ผู้ถือบัตรชำระราคาสินค้าหรือค่าบริการโดยผู้ออกบัตรชำระราคาหรือค่าบริการแทนผู้ถือบัตรนั้นก่อน หรือเพื่อให้ผู้ถือบัตรเบิกถอนเงินสดจากผู้ออกบัตร หรือผู้รับบัตร และให้หมายความรวมถึงการให้บริการอื่น ๆ โดยใช้ประโยชน์จากบัตรเครดิตนั้นด้วย
3. กำหนดให้บุคคลที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องขออนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือบุคคลซึ่งรัฐมนตรีมอบหมาย และมีคุณสมบัติ ดังนี้
3.1 เป็นนิติบุคคล
3.2 มีทุนจดทะเบียนที่ได้รับชำระแล้วไม่น้อยกว่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด
3.3 มีคุณสมบัติอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
4. กำหนดให้มีคณะกรรมการควบคุมการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้แทนกระทรวงยุติธรรม ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุดกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งอีกไม่เกินสามคนเป็นกรรมการ และให้รัฐมนตรีแต่งตั้งผู้แทนจากหน่วยงานที่เหมาะสมเป็นกรรมการและเลขานุการ และกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าว
5. กำหนดหน้าที่ของผู้ออกบัตร
6. กำหนดหน้าที่ของผู้ถือบัตร
7. กำหนดหน้าที่ของผู้รับบัตร
8. กำหนดอายุความในการฟ้องร้องหนี้อันเนื่องมาจากการมีหรือใช้บัตรเครดิต 5 ปี และกำหนดพยานหลักฐานที่อาจใช้ในการรับฟังของศาลเพิ่มขึ้นจากหลักทั่วไป เช่น ข้อมูลที่บันทึกไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์หรือประมวลผลโดยเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
9. กำหนดการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต
9.1 เมื่อผู้ออกบัตรประสงค์จะเลิกประกอบธุรกิจบัตรเครดิตให้ขออนุญาตต่อรัฐมนตรี
9.2 รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งพัก หรือเพิกถอนใบอนุญาต และอาจกำหนดเงื่อนไข หรือวิธีการใด ๆ ให้ผู้ออกบัตรปฏิบัติเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ถือบัตรหรือประชาชนได้
9.3 ให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้ผู้ออกบัตรระงับการดำเนินกิจการทั้งหมด หรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ เพื่อประโยชน์ในการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน หรือระบบสถาบันการเงิน หรือความมั่นคงของกิจการของผู้ออกบัตร
10. กำหนดให้มีบทกำหนดโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนบทบัญญัติตามร่างพระราชบัญญัตินี้
11. กำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่ดำเนินการอยู่ก่อนวันที่พระราช-บัญญัติใช้บังคับ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 11 ก.ค. 2543--
-สส-