คณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการเร่งรัดประหยัดพลังงาน ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
ตามที่รัฐบาลได้ประกาศปรับโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นจากลิตรละ 15.19 บาท เป็น 18.19 บาท เพื่อลดภาระการชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ แต่ขณะเดียวกันราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติอย่างต่อเนื่อง (ราคาน้ำมันดูไบได้สูงขึ้นกว่าบาร์เรลละ 50 เหรียญสหรัฐ ในช่วงต้นเดือนเมษายน 2548) ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคการขนส่งและภาคอุตสาหกรรมเป็นสาขาที่ใช้พลังงานมากที่สุดรวมกันประมาณร้อยละ 73 (ภาคขนส่งร้อยละ 37 และภาคอุตสาหกรรมร้อยละ 36) หรือคิดเป็นร้อยละ 10 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP ปี 2548 ประมาณ 7.2 ล้านบาท)
แนวทางดำเนินงาน
1. เร่งรัดใช้เชื้อเพลิงอื่นแทนน้ำมัน
1.1. การใช้ NGV แทนน้ำมัน : กระทรวงพลังงาน และ ปตท. มีมาตรการสนับสนุนทางการเงิน (Financial Package) แก่ผู้ติดตั้งและจัดซื้อรถ NGV พร้อมแล้ว
1) ทดแทนน้ำมันเบนซิน ร้อยละ 10 ประมาณ 2 ล้านลิตร/วัน เป้าหมายรถเบนซิน 120,000 คัน ในปี 2551 : ปัจจุบันติดตั้งรถแท็กซี่และรถส่วนบุคคลแล้ว 4,650 คัน โดยมีเป้าหมาย : ปี 2551 เน้นรถใหม่จาก โรงงาน จำนวน 71,000 คัน ประกอบด้วยรถแท็กซี่ 34,000 คัน รถส่วนบุคคล/รถราชการ 37,000 คัน รถเก่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV จำนวน 49,000 คัน โดยเน้นรถแท็กซี่/สามล้อเครื่อง 37,000 คัน รถส่วนบุคคล 8,000 คัน และรถราชการ 4,000 คัน
2) ทดแทนน้ำมันดีเซล ร้อยละ 10 ประมาณ 5 ล้านลิตร/วัน เป้าหมายรถดีเซล 66,000 คัน ในปี 2553 : ปัจจุบันติดตั้งรถโดยสารและรถบรรทุกแล้ว 105 คัน โดยมีเป้าหมาย : ปี 2553 เน้นรถใหม่ จำนวน 42,000 คัน ประกอบด้วย รถโดยสาร 3,000 คัน รถบรรทุก 14,000 คัน และรถปิคอัพ 25,000 คัน รถเก่า จำนวน 24,000 คัน โดยเน้นรถโดยสาร รถขยะ กทม.รวม 6,000 คัน และรถบรรทุก 18,000 คัน
3) การขยายสถานีบริการ NGV : 138 แห่ง ในปี 2543 แบ่งเป็น กทม. และจังหวัดเส้นทางขนส่งหลัก ปัจจุบันมี 28 แห่ง ขยายอีก 66 แห่ง ใน 16 จังหวัด รวมเป็น 94 แห่ง ในปี 2549 ต่างจังหวัด ขยายเพิ่มอีก 44 แห่งในปี 2553 กระจายอยู่ใน 13 จังหวัดทั่วประเทศ
การสนับสนุนจากหน่วยงานอื่น :
1) กระทรวงการคลัง : มาตรการภาษีศุลกากรและสรรพสามิต สำหรับอุปกรณ์และรถที่ใช้ NGV และมาตรการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับประชาชนที่ใช้ NGV
2) กระทรวงอุตสาหกรรม : สนับสนุนผู้ผลิตให้ใช้เครื่อง NGV เริ่มขายกลางปี 2548 ได้แก่ บริษัท GM และบริษัทสามมิตรมอเตอร์เมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด
3) กระทรวงคมนาคม : กำหนดมาตรการจูงใจแท็กซี่ รถบรรทุก และรถสามล้อเครื่องที่ใช้ NGV
1.2 การใช้ก๊าซโซฮอล์แทนเบนซิน
เป้าหมาย : ยกเลิกเบนซิน 95 ในวันที่ 1 มกราคม 2550
ภายในปี 2548
1) รถยนต์เบนซินราชการและรัฐวิสาหกิจทุกคันในจังหวัดที่มีก๊าซโซฮอล์จำหน่ายต้องใช้ก๊าซโซฮอล์
2) เร่งการใช้ก๊าซโซฮอล์ 95 เพิ่มขึ้นร้อยละ 50 ของการใช้น้ำมันเบนซิน95 ทั้งประเทศ หรือประมาณ 4 ล้านลิตรต่อวัน (ปัจจุบันการใช้เฉลี่ย 900,000 ลิตรต่อวัน)
3) เพิ่มผู้ค้าน้ำมันจาก 4 ราย ได้แก่ ปตท. บางจาก เชลล์ และทีพีไอ เป็น 7 ราย ได้แก่ คาลเท็กซ์ เจ็ท และ Q8 (คิดเป็นร้อยละ 80 ของส่วนแบ่งตลาด) และเพิ่มจำนวนสถานีบริการก๊าซโซฮอล์จาก 730 แห่ง เป็น 4,000 แห่งทั่วประเทศ
การสนับสนุนจากหน่วยงานอื่น : สถานีบริการน้ำมันที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ราชการทั้งหมดจำนวน 413 แห่ง เปลี่ยนมาขายเฉพาะก๊าซโซฮอล์ 95 อย่างเดียวภายใน 2 เดือน และขอให้แจ้งเปลี่ยนมายัง ปตท. และ บางจาก ภายใน 15 วัน
1.3 การส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล
กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแผนปฏิบัติการพัฒนาและส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลจากปาล์มในต้นเดือนพฤษภาคม 2549
2. มาตรการเร่งรัดประหยัดพลังงาน
2.1 ภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ : เป้าหมายลดใช้พลังงานร้อยละ 10
1) โครงการต่อเนื่อง (ปี 2546-2547)
(1) ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม กระบวนการผลิต และการบริหารจัดการพลังงาน เพื่อลดการใช้พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมและกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ : โดยกระทรวงพลังงานร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯ หอการค้าไทย กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ ห้างสรรพสินค้า การนิคมอุตสาหกรรม 700 แห่ง วัดผลประหยัดพลังงานลงได้ร้อยละ 10 ต่อรายต่อปี
(2) มาตรการจูงใจสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำผ่านธนาคารพาณิชย์ วงเงิน 2,000 ล้านบาท : จัดสรรแล้ว 54 โครงการ วงเงิน 1,200 ล้านบาท และเอกชนร่วมสมทบอีก 600 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรอุปกรณ์ประหยัดพลังงานและอื่น ๆ ซึ่งวัดผลประหยัดได้ร้อยละ 10-30 ต่อรายต่อปี
(3) BOI ได้มีประกาศส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมที่ใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน และผู้ประกอบการจัดการพลังงาน (ESCO) : ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และภาษีศุลกากร
2) เป้าหมายรวม : ภายในปี 2552 ลดการใช้พลังงานภาคอุตสาหกรรมโดยรวมลงร้อยละ 10
เป้าหมายปี 2548
(1) กลไกประสานความร่วมมือภาครัฐและเอกชนด้านพลังงาน
- จัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐบาลและเอกชนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (กรอพ.) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ผู้แทนหน่วยราชการและองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ และมีการจัดตั้งสำนักงานเลขานุการฯ ภายในกระทรวงพลังงาน
- จัดตั้งศูนย์ร่วมภาครัฐและเอกชนให้คำปรึกษาด้านการประหยัดพลังงาน : โดยความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรม หอการค้า สมาคมธนาคาร และกลุ่มธุรกิจเอกชน มีวัตถุประสงค์ให้คำปรึกษาด้านพลังงานแก่สถานประกอบการและโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ SMEs ที่มีเป็นจำนวนมาก
(2) ขยายผลจากข้อ 1.2.1 (1) : ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกระบวนการผลิต และการบริหารจัดการพลังงาน โดยอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ถ่ายทอดเทคโนโลยีและประสบการณ์ด้านการประหยัดพลังงานให้กับ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน เน้น 5 กลุ่ม ได้แก่ เหล็ก โรงแรม สิ่งทอ อาหาร และพลาสติก
(3) เร่งโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าและน้ำเย็น (Gas District Cooling and Cogeneration) เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (ประหยัดได้ร้อยละ 30-50) ในโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารขนาดใหญ่ 5 แห่งตามแนวท่อก๊าซ เช่น ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ศูนย์การแพทย์ศิริราช ฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต ฯลฯ ระหว่างปี 2548-2550 รวมมูลค่าประหยัดพลังงานเกือบ 170 ล้านบาทต่อปี และเริ่มดำเนินการกับนิคมอุตสาหกรรม 9 แห่ง เช่น นิคมบางพลี นิคมอมตะ ฯลฯ ระหว่างปี 2548-2550
(4) มาตรการจูงใจทางภาษี โดยผู้ประกอบการสามารถนำผลประหยัดมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้
การสนับสนุนจากหน่วยงานอื่น :
กระทรวงการคลัง : มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งกระทรวงการคลังจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
2.2 ภาคราชการ : เป็นแบบอย่างประหยัดพลังงาน
1) รถเบนซินราชการและรัฐวิสาหกิจต้องใช้ก๊าซโซฮอล์
ปัจจุบันรถเบนซินราชการที่สามารถใช้ก๊าซโซฮอล์ 95 ได้มีประมาณ 4,800 คัน ใช้ก๊าซโซฮอล์แล้ว 305 คัน หรือประมาณร้อยละ 6 เห็นควรเร่งรัดและกวดขันให้ทั้งรถยนต์เบนซินราชการส่วนที่เหลือและรัฐวิสาหกิจทั้งหมดในพื้นที่ที่มีก๊าซโซฮอล์จำหน่ายให้ใช้ก๊าซโซฮอล์แทน เพื่อปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2546 อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะผู้บริหาร
2) รถราชการและรัฐวิสาหกิจใช้ NGV
ปตท. เร่งรัดติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้กับรถราชการในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 1,000 คัน ในปี 2548 (ส่วนราชการแจ้งความจำนงมายังกระทรวงพลังงาน 2,816 คัน) โดยกระทรวงพลังงานประสานกับกรมบัญชีกลาง กำหนดแนวทางปฏิบัติการผ่อนจ่ายค่าติดตั้งคืนให้กับ ปตท.ภายหลัง (บวกในราคาขายปลีก NGV อีกกิโลกรัมละ 5 บาท เป็น 9.53 + 5.00= 14.53 บาท)
3) การลดใช้ไฟฟ้าในหน่วยงานภาครัฐ : โดยเฉพาะส่วนภูมิภาค
- หน่วยงานภาครัฐในกรุงเทพฯ มีการใช้ไฟฟ้าลดลงอย่างต่อเนื่อง (ร้อยละ 0.4)
- หน่วยงานภาครัฐในส่วนภูมิภาค มีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จึงเห็นควรรณรงค์ให้หน่วยงานในส่วนภูมิภาคลดการใช้ไฟฟ้าอย่างจริงจัง
2.3 เร่งรณรงค์ประหยัดพลังงานในภาคประชาชน : ปลุกฝังจิตสำนึก
(1) ประชาชนทั่วไป : การรณรงค์ปลุกจิตสำนึกในการประหยัดไฟฟ้าในบ้านและที่ทำงาน การใช้ระบบขนส่งมวลชน การล้างเครื่องปรับอากาศ การปรับแต่งเครื่องยนต์ (Tune Up) การใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน โดยเฉพาะการปรับแต่งเครื่องยนต์ให้กับรถ ขสมก. รถบรรทุกและรถร่วม บขส.ทั่วประเทศเพื่อเป็นตัวอย่าง จะลดการใช้น้ำมันดีเซลได้ถึงร้อยละ 5 และในปี 2548 มีเป้าหมายปรับแต่งเครื่องยนต์ให้กับรถ ขสมก. 3,000 คัน และรถบรรทุกและรถร่วม บขส. ทั่วประเทศ 5,000 คัน
(2) เด็กและเยาวชน : ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ
- ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนให้เห็นคุณค่าของการใช้พลังงาน
- จัดหลักสูตรอบรมความรู้ด้านพลังงานให้แก่ครูและอาจารย์ด้านวิทยาศาสตร์
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 19 เมษายน 2548--จบ--
ตามที่รัฐบาลได้ประกาศปรับโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นจากลิตรละ 15.19 บาท เป็น 18.19 บาท เพื่อลดภาระการชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ แต่ขณะเดียวกันราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติอย่างต่อเนื่อง (ราคาน้ำมันดูไบได้สูงขึ้นกว่าบาร์เรลละ 50 เหรียญสหรัฐ ในช่วงต้นเดือนเมษายน 2548) ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคการขนส่งและภาคอุตสาหกรรมเป็นสาขาที่ใช้พลังงานมากที่สุดรวมกันประมาณร้อยละ 73 (ภาคขนส่งร้อยละ 37 และภาคอุตสาหกรรมร้อยละ 36) หรือคิดเป็นร้อยละ 10 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP ปี 2548 ประมาณ 7.2 ล้านบาท)
แนวทางดำเนินงาน
1. เร่งรัดใช้เชื้อเพลิงอื่นแทนน้ำมัน
1.1. การใช้ NGV แทนน้ำมัน : กระทรวงพลังงาน และ ปตท. มีมาตรการสนับสนุนทางการเงิน (Financial Package) แก่ผู้ติดตั้งและจัดซื้อรถ NGV พร้อมแล้ว
1) ทดแทนน้ำมันเบนซิน ร้อยละ 10 ประมาณ 2 ล้านลิตร/วัน เป้าหมายรถเบนซิน 120,000 คัน ในปี 2551 : ปัจจุบันติดตั้งรถแท็กซี่และรถส่วนบุคคลแล้ว 4,650 คัน โดยมีเป้าหมาย : ปี 2551 เน้นรถใหม่จาก โรงงาน จำนวน 71,000 คัน ประกอบด้วยรถแท็กซี่ 34,000 คัน รถส่วนบุคคล/รถราชการ 37,000 คัน รถเก่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV จำนวน 49,000 คัน โดยเน้นรถแท็กซี่/สามล้อเครื่อง 37,000 คัน รถส่วนบุคคล 8,000 คัน และรถราชการ 4,000 คัน
2) ทดแทนน้ำมันดีเซล ร้อยละ 10 ประมาณ 5 ล้านลิตร/วัน เป้าหมายรถดีเซล 66,000 คัน ในปี 2553 : ปัจจุบันติดตั้งรถโดยสารและรถบรรทุกแล้ว 105 คัน โดยมีเป้าหมาย : ปี 2553 เน้นรถใหม่ จำนวน 42,000 คัน ประกอบด้วย รถโดยสาร 3,000 คัน รถบรรทุก 14,000 คัน และรถปิคอัพ 25,000 คัน รถเก่า จำนวน 24,000 คัน โดยเน้นรถโดยสาร รถขยะ กทม.รวม 6,000 คัน และรถบรรทุก 18,000 คัน
3) การขยายสถานีบริการ NGV : 138 แห่ง ในปี 2543 แบ่งเป็น กทม. และจังหวัดเส้นทางขนส่งหลัก ปัจจุบันมี 28 แห่ง ขยายอีก 66 แห่ง ใน 16 จังหวัด รวมเป็น 94 แห่ง ในปี 2549 ต่างจังหวัด ขยายเพิ่มอีก 44 แห่งในปี 2553 กระจายอยู่ใน 13 จังหวัดทั่วประเทศ
การสนับสนุนจากหน่วยงานอื่น :
1) กระทรวงการคลัง : มาตรการภาษีศุลกากรและสรรพสามิต สำหรับอุปกรณ์และรถที่ใช้ NGV และมาตรการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับประชาชนที่ใช้ NGV
2) กระทรวงอุตสาหกรรม : สนับสนุนผู้ผลิตให้ใช้เครื่อง NGV เริ่มขายกลางปี 2548 ได้แก่ บริษัท GM และบริษัทสามมิตรมอเตอร์เมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด
3) กระทรวงคมนาคม : กำหนดมาตรการจูงใจแท็กซี่ รถบรรทุก และรถสามล้อเครื่องที่ใช้ NGV
1.2 การใช้ก๊าซโซฮอล์แทนเบนซิน
เป้าหมาย : ยกเลิกเบนซิน 95 ในวันที่ 1 มกราคม 2550
ภายในปี 2548
1) รถยนต์เบนซินราชการและรัฐวิสาหกิจทุกคันในจังหวัดที่มีก๊าซโซฮอล์จำหน่ายต้องใช้ก๊าซโซฮอล์
2) เร่งการใช้ก๊าซโซฮอล์ 95 เพิ่มขึ้นร้อยละ 50 ของการใช้น้ำมันเบนซิน95 ทั้งประเทศ หรือประมาณ 4 ล้านลิตรต่อวัน (ปัจจุบันการใช้เฉลี่ย 900,000 ลิตรต่อวัน)
3) เพิ่มผู้ค้าน้ำมันจาก 4 ราย ได้แก่ ปตท. บางจาก เชลล์ และทีพีไอ เป็น 7 ราย ได้แก่ คาลเท็กซ์ เจ็ท และ Q8 (คิดเป็นร้อยละ 80 ของส่วนแบ่งตลาด) และเพิ่มจำนวนสถานีบริการก๊าซโซฮอล์จาก 730 แห่ง เป็น 4,000 แห่งทั่วประเทศ
การสนับสนุนจากหน่วยงานอื่น : สถานีบริการน้ำมันที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ราชการทั้งหมดจำนวน 413 แห่ง เปลี่ยนมาขายเฉพาะก๊าซโซฮอล์ 95 อย่างเดียวภายใน 2 เดือน และขอให้แจ้งเปลี่ยนมายัง ปตท. และ บางจาก ภายใน 15 วัน
1.3 การส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล
กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาแผนปฏิบัติการพัฒนาและส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลจากปาล์มในต้นเดือนพฤษภาคม 2549
2. มาตรการเร่งรัดประหยัดพลังงาน
2.1 ภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ : เป้าหมายลดใช้พลังงานร้อยละ 10
1) โครงการต่อเนื่อง (ปี 2546-2547)
(1) ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม กระบวนการผลิต และการบริหารจัดการพลังงาน เพื่อลดการใช้พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมและกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ : โดยกระทรวงพลังงานร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯ หอการค้าไทย กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ ห้างสรรพสินค้า การนิคมอุตสาหกรรม 700 แห่ง วัดผลประหยัดพลังงานลงได้ร้อยละ 10 ต่อรายต่อปี
(2) มาตรการจูงใจสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำผ่านธนาคารพาณิชย์ วงเงิน 2,000 ล้านบาท : จัดสรรแล้ว 54 โครงการ วงเงิน 1,200 ล้านบาท และเอกชนร่วมสมทบอีก 600 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรอุปกรณ์ประหยัดพลังงานและอื่น ๆ ซึ่งวัดผลประหยัดได้ร้อยละ 10-30 ต่อรายต่อปี
(3) BOI ได้มีประกาศส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมที่ใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน และผู้ประกอบการจัดการพลังงาน (ESCO) : ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และภาษีศุลกากร
2) เป้าหมายรวม : ภายในปี 2552 ลดการใช้พลังงานภาคอุตสาหกรรมโดยรวมลงร้อยละ 10
เป้าหมายปี 2548
(1) กลไกประสานความร่วมมือภาครัฐและเอกชนด้านพลังงาน
- จัดตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐบาลและเอกชนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (กรอพ.) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ผู้แทนหน่วยราชการและองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ และมีการจัดตั้งสำนักงานเลขานุการฯ ภายในกระทรวงพลังงาน
- จัดตั้งศูนย์ร่วมภาครัฐและเอกชนให้คำปรึกษาด้านการประหยัดพลังงาน : โดยความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรม หอการค้า สมาคมธนาคาร และกลุ่มธุรกิจเอกชน มีวัตถุประสงค์ให้คำปรึกษาด้านพลังงานแก่สถานประกอบการและโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ SMEs ที่มีเป็นจำนวนมาก
(2) ขยายผลจากข้อ 1.2.1 (1) : ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกระบวนการผลิต และการบริหารจัดการพลังงาน โดยอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ถ่ายทอดเทคโนโลยีและประสบการณ์ด้านการประหยัดพลังงานให้กับ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน เน้น 5 กลุ่ม ได้แก่ เหล็ก โรงแรม สิ่งทอ อาหาร และพลาสติก
(3) เร่งโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าและน้ำเย็น (Gas District Cooling and Cogeneration) เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (ประหยัดได้ร้อยละ 30-50) ในโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารขนาดใหญ่ 5 แห่งตามแนวท่อก๊าซ เช่น ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ศูนย์การแพทย์ศิริราช ฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต ฯลฯ ระหว่างปี 2548-2550 รวมมูลค่าประหยัดพลังงานเกือบ 170 ล้านบาทต่อปี และเริ่มดำเนินการกับนิคมอุตสาหกรรม 9 แห่ง เช่น นิคมบางพลี นิคมอมตะ ฯลฯ ระหว่างปี 2548-2550
(4) มาตรการจูงใจทางภาษี โดยผู้ประกอบการสามารถนำผลประหยัดมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้
การสนับสนุนจากหน่วยงานอื่น :
กระทรวงการคลัง : มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งกระทรวงการคลังจะเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
2.2 ภาคราชการ : เป็นแบบอย่างประหยัดพลังงาน
1) รถเบนซินราชการและรัฐวิสาหกิจต้องใช้ก๊าซโซฮอล์
ปัจจุบันรถเบนซินราชการที่สามารถใช้ก๊าซโซฮอล์ 95 ได้มีประมาณ 4,800 คัน ใช้ก๊าซโซฮอล์แล้ว 305 คัน หรือประมาณร้อยละ 6 เห็นควรเร่งรัดและกวดขันให้ทั้งรถยนต์เบนซินราชการส่วนที่เหลือและรัฐวิสาหกิจทั้งหมดในพื้นที่ที่มีก๊าซโซฮอล์จำหน่ายให้ใช้ก๊าซโซฮอล์แทน เพื่อปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2546 อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะผู้บริหาร
2) รถราชการและรัฐวิสาหกิจใช้ NGV
ปตท. เร่งรัดติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้กับรถราชการในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 1,000 คัน ในปี 2548 (ส่วนราชการแจ้งความจำนงมายังกระทรวงพลังงาน 2,816 คัน) โดยกระทรวงพลังงานประสานกับกรมบัญชีกลาง กำหนดแนวทางปฏิบัติการผ่อนจ่ายค่าติดตั้งคืนให้กับ ปตท.ภายหลัง (บวกในราคาขายปลีก NGV อีกกิโลกรัมละ 5 บาท เป็น 9.53 + 5.00= 14.53 บาท)
3) การลดใช้ไฟฟ้าในหน่วยงานภาครัฐ : โดยเฉพาะส่วนภูมิภาค
- หน่วยงานภาครัฐในกรุงเทพฯ มีการใช้ไฟฟ้าลดลงอย่างต่อเนื่อง (ร้อยละ 0.4)
- หน่วยงานภาครัฐในส่วนภูมิภาค มีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จึงเห็นควรรณรงค์ให้หน่วยงานในส่วนภูมิภาคลดการใช้ไฟฟ้าอย่างจริงจัง
2.3 เร่งรณรงค์ประหยัดพลังงานในภาคประชาชน : ปลุกฝังจิตสำนึก
(1) ประชาชนทั่วไป : การรณรงค์ปลุกจิตสำนึกในการประหยัดไฟฟ้าในบ้านและที่ทำงาน การใช้ระบบขนส่งมวลชน การล้างเครื่องปรับอากาศ การปรับแต่งเครื่องยนต์ (Tune Up) การใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน โดยเฉพาะการปรับแต่งเครื่องยนต์ให้กับรถ ขสมก. รถบรรทุกและรถร่วม บขส.ทั่วประเทศเพื่อเป็นตัวอย่าง จะลดการใช้น้ำมันดีเซลได้ถึงร้อยละ 5 และในปี 2548 มีเป้าหมายปรับแต่งเครื่องยนต์ให้กับรถ ขสมก. 3,000 คัน และรถบรรทุกและรถร่วม บขส. ทั่วประเทศ 5,000 คัน
(2) เด็กและเยาวชน : ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ
- ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนให้เห็นคุณค่าของการใช้พลังงาน
- จัดหลักสูตรอบรมความรู้ด้านพลังงานให้แก่ครูและอาจารย์ด้านวิทยาศาสตร์
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 19 เมษายน 2548--จบ--