คณะรัฐมนตรีเห็นชอบผลการประชุมของคณะกรรมการอำนวยการและประสานการปฏิบัติตามนโยบายความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2550 เกี่ยวกับเรื่อง การจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล และการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ตามที่สำนักงาน สภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ โดยให้ตั้งคณะอนุกรรมการจัดการความรู้เพื่อผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล เป็นคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการอำนวยการและประสานการดำเนินการตามนโยบายและยุทธศาสตร์การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (อปท.) และให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม) ไปประกอบการพิจารณาด้วย ผลการประชุมสรุปของคณะกรรมการอำนวยการและประสานการปฏิบัติตามนโยบายความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล สรุปได้ดังนี้
1. การจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล ที่ประชุมมีความเห็น ดังนี้
1.1 ปัจจุบันมีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับทะเลซึ่งคณะรัฐมนตรี (9 สิงหาคม 2548) มีมติไว้แล้ว ซึ่งเป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านความมั่นคงเป็นหลักแต่สัมพันธ์กับนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านอื่น ๆ ในทะเล โดยในการดำเนินการตามนโยบายฯ จะมีส่วนช่วยสนับสนุนและส่งเสริมการดูแลผลประโยชน์อื่น ๆ ในทะเลทั้งการพาณิชยนาวี การคมนาคม และการขนส่งทางทะเล การท่องเที่ยว การทำประมง การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและอื่น ๆ ทั้งนี้ มีคณะกรรมการ อปท. เป็นกลไกดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายฯ ซึ่งคณะกรรมการ อปท. แต่งตั้งตามพระราชบัญญัติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2502 โดยมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นประธาน และผู้แทนระดับกระทรวงและกรมที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ
1.2 การจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล ตามที่คณะกรรมการรวมพลังขับเคลื่อนสังคมเสนอนั้น ที่ประชุมเห็นว่าคณะกรรมการที่ขอจัดตั้งดังกล่าวมีขอบเขตอำนาจหน้าที่ที่กว้างขวางและยังไม่ชัดเจน นอกจากนั้นภารกิจยังอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบหลายหน่วยงาน การที่มีนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานอาจไม่มีเวลามากพอในการประชุมได้อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับคณะกรรมการฟื้นฟูทะเลไทยซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและคณะรัฐมนตรี (7 พฤศจิกายน 2549) ได้มีมติยกเลิกไปแล้ว
2. การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ที่ประชุมเห็นว่า นโยบายความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล (พ.ศ. 2548-2552) ได้กำหนดให้เร่งรัดการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว ซึ่งมีกระทรวงการต่างประเทศ โดยคณะกรรมการกฎหมายทะเลเป็นหน่วยรับผิดชอบหลักดำเนินการ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการในเรื่องนี้จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายภายในที่เกี่ยวข้องหลายฉบับรองรับ จึงทำให้ล่าช้า ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศเห็นว่าแนวทางที่เป็นไปได้เพื่อให้การเข้าเป็นภาคีได้เร็วขึ้นคือ การจัดทำกฎหมายกลางให้ครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ยกร่างไว้แล้ว ทั้งนี้ หากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบกับแนวทางดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศจะได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 27 พฤศจิกายน 2550--จบ--
1. การจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล ที่ประชุมมีความเห็น ดังนี้
1.1 ปัจจุบันมีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับทะเลซึ่งคณะรัฐมนตรี (9 สิงหาคม 2548) มีมติไว้แล้ว ซึ่งเป็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านความมั่นคงเป็นหลักแต่สัมพันธ์กับนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านอื่น ๆ ในทะเล โดยในการดำเนินการตามนโยบายฯ จะมีส่วนช่วยสนับสนุนและส่งเสริมการดูแลผลประโยชน์อื่น ๆ ในทะเลทั้งการพาณิชยนาวี การคมนาคม และการขนส่งทางทะเล การท่องเที่ยว การทำประมง การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและอื่น ๆ ทั้งนี้ มีคณะกรรมการ อปท. เป็นกลไกดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายฯ ซึ่งคณะกรรมการ อปท. แต่งตั้งตามพระราชบัญญัติ สภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2502 โดยมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นประธาน และผู้แทนระดับกระทรวงและกรมที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ
1.2 การจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล ตามที่คณะกรรมการรวมพลังขับเคลื่อนสังคมเสนอนั้น ที่ประชุมเห็นว่าคณะกรรมการที่ขอจัดตั้งดังกล่าวมีขอบเขตอำนาจหน้าที่ที่กว้างขวางและยังไม่ชัดเจน นอกจากนั้นภารกิจยังอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบหลายหน่วยงาน การที่มีนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธานอาจไม่มีเวลามากพอในการประชุมได้อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับคณะกรรมการฟื้นฟูทะเลไทยซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและคณะรัฐมนตรี (7 พฤศจิกายน 2549) ได้มีมติยกเลิกไปแล้ว
2. การเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ. 1982 ที่ประชุมเห็นว่า นโยบายความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล (พ.ศ. 2548-2552) ได้กำหนดให้เร่งรัดการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว ซึ่งมีกระทรวงการต่างประเทศ โดยคณะกรรมการกฎหมายทะเลเป็นหน่วยรับผิดชอบหลักดำเนินการ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการในเรื่องนี้จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายภายในที่เกี่ยวข้องหลายฉบับรองรับ จึงทำให้ล่าช้า ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศเห็นว่าแนวทางที่เป็นไปได้เพื่อให้การเข้าเป็นภาคีได้เร็วขึ้นคือ การจัดทำกฎหมายกลางให้ครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าว ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ยกร่างไว้แล้ว ทั้งนี้ หากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบกับแนวทางดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศจะได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 27 พฤศจิกายน 2550--จบ--