1. เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการระบบส่งไฟฟ้าเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ระยะที่ 3 ในวงเงินลงทุน รวม 7,250 ล้านบาท
2. อนุมัติการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนประจำปี 2561 สำหรับโครงการดังกล่าว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 153.0 ล้านบาท
ทั้งนี้ ให้ พน. และ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (มติเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2560) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย และให้ พน. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้า ระบบส่งไฟฟ้า และระบบจำหน่ายไฟฟ้าในภาพรวม ที่สอดคล้องกับหลักการในการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ฉบับใหม่ โดยให้ดำเนินการจัดทำแผนฯ ดังกล่าวให้แล้วเสร็จก่อนการริเริ่มลงทุนโครงการลงทุนด้านพลังงานไฟฟ้าในระยะต่อไป
สำหรับการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ในอนาคต หรือการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในระยะต่อไป ให้ พน. คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำปัจจัยด้านความสามารถของระบบส่งไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องของ กฟผ. ที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ และต้นทุนในการพัฒนาหรือก่อสร้างระบบส่งไฟฟ้าใหม่ที่มารองรับหรือเชื่อมต่อโครงการโรงไฟฟ้ามาประกอบการพิจารณาริเริ่มโครงการลงทุนหรือประกาศเชิญชวนการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตเอกชนรายใหม่ด้วย เพื่อป้องกันมิให้เกิดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนและผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าในอนาคต
พน. รายงานว่า สืบเนื่องจากการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP ที่ กฟผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ข้างต้น กฟผ. จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินโครงการระบบส่งไฟฟ้าเพื่อรองรับการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ระยะที่ 3 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้การเชื่อมโยงโครงการโรงไฟฟ้าผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ระยะที่ 3 ปริมาณ 5,000 เมกะวัตต์ เข้ากับระบบไฟฟ้าของ กฟผ. มีความมั่นคงเชื่อถือได้ เป็นไปตามมาตรฐานและข้อกำหนดของ กฟผ.
1) สามารถรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าของ IPP รอบประกาศรับซื้อปี พ.ศ. 2555 ตามนโยบายของรัฐบาลในการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP
2) สนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในภาคตะวันออกและภาคกลางโดยพลังงานไฟฟ้าในส่วนที่เหลือจะถูกส่งผ่านระบบส่ง 500 เควี เข้าสู่เขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งเป็นเขตที่มีความต้องการไฟฟ้าสูงและเป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ
3) เพิ่มความคล่องตัวในด้านปฏิบัติการควบคุมและการจ่ายไฟฟ้าในภาคตะวันออก รวมทั้งรองรับกรณีที่ต้องปลดโรงไฟฟ้าเข้า/ออกในการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบและโรงไฟฟ้าที่หยุดซ่อมบำรุงรักษา
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 5 มิถุนายน 2561--