ทำเนียบรัฐบาล--11 ก.ค.--นิวส์สแตนด์
คณะรัฐมนตรีรับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ เกี่ยวกับการดำเนินการของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ในการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท ไทยโอเลฟินส์ จำกัด (TOC) ดังนี้
1. รับทราบว่า ปตท. เข้าร่วมปรับโครงสร้างหนี้กับกลุ่มเจ้าหนี้ของ TOC ที่ให้ความยินยอมเลื่อนการชำระหนี้เงินกู้และให้เงินกู้ใหม่ (เงินกู้ใหม่เพื่อชำระคืนกลุ่มเจ้าหนี้ที่ไม่ยอมให้เลื่อนชำระหนี้) รวมจำนวน 191 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมถึงขยายอายุหนี้จาก 5 ปี เป็น 7 ปี โดยคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราตลาด ทั้งนี้ จะสามารถลดภาระหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เป็นเงินต้นประมาณ 359 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้บรรยากาศการลงทุนในประเทศดีขึ้น และ TOC ได้มีการศึกษาโครงการขยายกำลังการผลิต (Expansion) และโครงการผลิตต่อเนื่อง (Downstream) รวมทั้ง ปตท. ได้มีการศึกษาโครงการลงทุนปิโตรเลียมเคมีขั้นปลายสายโอเลฟินส์ ซึ่ง ปตท. อาจจะพิจารณาลงทุนหากโครงการดังกล่าวให้ผลตอบแทนคุ้มค่าต่อไป
2. อนุมัติให้ ปตท. คงวงเงินสินเชื่อทางการค้าแก่ TOC จำนวน 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไว้ต่อไป เนื่องจากปตท. เป็นผู้จัดหาแหล่งวัตถุดิบทั้งจากโรงกลั่นในประเทศ โรงแยกก๊าซและนำเข้าจากต่างประเทศให้กับ TOC โดยคิดค่าดำเนินการ และ ปตท. ได้ให้วงเงินสินเชื่อทางการค้าดังกล่าวอยู่แล้ว
3. อนุมัติให้ ปตท. ให้วงเงินสำรองฉุกเฉิน (Contingency Support) จำนวน 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของเงินเพิ่มทุน และ/หรือหนี้ด้อยสิทธิ์ ในรูปของสินเชื่อทางการค้า หรือเงินกู้ด้อยสิทธิ์ ตามความจำเป็นและเหมาะสม เมื่อ TOC ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องและไม่สามารถชำระคืนหนี้เงินกู้ได้ในอนาคต
4. อนุมัติให้ TOC สามารถดำเนินธุรกิจ โดยใช้คำสั่ง กฎระเบียบ ข้อบังคับ ของบริษัทฯ ที่ใช้ปฏิบัติอยู่แล้วมาใช้ปฏิบัติต่อไป กรณีที่ ปตท. อาจจะแปลงวงเงินสำรองฉุกเฉินเป็นเงินเพิ่มทุนในภายหลัง ซึ่งจะมีผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท. ใน TOC มากกว่าร้อยละ 50 และทำให้ TOC มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ โดยไม่นำคำสั่ง กฎระเบียบ ข้อบังคับ และมติต่าง ๆ ที่ใช้บังคับรัฐวิสาหกิจมาใช้บังคับเป็นการชั่วคราว จนกว่า ปตท. จะสามารถลดสัดส่วนการถือหุ้น โดยการจำหน่ายจ่ายโอนหุ้น และ/หรือหาผู้ร่วมทุนใหม่ โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะกรรมการ ปตท. และไม่นำวิธีการจำหน่ายจ่ายโอนหุ้นที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่ายกิจการหรือหุ้นส่วนที่ราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504 (กำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนการจำหน่ายกิจการหรือหุ้นของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจไว้) มาใช้บังคับ
5. อนุมัติให้ ปตท. จัดทำ และ/หรือยกเลิก และ/หรือแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาข้อตกลงต่าง ๆ ที่เป็นภาระผูกพันและสิทธิที่พึงได้จาก TOC และผู้ถือหุ้นอื่น รวมทั้งยินยอมให้ TOC โอนภาระผูกพันที่ ปตท. ให้ตามสัญญาและข้อตกลงดังกล่าว เป็นหลักประกันให้กลุ่มเจ้าหนี้เงินกู้ของ TOC ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานว่า โรงงานของ TOC ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มทดลองเดินเครื่องในเดือนสิงหาคม 2537 และดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนมิถุนายน 2538 ต่อมาในปี 2540 เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจตกต่ำทั่วทั้งภูมิภาค ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ในประเทศลดลง ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นปลายหลายรายปรับลดอัตราการผลิตลง และบางรายประกาศหยุดหรือชะลอโครงการ ซึ่งทำให้ผู้ผลิตในปิโตรเคมีขั้นต้นทั่วทั้งภูมิภาคต้องส่งออกผลิตภัณฑ์มากขึ้นส่งผลให้ราคาโอเลฟินส์ตกต่ำ มีผลกระทบทำให้รายได้และกำไรสุทธิของบริษัทฯ ลดลง ซึ่งปรากฏว่า TOC ยังมีกำไรจากการดำเนินงานเพียงพอที่จะชำระดอกเบี้ยได้ แต่ไม่เพียงพอที่จะชำระต้นเงินกู้เนื่องจาก TOC มีภาระหนี้สูง และมีหนี้ระยะยาวที่จะต้องชำระต้นเงินกู้คืนกลุ่มเจ้าหนี้ในระยะเวลา 5 ปี จำนวนสูงถึงปีละประมาณ 66ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่มีกำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งหลังจากชำระดอกเบี้ยแล้วมีเหลือไม่เพียงพอชำระคืนต้นเงินกู้ให้กับกลุ่มเจ้าหนี้ได้ TOC จึงมีปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งที่ปรึกษาทางการเงินของ TOC ได้ประเมินสถานะการเงินในอนาคตแล้วพบว่า ในช่วงระหว่างปี 2543 ถึง 2550 TOC จะขาดสภาพคล่องรวมเป็นเงินสูงสุดถึง 191 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ดังนั้น TOC จึงจำเป็นต้องเจรจาเพื่อปรับการชำระคืนต้นเงินกู้ให้เหมาะสมกับกระแสเงินสดในอนาคตของบริษัทฯ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 11 ก.ค. 2543--
-สส-
คณะรัฐมนตรีรับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ เกี่ยวกับการดำเนินการของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ในการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท ไทยโอเลฟินส์ จำกัด (TOC) ดังนี้
1. รับทราบว่า ปตท. เข้าร่วมปรับโครงสร้างหนี้กับกลุ่มเจ้าหนี้ของ TOC ที่ให้ความยินยอมเลื่อนการชำระหนี้เงินกู้และให้เงินกู้ใหม่ (เงินกู้ใหม่เพื่อชำระคืนกลุ่มเจ้าหนี้ที่ไม่ยอมให้เลื่อนชำระหนี้) รวมจำนวน 191 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมถึงขยายอายุหนี้จาก 5 ปี เป็น 7 ปี โดยคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราตลาด ทั้งนี้ จะสามารถลดภาระหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เป็นเงินต้นประมาณ 359 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้บรรยากาศการลงทุนในประเทศดีขึ้น และ TOC ได้มีการศึกษาโครงการขยายกำลังการผลิต (Expansion) และโครงการผลิตต่อเนื่อง (Downstream) รวมทั้ง ปตท. ได้มีการศึกษาโครงการลงทุนปิโตรเลียมเคมีขั้นปลายสายโอเลฟินส์ ซึ่ง ปตท. อาจจะพิจารณาลงทุนหากโครงการดังกล่าวให้ผลตอบแทนคุ้มค่าต่อไป
2. อนุมัติให้ ปตท. คงวงเงินสินเชื่อทางการค้าแก่ TOC จำนวน 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไว้ต่อไป เนื่องจากปตท. เป็นผู้จัดหาแหล่งวัตถุดิบทั้งจากโรงกลั่นในประเทศ โรงแยกก๊าซและนำเข้าจากต่างประเทศให้กับ TOC โดยคิดค่าดำเนินการ และ ปตท. ได้ให้วงเงินสินเชื่อทางการค้าดังกล่าวอยู่แล้ว
3. อนุมัติให้ ปตท. ให้วงเงินสำรองฉุกเฉิน (Contingency Support) จำนวน 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของเงินเพิ่มทุน และ/หรือหนี้ด้อยสิทธิ์ ในรูปของสินเชื่อทางการค้า หรือเงินกู้ด้อยสิทธิ์ ตามความจำเป็นและเหมาะสม เมื่อ TOC ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องและไม่สามารถชำระคืนหนี้เงินกู้ได้ในอนาคต
4. อนุมัติให้ TOC สามารถดำเนินธุรกิจ โดยใช้คำสั่ง กฎระเบียบ ข้อบังคับ ของบริษัทฯ ที่ใช้ปฏิบัติอยู่แล้วมาใช้ปฏิบัติต่อไป กรณีที่ ปตท. อาจจะแปลงวงเงินสำรองฉุกเฉินเป็นเงินเพิ่มทุนในภายหลัง ซึ่งจะมีผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท. ใน TOC มากกว่าร้อยละ 50 และทำให้ TOC มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ โดยไม่นำคำสั่ง กฎระเบียบ ข้อบังคับ และมติต่าง ๆ ที่ใช้บังคับรัฐวิสาหกิจมาใช้บังคับเป็นการชั่วคราว จนกว่า ปตท. จะสามารถลดสัดส่วนการถือหุ้น โดยการจำหน่ายจ่ายโอนหุ้น และ/หรือหาผู้ร่วมทุนใหม่ โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะกรรมการ ปตท. และไม่นำวิธีการจำหน่ายจ่ายโอนหุ้นที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่ายกิจการหรือหุ้นส่วนที่ราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504 (กำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนการจำหน่ายกิจการหรือหุ้นของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจไว้) มาใช้บังคับ
5. อนุมัติให้ ปตท. จัดทำ และ/หรือยกเลิก และ/หรือแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาข้อตกลงต่าง ๆ ที่เป็นภาระผูกพันและสิทธิที่พึงได้จาก TOC และผู้ถือหุ้นอื่น รวมทั้งยินยอมให้ TOC โอนภาระผูกพันที่ ปตท. ให้ตามสัญญาและข้อตกลงดังกล่าว เป็นหลักประกันให้กลุ่มเจ้าหนี้เงินกู้ของ TOC ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานว่า โรงงานของ TOC ก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มทดลองเดินเครื่องในเดือนสิงหาคม 2537 และดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนมิถุนายน 2538 ต่อมาในปี 2540 เกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจตกต่ำทั่วทั้งภูมิภาค ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์ในประเทศลดลง ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นปลายหลายรายปรับลดอัตราการผลิตลง และบางรายประกาศหยุดหรือชะลอโครงการ ซึ่งทำให้ผู้ผลิตในปิโตรเคมีขั้นต้นทั่วทั้งภูมิภาคต้องส่งออกผลิตภัณฑ์มากขึ้นส่งผลให้ราคาโอเลฟินส์ตกต่ำ มีผลกระทบทำให้รายได้และกำไรสุทธิของบริษัทฯ ลดลง ซึ่งปรากฏว่า TOC ยังมีกำไรจากการดำเนินงานเพียงพอที่จะชำระดอกเบี้ยได้ แต่ไม่เพียงพอที่จะชำระต้นเงินกู้เนื่องจาก TOC มีภาระหนี้สูง และมีหนี้ระยะยาวที่จะต้องชำระต้นเงินกู้คืนกลุ่มเจ้าหนี้ในระยะเวลา 5 ปี จำนวนสูงถึงปีละประมาณ 66ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่มีกำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งหลังจากชำระดอกเบี้ยแล้วมีเหลือไม่เพียงพอชำระคืนต้นเงินกู้ให้กับกลุ่มเจ้าหนี้ได้ TOC จึงมีปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งที่ปรึกษาทางการเงินของ TOC ได้ประเมินสถานะการเงินในอนาคตแล้วพบว่า ในช่วงระหว่างปี 2543 ถึง 2550 TOC จะขาดสภาพคล่องรวมเป็นเงินสูงสุดถึง 191 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ดังนั้น TOC จึงจำเป็นต้องเจรจาเพื่อปรับการชำระคืนต้นเงินกู้ให้เหมาะสมกับกระแสเงินสดในอนาคตของบริษัทฯ
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 11 ก.ค. 2543--
-สส-