ทำเนียบรัฐบาล--25 ต.ค.--นิวส์สแตนด์
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กระทรวงการคลังอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน 9,000 ล้านบาท ของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อนำไปให้กู้ยืมแก่กิจการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังรายงานว่า บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ขอให้กระทรวงการคลังอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน 9,000 ล้านบาท ที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อนำไปให้กู้ยืมแก่กิจการขนาดกลางและขนาดย่อม โดย ธปท. จะรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งบรรษัทฯ เป็นผู้ออกและกระทรวงการคลังเป็นผู้อาวัล ตามเงื่อนไขเงินกู้ผ่อนปรนจาก ธปท. ซึ่งกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วขอเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่ ธปท. กำหนดในการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินของบรรษัทฯ ดังนี้
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข
1. เงื่อนไขการกู้เงิน วงเงินกู้ไม่เกิน 9,000 ล้านบาท เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีกระทรวงการคลังเป็นผู้อาวัลกำหนดชำระคืนไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ในตั๋วสัญญาใช้เงิน และอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี
2. กิจการอุตสาหกรรมที่บรรษัทฯ จะนำเงินกู้จำนวนดังกล่าวไปให้กู้ยืมเป็นเงินทุนหมุนเวียนและเงินลงทุนระยะยาวได้จะต้องมีคุณสมบัติตามที่ ธปท. กำหนดคือ
- เป็นกิจการอุตสาหกรรมขนาดย่อมที่มีสินทรัพย์ถาวรสุทธิไม่เกิน 50 ล้านบาท และมีวงเงินกู้กับ บรรษัทฯ ไม่เกิน 25 ล้านบาท
- เป็นกิจการอุตสาหกรรมขนาดกลางที่มีสินทรัพย์ถาวรสุทธิไม่เกิน 200 ล้านบาท และมีวงเงินกู้กับ บรรษัทฯ ไม่เกิน 100 ล้านบาท
3. บรรษัทฯ จะเบิกเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ ธปท. รับซื้อไว้ โดยขอเบิกได้เป็น 45 งวด ๆ ละ 200 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้บรรษัทฯ เบิกเงินงวดที่ 1 ไปได้ก่อน แต่จะขอเบิกเงินในงวดถัดไปได้ต่อเมื่อได้ให้กู้ยืมเงินแก่ผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมไปจนครบหรือใกล้ครบจำนวนที่เบิกในงวดก่อนแล้ว
4. บรรษัทฯ จะคิดดอกเบี้ยเงินที่นำไปให้กู้ยืมแก่ผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมได้ในอัตราไม่เกินอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมประเภทมีกำหนดระยะเวลาสำหรับลูกค้าชั้นดี (MLR) เฉลี่ยของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ลบด้วยร้อยละ 1 ต่อปี
5. บรรษัทฯ นำเงินที่เบิกได้ไปให้กู้ยืมแก่ผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมตามข้อ 2. แต่ละรายไม่เกินร้อยละ 60 ของจำนวนเงินที่ บรรษัทฯ ตกลงให้กู้แก่ผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมรายนั้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 24 ต.ค. 2543--
-สส-
คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กระทรวงการคลังอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน 9,000 ล้านบาท ของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อนำไปให้กู้ยืมแก่กิจการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังรายงานว่า บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ขอให้กระทรวงการคลังอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน 9,000 ล้านบาท ที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อนำไปให้กู้ยืมแก่กิจการขนาดกลางและขนาดย่อม โดย ธปท. จะรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งบรรษัทฯ เป็นผู้ออกและกระทรวงการคลังเป็นผู้อาวัล ตามเงื่อนไขเงินกู้ผ่อนปรนจาก ธปท. ซึ่งกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วขอเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่ ธปท. กำหนดในการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินของบรรษัทฯ ดังนี้
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข
1. เงื่อนไขการกู้เงิน วงเงินกู้ไม่เกิน 9,000 ล้านบาท เป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีกระทรวงการคลังเป็นผู้อาวัลกำหนดชำระคืนไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ในตั๋วสัญญาใช้เงิน และอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี
2. กิจการอุตสาหกรรมที่บรรษัทฯ จะนำเงินกู้จำนวนดังกล่าวไปให้กู้ยืมเป็นเงินทุนหมุนเวียนและเงินลงทุนระยะยาวได้จะต้องมีคุณสมบัติตามที่ ธปท. กำหนดคือ
- เป็นกิจการอุตสาหกรรมขนาดย่อมที่มีสินทรัพย์ถาวรสุทธิไม่เกิน 50 ล้านบาท และมีวงเงินกู้กับ บรรษัทฯ ไม่เกิน 25 ล้านบาท
- เป็นกิจการอุตสาหกรรมขนาดกลางที่มีสินทรัพย์ถาวรสุทธิไม่เกิน 200 ล้านบาท และมีวงเงินกู้กับ บรรษัทฯ ไม่เกิน 100 ล้านบาท
3. บรรษัทฯ จะเบิกเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ ธปท. รับซื้อไว้ โดยขอเบิกได้เป็น 45 งวด ๆ ละ 200 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้บรรษัทฯ เบิกเงินงวดที่ 1 ไปได้ก่อน แต่จะขอเบิกเงินในงวดถัดไปได้ต่อเมื่อได้ให้กู้ยืมเงินแก่ผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมไปจนครบหรือใกล้ครบจำนวนที่เบิกในงวดก่อนแล้ว
4. บรรษัทฯ จะคิดดอกเบี้ยเงินที่นำไปให้กู้ยืมแก่ผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมได้ในอัตราไม่เกินอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมประเภทมีกำหนดระยะเวลาสำหรับลูกค้าชั้นดี (MLR) เฉลี่ยของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ลบด้วยร้อยละ 1 ต่อปี
5. บรรษัทฯ นำเงินที่เบิกได้ไปให้กู้ยืมแก่ผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมตามข้อ 2. แต่ละรายไม่เกินร้อยละ 60 ของจำนวนเงินที่ บรรษัทฯ ตกลงให้กู้แก่ผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมรายนั้น
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดนายชวน หลีกภัย)--วันที่ 24 ต.ค. 2543--
-สส-