คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน และอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา และให้ความเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลังรวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งเป็นการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณีอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยการป้องกันชั้นบรรยากาศโอโซน และพิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน และเพื่อแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
1. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดประเภทสินค้าตามพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….(กำหนดให้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนประเภทอนุพันธ์ชนิดฮาโลเจเนเต็ดของไฮโดรคาร์บอน เป็นสินค้าที่ต้องจัดเก็บภาษีสรรพสามิต) มีสาระสำคัญในการกำหนดให้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนประเภทอนุพันธ์ชนิดฮาโวเจเนเต็ดของไฮโดรคาร์บอน เป็นสินค้าที่ต้องจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในประเภทที่ 08.90 ตอนที่ 8 สินค้าอื่น ๆ ของพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ท้ายพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2534 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
2. ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราและยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) (กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน) มีสาระสำคัญในการกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนประเภทอนุพันธ์ฮาโลเจเนเต็ดของไฮโดรคาร์บอนในอัตราร้อยละ 15 ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2545 และปรับเพิ่มเป็นร้อยละ 30 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2546 เป็นต้นไป ยกเว้นสารที่ใช้ในการอบและรมพืชไม่ต้องเสียภาษี
3. ร่างประกาศกระทรวงการคลัง ที่ ศก. /2544 เรื่อง ยกเลิกการลดและลดอัตราอากรศุลกากร(เพิ่มอัตราอากรขาเข้าสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน) มีสาระสำคัญในการกำหนดให้เพิ่มอัตราอากรขาเข้าสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนทุกประเภทที่มีอัตราร้อยละ 1 ให้เป็นร้อยละ 5 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
กระทรวงการคลังรายงานว่า ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นประเทศภาคีของอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยการป้องกันชั้นบรรยากาศโอโซนและพิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน โดยมีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ซึ่งได้มีการควบคุม กำกับ ดูแล การผลิต การนำเข้าการส่งออกสารควบคุมตามพิธีสาร ทำให้เกิดการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนในภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถทำให้ประเทศไทยเลิกการใช้สารดังกล่าวได้ จึงได้มีการเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณานำมาตรการภาษีมาเพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว เพื่อให้รัฐบาลไทยสามารถปฏิบัติตามข้อตกลงของพิธีสารภายในปี2453 ตามข้อผูกพันที่ได้ทำไว้กับประชาคมโลก ซึ่งนอกจากจะเป็นการแก้ไขปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดแคลนสารเมื่อทั่วโลกเลิกผลิตสารดังกล่าว
กระทรวงการคลังเห็นว่า ปัจจุบันภาระภาษีอากรของสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนที่จัดเก็บอยู่มีเพียงภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราอัตรา 7 และอากรขาเข้าในอัตราต่ำคือ ร้อยละ 1 และ 5 ทำให้มีภาระภาษีอากรรวมเพียง 8.07 และ 12.35 เท่านั้น จึงไม่จูงใจให้เลิกใช้สารดังกล่าว สมควรกำหนดมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน และดำเนินการทางกฎหมาย ดังนี้
1. มาตรการภาษีสรรพสามิต กำหนดให้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน 6 ประเภท ได้แก่ สารกลุ่ม CFCs,Halon,Methyl Chloroform, Carbon Tetrachloride, HCFCs และ Methyl Bromide ซึ่งเป็นสารควบคุมตามพิธีสารมอนทรีออล เป็นสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต และกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน 4 ประเภท ได้แก่ CFCs,Halon,Methyl Chloroform, Carbon Tetrachloride ในอัตราร้อยละ 15 ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2545 และปรับเพิ่มเป็นร้อยละ 30 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2546 เป็นต้นไป เพื่อให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคได้มีเวลาในการเตรียมการปรับเปลี่ยนเครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ใช้สารทดแทนส่วนสาร HCFCs ซึ่งเป็นสารทดแทนของสาร ODSs และสาร Methyl Bromide ที่ใช้ในการอบและรมพืชให้ยกเว้นภาษีไว้ก่อนเพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับเกษตรกรในขณะนี้
2. มาตรการภาษีศุลกากร ให้ปรับเพิ่มอัตราอากรขาเข้าสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนทุกประเภทที่มีอัตราร้อยละ 1 ให้เป็นร้อยละ 5 เพื่อให้อัตราอากรขาเข้าของสารที่ทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนมีอัตราเท่ากันทุกประเภทโดยไม่ขัดกับโครงสร้างพิกัดอัตราอากรขาเข้าของประเทศ ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
จึงมีการออกพระราชกฤษฎีกาและประกาศกระทรวงการคลังรวม 3 ฉบับ ดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 9 ต.ค. 44--
-สส-
1. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดประเภทสินค้าตามพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….(กำหนดให้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนประเภทอนุพันธ์ชนิดฮาโลเจเนเต็ดของไฮโดรคาร์บอน เป็นสินค้าที่ต้องจัดเก็บภาษีสรรพสามิต) มีสาระสำคัญในการกำหนดให้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนประเภทอนุพันธ์ชนิดฮาโวเจเนเต็ดของไฮโดรคาร์บอน เป็นสินค้าที่ต้องจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในประเภทที่ 08.90 ตอนที่ 8 สินค้าอื่น ๆ ของพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ท้ายพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2534 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
2. ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราและยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) (กำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน) มีสาระสำคัญในการกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนประเภทอนุพันธ์ฮาโลเจเนเต็ดของไฮโดรคาร์บอนในอัตราร้อยละ 15 ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2545 และปรับเพิ่มเป็นร้อยละ 30 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2546 เป็นต้นไป ยกเว้นสารที่ใช้ในการอบและรมพืชไม่ต้องเสียภาษี
3. ร่างประกาศกระทรวงการคลัง ที่ ศก. /2544 เรื่อง ยกเลิกการลดและลดอัตราอากรศุลกากร(เพิ่มอัตราอากรขาเข้าสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน) มีสาระสำคัญในการกำหนดให้เพิ่มอัตราอากรขาเข้าสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนทุกประเภทที่มีอัตราร้อยละ 1 ให้เป็นร้อยละ 5 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
กระทรวงการคลังรายงานว่า ประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นประเทศภาคีของอนุสัญญาเวียนนาว่าด้วยการป้องกันชั้นบรรยากาศโอโซนและพิธีสารมอนทรีออลว่าด้วยการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน โดยมีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ซึ่งได้มีการควบคุม กำกับ ดูแล การผลิต การนำเข้าการส่งออกสารควบคุมตามพิธีสาร ทำให้เกิดการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนในภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถทำให้ประเทศไทยเลิกการใช้สารดังกล่าวได้ จึงได้มีการเสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณานำมาตรการภาษีมาเพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว เพื่อให้รัฐบาลไทยสามารถปฏิบัติตามข้อตกลงของพิธีสารภายในปี2453 ตามข้อผูกพันที่ได้ทำไว้กับประชาคมโลก ซึ่งนอกจากจะเป็นการแก้ไขปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากการขาดแคลนสารเมื่อทั่วโลกเลิกผลิตสารดังกล่าว
กระทรวงการคลังเห็นว่า ปัจจุบันภาระภาษีอากรของสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนที่จัดเก็บอยู่มีเพียงภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราอัตรา 7 และอากรขาเข้าในอัตราต่ำคือ ร้อยละ 1 และ 5 ทำให้มีภาระภาษีอากรรวมเพียง 8.07 และ 12.35 เท่านั้น จึงไม่จูงใจให้เลิกใช้สารดังกล่าว สมควรกำหนดมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน และดำเนินการทางกฎหมาย ดังนี้
1. มาตรการภาษีสรรพสามิต กำหนดให้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน 6 ประเภท ได้แก่ สารกลุ่ม CFCs,Halon,Methyl Chloroform, Carbon Tetrachloride, HCFCs และ Methyl Bromide ซึ่งเป็นสารควบคุมตามพิธีสารมอนทรีออล เป็นสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต และกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน 4 ประเภท ได้แก่ CFCs,Halon,Methyl Chloroform, Carbon Tetrachloride ในอัตราร้อยละ 15 ตั้งแต่วันที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2545 และปรับเพิ่มเป็นร้อยละ 30 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2546 เป็นต้นไป เพื่อให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคได้มีเวลาในการเตรียมการปรับเปลี่ยนเครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ใช้สารทดแทนส่วนสาร HCFCs ซึ่งเป็นสารทดแทนของสาร ODSs และสาร Methyl Bromide ที่ใช้ในการอบและรมพืชให้ยกเว้นภาษีไว้ก่อนเพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับเกษตรกรในขณะนี้
2. มาตรการภาษีศุลกากร ให้ปรับเพิ่มอัตราอากรขาเข้าสารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนทุกประเภทที่มีอัตราร้อยละ 1 ให้เป็นร้อยละ 5 เพื่อให้อัตราอากรขาเข้าของสารที่ทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนมีอัตราเท่ากันทุกประเภทโดยไม่ขัดกับโครงสร้างพิกัดอัตราอากรขาเข้าของประเทศ ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
จึงมีการออกพระราชกฤษฎีกาและประกาศกระทรวงการคลังรวม 3 ฉบับ ดังกล่าว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 9 ต.ค. 44--
-สส-