คณะรัฐมนตรีอนุมัติการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นประธานกรรมการฯ ดังนี้
1. อนุมัติโครงการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย และกรอบวงเงินอุดหนุน จำนวน1,550 ล้านบาท สำหรับ 5 ปี โดยให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำ Corporate Plan (แผนพัฒนาธุรกิจ) เพื่อให้การจัดตั้งและการดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถมองเห็นเป้าหมายการดำเนินงานในอนาคตได้อย่างชัดเจน
2. ในส่วนของงบประมาณการดำเนินการ ให้กระทรวงพาณิชย์ใช้จ่ายเงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร จำนวน 600 ล้านบาท (ใช้จ่ายไปแล้ว 64.6 ล้านบาท คงเหลืออีก 535.4 ล้านบาท) เพื่อดำเนินโครงการในปีงบประมาณ 2545-2546 หากระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ เป็นปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้แก่คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เป็นต้น พิจารณาแก้ไขระเบียบเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์หรือวิธีการให้สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการและเจตนารมณ์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ สำหรับงบประมาณเพื่อดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ 2547 เป็นต้นไป ให้กระทรวงพาณิชย์ขอตั้งงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนให้สำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และตลาด เพื่อใช้ดำเนินการตามกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป โดยให้หารือรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ
3. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทยให้สำเร็จลุล่วงและเริ่มปฏิบัติงานได้โดยเร็ว
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า
1. พระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. 2542 ได้กำหนดโครงสร้างองค์กรและรูปแบบการบริหารและการกำกับดูแลในลักษณะที่มีคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ("คณะกรรมการก.ส.ล") ทำหน้าที่วางนโยบายการส่งเสริมและพัฒนา ตลอดจนกำกับดูแลการซื้อขายล่วงหน้า และมีสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าเป็นนิติบุคคลทำหน้าที่เป็นหน่วยปฏิบัติ รวมทั้งให้มีการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย ("ตลาด") ซึ่งเป็นนิติบุคคลแยกออกมาทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการซื้อขายล่วงหน้า โดยทั้งสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และตลาดไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ และรายได้ของสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และตลาดไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน แต่ต้องจัดให้มีระบบบัญชีและการสอบบัญชีภายใน รวมทั้งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีของสำนักงานทุกรอบปี
สำหรับการจัดตั้งตลาด บทเฉพาะกาล มาตรา 161 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้กระทรวงพาณิชย์ ได้รับเงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน กองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. นำไปใช้จ่ายและดำเนินการจัดตั้งตลาด รวมทั้งเป็นเงินอุดหนุนกองทุนพัฒนาตลาด โดยในส่วนของกองทุนพัฒนาตลาดนั้น พระราชบัญญัติกำหนดให้จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางการเงินของตลาด และสร้างความเชื่อมั่นแก่สมาชิกและลูกค้า ตลอดจนพัฒนาการซื้อขายล่วงหน้า
2. กรมการค้าภายในได้เสนอขออนุมัติเงินจากคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร(คชก.) เมื่อปี พ.ศ. 2542 ซึ่งมีมติอนุมัติเงินจ่ายขาดจากกองทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร วงเงิน 600 ล้านบาทให้กรมการค้าภายในใช้ดำเนินการตามโครงการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า โดยการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้หารือกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการ และกรมการค้าภายในได้เสนอแผนดำเนินงานและงบประมาณต่อสำนักงบประมาณเพื่อเป็นการดำเนินการเบื้องต้น ซึ่งได้รับความเห็นชอบวงเงินใช้จ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 64.6 ล้านบาท
3. เนื่องจากการใช้จ่ายเงิน คชก. จำนวน 600 ล้านบาท ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบของทางราชการ ในขณะที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. เป็นนิติบุคคลและไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ โดยพระราชบัญญัติได้ให้อำนาจในการกำหนดโครงสร้างและอัตราเงินเดือนพนักงานและลูกจ้าง การเก็บรักษาและการเบิกจ่ายเงิน การพัสดุ และวิธีการบริหารเป็นการเฉพาะ ซึ่งแตกต่างไปจากระเบียบทางราชการ จึงเป็นเหตุให้กรมการค้าภายในไม่สามารถตัดโอนเงิน โดยเฉพาะในส่วนของค่าใช้จ่ายเตรียมการจัดตั้งและบริหารสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. วงเงิน 21.6 ล้านบาท ไปให้สำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. ได้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เห็นความจำเป็นที่จะต้องขอความสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลในลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. สามารถนำไปบริหารและดำเนินการจัดตั้งตลาดได้ด้วยความคล่องตัว
4. โดยที่การจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทยเป็นเรื่องใหม่ ในระยะเริ่มแรกจะมุ่งเน้นองค์กรที่เล็กกะทัดรัด ใช้อัตรากำลังไม่มากนัก ดังนั้น การจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และตลาด ในปีงบประมาณ 2545 จะมีค่าใช้จ่ายการลงทุนสูงเกี่ยวกับการเช่าอาคารสถานที่ และออกแบบตกแต่งการจัดวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายการจัดซื้อวัสดุครุภัณฑ์ รวมทั้งการจัดจ้างพนักงานและลูกจ้าง ทั้งนี้ได้มีการกำหนดแผนการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และแผนการดำเนินงานของตลาดไว้ด้วยแล้ว
5. ประมาณการเงินอุดหนุนเพื่อจัดตั้งและดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และตลาดโดยพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการระยะเวลา 5 ปี (ปีงบประมาณ 2545-2549) คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงที่องค์กรทั้งสองยังไม่สามารถเลี้ยงตนเองได้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายแยกเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งและดำเนินการ จำนวน 1,205 ล้านบาท และเงินกองทุนพัฒนาตลาด จำนวน 345 ล้านบาท จึงจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเป็นเงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งสิ้น 1,550 ล้านบาท ดังนี้ ปีงบประมาณ 2545 จำนวน 390 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2546 จำนวน 245 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2547 จำนวน 240 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2548 จำนวน 330 ล้านบาทปีงบประมาณ 2549 จำนวน 345 ล้านบาท
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. จะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและเงินอุดหนุนจากตลาด ส่วนตลาดจะมีรายได้ค่าธรรมเนียมสมาชิก ค่าธรรมเนียมการซื้อขายและการหักบัญชีและการให้บริการข้อมูล โดยคาดว่าสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และตลาดจะสามารถเลี้ยงตนเองได้ในปี 2550
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 18 ธ.ค. 44--จบ--
-สส-
1. อนุมัติโครงการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย และกรอบวงเงินอุดหนุน จำนวน1,550 ล้านบาท สำหรับ 5 ปี โดยให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำ Corporate Plan (แผนพัฒนาธุรกิจ) เพื่อให้การจัดตั้งและการดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งสามารถมองเห็นเป้าหมายการดำเนินงานในอนาคตได้อย่างชัดเจน
2. ในส่วนของงบประมาณการดำเนินการ ให้กระทรวงพาณิชย์ใช้จ่ายเงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร จำนวน 600 ล้านบาท (ใช้จ่ายไปแล้ว 64.6 ล้านบาท คงเหลืออีก 535.4 ล้านบาท) เพื่อดำเนินโครงการในปีงบประมาณ 2545-2546 หากระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ เป็นปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้แก่คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) เป็นต้น พิจารณาแก้ไขระเบียบเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์หรือวิธีการให้สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการและเจตนารมณ์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ สำหรับงบประมาณเพื่อดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ 2547 เป็นต้นไป ให้กระทรวงพาณิชย์ขอตั้งงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนให้สำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และตลาด เพื่อใช้ดำเนินการตามกระบวนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป โดยให้หารือรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ
3. ให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทยให้สำเร็จลุล่วงและเริ่มปฏิบัติงานได้โดยเร็ว
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า
1. พระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. 2542 ได้กำหนดโครงสร้างองค์กรและรูปแบบการบริหารและการกำกับดูแลในลักษณะที่มีคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ("คณะกรรมการก.ส.ล") ทำหน้าที่วางนโยบายการส่งเสริมและพัฒนา ตลอดจนกำกับดูแลการซื้อขายล่วงหน้า และมีสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าเป็นนิติบุคคลทำหน้าที่เป็นหน่วยปฏิบัติ รวมทั้งให้มีการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย ("ตลาด") ซึ่งเป็นนิติบุคคลแยกออกมาทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการซื้อขายล่วงหน้า โดยทั้งสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และตลาดไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ และรายได้ของสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และตลาดไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน แต่ต้องจัดให้มีระบบบัญชีและการสอบบัญชีภายใน รวมทั้งให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบบัญชีของสำนักงานทุกรอบปี
สำหรับการจัดตั้งตลาด บทเฉพาะกาล มาตรา 161 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดให้กระทรวงพาณิชย์ ได้รับเงินอุดหนุนจากงบประมาณแผ่นดิน กองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. นำไปใช้จ่ายและดำเนินการจัดตั้งตลาด รวมทั้งเป็นเงินอุดหนุนกองทุนพัฒนาตลาด โดยในส่วนของกองทุนพัฒนาตลาดนั้น พระราชบัญญัติกำหนดให้จัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมความมั่นคงทางการเงินของตลาด และสร้างความเชื่อมั่นแก่สมาชิกและลูกค้า ตลอดจนพัฒนาการซื้อขายล่วงหน้า
2. กรมการค้าภายในได้เสนอขออนุมัติเงินจากคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร(คชก.) เมื่อปี พ.ศ. 2542 ซึ่งมีมติอนุมัติเงินจ่ายขาดจากกองทุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร วงเงิน 600 ล้านบาทให้กรมการค้าภายในใช้ดำเนินการตามโครงการจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า โดยการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้หารือกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการ และกรมการค้าภายในได้เสนอแผนดำเนินงานและงบประมาณต่อสำนักงบประมาณเพื่อเป็นการดำเนินการเบื้องต้น ซึ่งได้รับความเห็นชอบวงเงินใช้จ่ายไปแล้วทั้งสิ้น 64.6 ล้านบาท
3. เนื่องจากการใช้จ่ายเงิน คชก. จำนวน 600 ล้านบาท ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบของทางราชการ ในขณะที่สำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. เป็นนิติบุคคลและไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ โดยพระราชบัญญัติได้ให้อำนาจในการกำหนดโครงสร้างและอัตราเงินเดือนพนักงานและลูกจ้าง การเก็บรักษาและการเบิกจ่ายเงิน การพัสดุ และวิธีการบริหารเป็นการเฉพาะ ซึ่งแตกต่างไปจากระเบียบทางราชการ จึงเป็นเหตุให้กรมการค้าภายในไม่สามารถตัดโอนเงิน โดยเฉพาะในส่วนของค่าใช้จ่ายเตรียมการจัดตั้งและบริหารสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. วงเงิน 21.6 ล้านบาท ไปให้สำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. ได้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เห็นความจำเป็นที่จะต้องขอความสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลในลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไป เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. สามารถนำไปบริหารและดำเนินการจัดตั้งตลาดได้ด้วยความคล่องตัว
4. โดยที่การจัดตั้งตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทยเป็นเรื่องใหม่ ในระยะเริ่มแรกจะมุ่งเน้นองค์กรที่เล็กกะทัดรัด ใช้อัตรากำลังไม่มากนัก ดังนั้น การจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และตลาด ในปีงบประมาณ 2545 จะมีค่าใช้จ่ายการลงทุนสูงเกี่ยวกับการเช่าอาคารสถานที่ และออกแบบตกแต่งการจัดวางระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายการจัดซื้อวัสดุครุภัณฑ์ รวมทั้งการจัดจ้างพนักงานและลูกจ้าง ทั้งนี้ได้มีการกำหนดแผนการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และแผนการดำเนินงานของตลาดไว้ด้วยแล้ว
5. ประมาณการเงินอุดหนุนเพื่อจัดตั้งและดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และตลาดโดยพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการระยะเวลา 5 ปี (ปีงบประมาณ 2545-2549) คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงที่องค์กรทั้งสองยังไม่สามารถเลี้ยงตนเองได้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายแยกเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งและดำเนินการ จำนวน 1,205 ล้านบาท และเงินกองทุนพัฒนาตลาด จำนวน 345 ล้านบาท จึงจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเป็นเงินอุดหนุนทั่วไป รวมทั้งสิ้น 1,550 ล้านบาท ดังนี้ ปีงบประมาณ 2545 จำนวน 390 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2546 จำนวน 245 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2547 จำนวน 240 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2548 จำนวน 330 ล้านบาทปีงบประมาณ 2549 จำนวน 345 ล้านบาท
ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. จะมีรายได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและเงินอุดหนุนจากตลาด ส่วนตลาดจะมีรายได้ค่าธรรมเนียมสมาชิก ค่าธรรมเนียมการซื้อขายและการหักบัญชีและการให้บริการข้อมูล โดยคาดว่าสำนักงานคณะกรรมการ ก.ส.ล. และตลาดจะสามารถเลี้ยงตนเองได้ในปี 2550
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 18 ธ.ค. 44--จบ--
-สส-