ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของรัฐมนตรีสิบคน สิ้นสุดลงเฉพาะตัว กรณีดำรงตำแหน่งในห้างหุ้นส่วนและบริษัท หรือไม่
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้แจ้งคำวินิจฉัย เรื่อง ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของรัฐมนตรี 10 คน ได้แก่ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม นายสุวัจน์ ลิมปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง หม่อมราชวงศ์สุขมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายวัฒนา อัศวเหม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และ นายรักษ์ ตันติสุนทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นการสิ้นสุดลงเฉพาะตัว กรณีดำรงตำแหน่งในห้างหุ้นส่วนและบริษัท หรือไม่ พร้อมกับเสนอความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ดังนี้1. ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า ผู้ถูกร้องทั้ง 10 คน มิได้กระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 208 และความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้ง 10 คนดังกล่าว ไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 216 วรรคหนึ่ง (6)2. สมควรที่คณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 22 หุ้นส่วนและบริษัท และปรับปรุงพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ.2499
เนื่องจากพบว่า ยังไม่มีบทบัญญัติที่จะรองรับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 208 ได้โดยตรง รวมทั้ง บทกำหนดโทษตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ.2499 ที่จะต้องบัญญัติเพื่อรองรับในเรื่องดังกล่าว ให้เป็นไปด้วยความเหมาะสมสอดคล้องกันด้วย จึงสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาดำเนินการ ดังนี้1. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 22 หุ้นส่วนและบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้มีบทบัญญัติที่ชัดเจนว่า ผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ หรือกรรมการบริษัทที่ลาออกจากห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจะต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะถือว่า ลาออกถูกต้อง มีผลผูกพันหุ้นส่วนอื่น กรรมการอื่น และบุคคลภายนอก ทั้งนี้ โดยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติอย่างไร ต้องแสดงเจตนาหรือยื่นต่อใคร เมื่อใด และเป็นหน้าที่ของผู้ใดที่จะต้องแจ้งต่อนายทะเบียน เมื่อใด และ2. ปรับปรุงพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ.2499 ให้ชัดเจนว่า เป็นหน้าที่ของผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ หรือกรรมการที่ขอลาออก จะต้องทำหนังสือลาออกยื่นต่อบุคคลใด และให้บุคคลนั้นนำความไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนเมื่อใด นับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ หรือกรรมการผู้ใดไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษปรับ และผู้เป็นหุ้นส่วนหรือกรรมการอื่นทุกคน ต้องระวางโทษปรับเท่ากัน รวมทั้งปรับปรุงอัตราค่าปรับให้สอดคล้องกับภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป ทั้งนี้ โดยถือเอาปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการของหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วน และกรรมการบริษัทที่เกี่ยวกับผู้ถูกร้องในคำร้องนี้เป็นกรณีศึกษาด้วย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร)--วันที่ 13 มี.ค.2544
-สส-
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้แจ้งคำวินิจฉัย เรื่อง ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของรัฐมนตรี 10 คน ได้แก่ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม นายสุวัจน์ ลิมปตพัลลภ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง หม่อมราชวงศ์สุขมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายวัฒนา อัศวเหม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และ นายรักษ์ ตันติสุนทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นการสิ้นสุดลงเฉพาะตัว กรณีดำรงตำแหน่งในห้างหุ้นส่วนและบริษัท หรือไม่ พร้อมกับเสนอความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ดังนี้1. ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า ผู้ถูกร้องทั้ง 10 คน มิได้กระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 208 และความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้ง 10 คนดังกล่าว ไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 216 วรรคหนึ่ง (6)2. สมควรที่คณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 22 หุ้นส่วนและบริษัท และปรับปรุงพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ.2499
เนื่องจากพบว่า ยังไม่มีบทบัญญัติที่จะรองรับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 208 ได้โดยตรง รวมทั้ง บทกำหนดโทษตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ.2499 ที่จะต้องบัญญัติเพื่อรองรับในเรื่องดังกล่าว ให้เป็นไปด้วยความเหมาะสมสอดคล้องกันด้วย จึงสมควรที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาดำเนินการ ดังนี้1. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ 22 หุ้นส่วนและบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้มีบทบัญญัติที่ชัดเจนว่า ผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ หรือกรรมการบริษัทที่ลาออกจากห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจะต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะถือว่า ลาออกถูกต้อง มีผลผูกพันหุ้นส่วนอื่น กรรมการอื่น และบุคคลภายนอก ทั้งนี้ โดยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติอย่างไร ต้องแสดงเจตนาหรือยื่นต่อใคร เมื่อใด และเป็นหน้าที่ของผู้ใดที่จะต้องแจ้งต่อนายทะเบียน เมื่อใด และ2. ปรับปรุงพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคม และมูลนิธิ พ.ศ.2499 ให้ชัดเจนว่า เป็นหน้าที่ของผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ หรือกรรมการที่ขอลาออก จะต้องทำหนังสือลาออกยื่นต่อบุคคลใด และให้บุคคลนั้นนำความไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนเมื่อใด นับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ หรือกรรมการผู้ใดไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษปรับ และผู้เป็นหุ้นส่วนหรือกรรมการอื่นทุกคน ต้องระวางโทษปรับเท่ากัน รวมทั้งปรับปรุงอัตราค่าปรับให้สอดคล้องกับภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป ทั้งนี้ โดยถือเอาปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการของหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วน และกรรมการบริษัทที่เกี่ยวกับผู้ถูกร้องในคำร้องนี้เป็นกรณีศึกษาด้วย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร)--วันที่ 13 มี.ค.2544
-สส-