ทำเนียบรัฐบาล--22 ก.พ.--รอยเตอร์
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะรัฐมนตรีผู้รักษาตามพระราช-บัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ให้โรงงานน้ำตาลที่ฐานะการเงินไม่แข็งแรง จ่ายเงินค่าอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2542/2543 ทันที 350 บาท/ตันอ้อย ที่ค่าความหวาน 10 ซี.ซี.เอส. และจ่ายเป็นเช็คล่วงหน้า 100 บาท/ตันอ้อย โดยธนาคารพาณิชย์ช่วยรับซื้อเช็คดังกล่าวจากชาวไร่อ้อย เพื่อให้ชาว ไร่อ้อยได้รับเงินค่าอ้อยฤดูการผลิต ปี 2542/2543 ในอัตรา 450 บาท/ตันอ้อย ที่ค่าความหวาน 10 ซี.ซี.เอส. ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามระเบียบ ซึ่งจะครบกำหนดการเบิกจ่ายงวดต่อไปในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 อนึ่ง เพื่อที่จะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์ยินยอมซื้อลดเช็คล่วงหน้าดังกล่าว คณะรัฐมนตรีจึงเห็นควรให้ ดำเนินการ ดังนี้
1. ให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงิน จำนวน 2,000 ล้านบาท จากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร และกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร หรือแหล่งเงินอื่นๆ และนำไปฝากไว้ใน ESCROW ACCOUNT ที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) โดยกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย มอบอำนาจให้ ธสน.มีอำนาจหักเงินในบัญชีดังกล่าวเพื่อชำระค่าเช็คอ้อยขั้นต้นล่วงหน้า (เฉพาะส่วน 100 บาท/ตันอ้อย) เมื่อถึงกำหนด
2. เนื่องจากเงินดังกล่าวข้างต้นมีจำนวนจำกัด จึงจำเป็นต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงเห็นควรกำหนด ให้ใช้เฉพาะการชำระเช็คค่าอ้อยขั้นต้นล่วงหน้าที่ออกโดยโรงงานน้ำตาลซึ่งฐานะการเงินไม่แข็งแรง และไม่มีวงเงินสินเชื่อเพียงพอ ตามที่ ธสน.เป็นผู้พิจารณากำหนดเท่านั้น
3. ให้ ธสน.มีอำนาจจัดสรรวงเงิน 2,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการรับซื้อเช็คค่าอ้อยขั้นต้นล่วงหน้า ให้แก่ โรงงานน้ำตาลต่างๆ ตามข้อ 2. โดยพิจารณาจากข้อเสนอของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นธนาคารหลักของแต่ละโรงงาน
4. การชำระค่าอ้อยสำหรับงวดวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 ให้แบ่งชำระดังนี้
4.1 ชำระเป็นเช็คเงินสด ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 เป็นเงิน 225 บาท/ตันอ้อย
4.2 ชำระเป็นเช็คล่วงหน้า 30 วัน เป็นเงิน 125 บาท/ตันอ้อย
4.3 ส่วนทีเหลืออีก 100 บาท/ตันอ้อย เป็นเช็คล่วงหน้า 30 วัน ซึ่งจะชำระเงินให้ได้ในวันที่ 1 มีนาคม 2543 ถ้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายได้กู้เงิน จำนวน 2,000 ล้านบาท และนำเงินดังกล่าวเข้า ESCROW ACCOUNT ที่ ธสน. เรียบร้อยแล้ว
5. ให้ธนาคารพาณิชย์รับซื้อเช็คค่าอ้อยขั้นต้นล่วงหน้าส่วนทีเป็น 100 บาท/ตันอ้อย โดยคิดส่วนลดใน อัตราร้อยละ 8.5 ต่อปี เรียกเก็บจากชาวไร่อ้อย และเมื่อถึงกำหนดให้นำเรียกเก็บจาก ธสน. ซึ่ง ธสน. จะหักบัญชี ESCROW ACCOUNT ดังกล่าวในข้อ 1 เพื่อชำระเงินตามเช็คที่เรียกเก็บดังกล่าว
6. เมื่อสิ้นฤดูการผลิตและได้คำนวณราคาค่าอ้อยขั้นสุดท้ายฤดูการผลิต ปี 2542/2543 แล้ว ให้ดำเนินการ ดังนี้
6.1ในกรณีที่ค่าอ้อยขั้นสุดท้ายสูงกว่า 450 บาท/ตันอ้อย ให้โรงงานน้ำตาลจ่ายเงินคืนกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเท่ากับเงินค่าอ้อยในส่วนที่เป็น 100 บาท/ตันอ้อย คูณด้วยปริมาณอ้อยที่ซื้อพร้อมกับดอกเบี้ยในอัตราที่ใกล้เคียงกับอัตราในท้องตลาดทั่วไปตามที่ ธสน. เป็นผู้กำหนด
6.2 ในกรณีที่ค่าอ้อยขั้นสุดท้ายต่ำกว่า 450/ตันอ้อย ให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย จ่ายเงินชดเชยให้โรงงานน้ำตาลทรายเท่ากับจำนวนอ้อยที่ซื้อทั้งหมดคูณด้วยส่วนต่างของราคาที่ต่ำกว่า 450 บาท/ตันอ้อย และให้โรงงาน น้ำตาลจ่ายเงินคืนกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเท่ากับเงินค่าอ้อยในส่วนที่เป็น 100 บาท/ตันอ้อย คูณด้วยปริมาณอ้อยที่ซื้อ พร้อมกับดอกเบี้ยในอัตราที่ใกล้เคียงกับอัตราในท้องตลาดทั่วไป ตามที่ ธสน. เป็นผู้กำหนด โดยให้นำเงินสองส่วนหักลบกันได้ และส่งมอบต่อกันเฉพาะส่วนสุทธิ
7. ให้มีการดำเนินการเพื่อจัดทำเอกสารผูกพันให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 มีนาคม 2543 ประกอบด้วย
7.1 หนังสือมอบอำนาจจากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ให้ ธสน.มีอำนาจหักเงินใน ESCROW ACCOUNT เพื่อใช้ชำระค่าเช็คอ้อยขั้นต้นล่วงหน้าส่วน 100 บาท/ตันอ้อย
7.2 หนังสืออนุญาตจากกระทรวงอุตสาหกรรมให้ ธสน.มีอำนาจจัดสรรวงเงินตามข้อ 3.
7.3 บันทึกความเข้าใจระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึงหลักการในโครงการช่วยเหลือที่กล่าวถึงใน ที่นี้ทั้งหมด 8. ในการกู้ยืมเงินของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายตามข้อ 1. ให้นำเงินจำนวน 1,200 ล้านบาท จาก กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร มาให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้ยืม และให้นำเงินจำนวน 800 ล้านบาท จากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรมาให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้ยืม ทั้งนี้ จำเป็นต้องแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร พ.ศ. 2543 เพื่อให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายสามารถกู้ยืมเงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรได้ และให้กรมบัญชีกลางพิจารณาระเบียบกรมบัญชีกลางว่าด้วยการเงินและพัสดุกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร พ.ศ.2543 เพื่อให้สอดคล้องกับร่างระเบียบดังกล่าวต่อไป โดยกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายจะได้ใช้คืนเงินกู้ให้กับแหล่งเงินทั้งสองข้างต้น เมื่อ คณะรัฐมนตรีได้มีมติกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฤดูการผลิต ปี 2542/2543 แล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543--
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะรัฐมนตรีผู้รักษาตามพระราช-บัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ให้โรงงานน้ำตาลที่ฐานะการเงินไม่แข็งแรง จ่ายเงินค่าอ้อยขั้นต้นฤดูการผลิตปี 2542/2543 ทันที 350 บาท/ตันอ้อย ที่ค่าความหวาน 10 ซี.ซี.เอส. และจ่ายเป็นเช็คล่วงหน้า 100 บาท/ตันอ้อย โดยธนาคารพาณิชย์ช่วยรับซื้อเช็คดังกล่าวจากชาวไร่อ้อย เพื่อให้ชาว ไร่อ้อยได้รับเงินค่าอ้อยฤดูการผลิต ปี 2542/2543 ในอัตรา 450 บาท/ตันอ้อย ที่ค่าความหวาน 10 ซี.ซี.เอส. ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามระเบียบ ซึ่งจะครบกำหนดการเบิกจ่ายงวดต่อไปในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 อนึ่ง เพื่อที่จะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์ยินยอมซื้อลดเช็คล่วงหน้าดังกล่าว คณะรัฐมนตรีจึงเห็นควรให้ ดำเนินการ ดังนี้
1. ให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงิน จำนวน 2,000 ล้านบาท จากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร และกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร หรือแหล่งเงินอื่นๆ และนำไปฝากไว้ใน ESCROW ACCOUNT ที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) โดยกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย มอบอำนาจให้ ธสน.มีอำนาจหักเงินในบัญชีดังกล่าวเพื่อชำระค่าเช็คอ้อยขั้นต้นล่วงหน้า (เฉพาะส่วน 100 บาท/ตันอ้อย) เมื่อถึงกำหนด
2. เนื่องจากเงินดังกล่าวข้างต้นมีจำนวนจำกัด จึงจำเป็นต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงเห็นควรกำหนด ให้ใช้เฉพาะการชำระเช็คค่าอ้อยขั้นต้นล่วงหน้าที่ออกโดยโรงงานน้ำตาลซึ่งฐานะการเงินไม่แข็งแรง และไม่มีวงเงินสินเชื่อเพียงพอ ตามที่ ธสน.เป็นผู้พิจารณากำหนดเท่านั้น
3. ให้ ธสน.มีอำนาจจัดสรรวงเงิน 2,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการรับซื้อเช็คค่าอ้อยขั้นต้นล่วงหน้า ให้แก่ โรงงานน้ำตาลต่างๆ ตามข้อ 2. โดยพิจารณาจากข้อเสนอของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นธนาคารหลักของแต่ละโรงงาน
4. การชำระค่าอ้อยสำหรับงวดวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 ให้แบ่งชำระดังนี้
4.1 ชำระเป็นเช็คเงินสด ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 เป็นเงิน 225 บาท/ตันอ้อย
4.2 ชำระเป็นเช็คล่วงหน้า 30 วัน เป็นเงิน 125 บาท/ตันอ้อย
4.3 ส่วนทีเหลืออีก 100 บาท/ตันอ้อย เป็นเช็คล่วงหน้า 30 วัน ซึ่งจะชำระเงินให้ได้ในวันที่ 1 มีนาคม 2543 ถ้ากองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายได้กู้เงิน จำนวน 2,000 ล้านบาท และนำเงินดังกล่าวเข้า ESCROW ACCOUNT ที่ ธสน. เรียบร้อยแล้ว
5. ให้ธนาคารพาณิชย์รับซื้อเช็คค่าอ้อยขั้นต้นล่วงหน้าส่วนทีเป็น 100 บาท/ตันอ้อย โดยคิดส่วนลดใน อัตราร้อยละ 8.5 ต่อปี เรียกเก็บจากชาวไร่อ้อย และเมื่อถึงกำหนดให้นำเรียกเก็บจาก ธสน. ซึ่ง ธสน. จะหักบัญชี ESCROW ACCOUNT ดังกล่าวในข้อ 1 เพื่อชำระเงินตามเช็คที่เรียกเก็บดังกล่าว
6. เมื่อสิ้นฤดูการผลิตและได้คำนวณราคาค่าอ้อยขั้นสุดท้ายฤดูการผลิต ปี 2542/2543 แล้ว ให้ดำเนินการ ดังนี้
6.1ในกรณีที่ค่าอ้อยขั้นสุดท้ายสูงกว่า 450 บาท/ตันอ้อย ให้โรงงานน้ำตาลจ่ายเงินคืนกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเท่ากับเงินค่าอ้อยในส่วนที่เป็น 100 บาท/ตันอ้อย คูณด้วยปริมาณอ้อยที่ซื้อพร้อมกับดอกเบี้ยในอัตราที่ใกล้เคียงกับอัตราในท้องตลาดทั่วไปตามที่ ธสน. เป็นผู้กำหนด
6.2 ในกรณีที่ค่าอ้อยขั้นสุดท้ายต่ำกว่า 450/ตันอ้อย ให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย จ่ายเงินชดเชยให้โรงงานน้ำตาลทรายเท่ากับจำนวนอ้อยที่ซื้อทั้งหมดคูณด้วยส่วนต่างของราคาที่ต่ำกว่า 450 บาท/ตันอ้อย และให้โรงงาน น้ำตาลจ่ายเงินคืนกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเท่ากับเงินค่าอ้อยในส่วนที่เป็น 100 บาท/ตันอ้อย คูณด้วยปริมาณอ้อยที่ซื้อ พร้อมกับดอกเบี้ยในอัตราที่ใกล้เคียงกับอัตราในท้องตลาดทั่วไป ตามที่ ธสน. เป็นผู้กำหนด โดยให้นำเงินสองส่วนหักลบกันได้ และส่งมอบต่อกันเฉพาะส่วนสุทธิ
7. ให้มีการดำเนินการเพื่อจัดทำเอกสารผูกพันให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 มีนาคม 2543 ประกอบด้วย
7.1 หนังสือมอบอำนาจจากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ให้ ธสน.มีอำนาจหักเงินใน ESCROW ACCOUNT เพื่อใช้ชำระค่าเช็คอ้อยขั้นต้นล่วงหน้าส่วน 100 บาท/ตันอ้อย
7.2 หนังสืออนุญาตจากกระทรวงอุตสาหกรรมให้ ธสน.มีอำนาจจัดสรรวงเงินตามข้อ 3.
7.3 บันทึกความเข้าใจระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่กล่าวถึงหลักการในโครงการช่วยเหลือที่กล่าวถึงใน ที่นี้ทั้งหมด 8. ในการกู้ยืมเงินของกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายตามข้อ 1. ให้นำเงินจำนวน 1,200 ล้านบาท จาก กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร มาให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้ยืม และให้นำเงินจำนวน 800 ล้านบาท จากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรมาให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้ยืม ทั้งนี้ จำเป็นต้องแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร พ.ศ. 2543 เพื่อให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายสามารถกู้ยืมเงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรได้ และให้กรมบัญชีกลางพิจารณาระเบียบกรมบัญชีกลางว่าด้วยการเงินและพัสดุกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร พ.ศ.2543 เพื่อให้สอดคล้องกับร่างระเบียบดังกล่าวต่อไป โดยกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายจะได้ใช้คืนเงินกู้ให้กับแหล่งเงินทั้งสองข้างต้น เมื่อ คณะรัฐมนตรีได้มีมติกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฤดูการผลิต ปี 2542/2543 แล้ว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543--