1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และ ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
2. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
1. ยกเลิกพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
2. กำหนดบทนิยามคำว่า “นายจ้าง” “ลูกจ้าง” “สภาพการจ้าง” “ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง” “ปิดงาน” “นัดหยุดงาน” “สมาคมนายจ้าง” “สหภาพแรงงาน” “สหพันธ์นายจ้าง” “สหพันธ์แรงงาน” เป็นต้น
3. หมวด 1 ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง กำหนดให้สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 20 คนขึ้นไป ต้องจัดให้มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โดยให้ทำเป็นหนังสือกำหนดให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างประกอบด้วยเงื่อนไขการจ้างหรือการทำงาน ค่าจ้าง การเกษียณอายุหรือครบสัญญาจ้าง เป็นต้น ให้นายจ้างนำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมาจดทะเบียนต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้ตกลงกัน
4. หมวด 2 วิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน กำหนดให้เมื่อมีข้อพิพาทแรงงานเกิดขึ้น ฝ่ายแจ้งข้อเรียกร้องต้องแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานทราบภายใน 48 ชั่วโมง นับแต่พ้นกำหนดเวลาหรือนับแต่เวลาที่ตกลงกันไม่ได้ กรณีข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ ทั้งสองฝ่ายอาจตกลงกันให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานดำเนินการไกล่เกลี่ยต่อไป หรือนำข้อพิพาทนั้นไปเจรจาตกลงกันเอง หรือตั้งผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน หรือปิดงานหรือนัดหยุดงานโดยไม่ขัดต่อกฎหมายก็ได้ นอกจากนี้ได้กำหนดให้กิจการบางประเภทเมื่อมีข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้ ต้องส่งข้อพิพาทแรงงานให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ชี้ขาด อาทิ กิจการไฟฟ้า กิจการประปา กิจการอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง รวมทั้งกิจการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเห็นว่าข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกันไม่ได้นั้นอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน
5. หมวด 3 การปิดงานและการนัดหยุดงาน กำหนดให้นายจ้างอาจปิดงาน หรือลูกจ้างอาจนัดหยุดงานได้ แต่จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้
6. หมวด 4 คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ กำหนดองค์ประกอบ วิธีการได้มา วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ โดยให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการวินิจฉัยข้อพิพาทแรงงาน การชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน เสนอความเห็นเกี่ยวกับการเรียกร้อง การเจรจา การระงับข้อพิพาทแรงงาน การนัดหยุดงานและการปิดงานตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย
7. หมวด 5 คณะกรรมการส่งเสริมการแรงงานสัมพันธ์ กำหนดให้มีคณะกรรมการส่งเสริมการแรงงานสัมพันธ์เพิ่มเติมขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เสนอนโยบายและยุทธศาสตร์ในการส่งเสริม ป้องกันและแก้ไขปัญหาด้านแรงงานสัมพันธ์ต่อรัฐมนตรี และเสนอความเห็นในการปรับปรุงกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ต่อคณะรัฐมนตรี รวมทั้งออกกฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศ ต่อรัฐมนตรี
8. หมวด 6 คณะกรรมการลูกจ้าง กำหนดให้มีคณะกรรมการลูกจ้างเพื่อทำหน้าที่ประชุมหารือกับนายจ้างเพื่อจัดสวัสดิการแก่ลูกจ้าง กำหนดข้อบังคับในการทำงานพิจารณาคำร้องทุกข์ของลูกจ้าง ตลอดจนหาทางปรองดองและระงับข้อขัดแย้งในสถานประกอบกิจการ
9. หมวด 7 สมาคมนายจ้าง หมวด 8 สหภาพแรงงาน และหมวด 9 สหพันธ์นายจ้างและสหพันธ์แรงงาน กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการในการจัดตั้ง การเข้าเป็นสมาชิก และการดำเนินกิจการของสมาคมนายจ้าง สหภาพแรงงาน สหพันธ์นายจ้าง สหพันธ์แรงงาน สภาองค์การนายจ้างและสภาองค์การลูกจ้าง โดยสมาคมนายจ้าง สหภาพแรงงาน สหพันธ์นายจ้าง สหพันธ์แรงงานมีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งเพื่อแสวงหาและคุ้มครองผลประโยชน์เกี่ยวกับสภาพการจ้างให้แก่สมาชิกและส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง
10. หมวด 10 การกระทำอันไม่เป็นธรรม กรณีที่ถือว่าเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ห้ามนายจ้างกระทำต่อลูกจ้าง เช่น การเลิกจ้างหรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นผลให้ลูกจ้างไม่สามารถทนทำงานอยู่ต่อไปได้เพราะเหตุที่ลูกจ้างกำลังร่วมกันจัดตั้งสหภาพแรงงาน กำลังจะเข้าเป็นสมาชิกหรือเป็นกรรมการของสหภาพแรงงาน เป็นต้น
11. หมวด 11 บทกำหนดโทษ กำหนดโทษทางอาญาต่อผู้ที่กระทำฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้ไม่ว่าจะเป็นนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้แทนนายจ้าง ผู้แทนลูกจ้าง ที่ปรึกษานายจ้าง ที่ปรึกษาลูกจ้าง ผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน สมาคมนายจ้างสหภาพแรงงาน หรือผู้ชำระบัญชีก็ตาม และให้อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้สำหรับความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียว
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562--