คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเป็นไปตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป โดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย
1. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) แจ้งว่า ด้วยปรากฏข้อเท็จจริงพบความผิดปกติในการจัดเก็บเงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติ ซึ่งพบว่า กระบวนการจัดเก็บและการใช้จ่ายเงินรายได้ของอุทยานแห่งชาติมีช่องทางและความเสี่ยงในการทุจริตให้เจ้าหน้าที่ของรัฐแสวงหาประโยชน์ได้โดยมิชอบ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติจึงได้ศึกษาสาเหตุของปัญหาดังกล่าวและเสนอข้อเสนอแนะมาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ โดยข้อเสนอแนะมาตรการดังกล่าวแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
(1) ด้านการจัดเก็บเงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติ
(2) ด้านการพิจารณาและอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติ และ
(3) ด้านการบริหารจัดการ
2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) กระทรวงคมนาคม (คค.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) สำนักงบประมาณ (สงป.) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาแล้วเห็นชอบด้วย
ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นควรเสนอมาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติต่อคณะรัฐมนตรีตามความมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ดังนี้
- ให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ ดำเนินการ ดังนี้
1. จัดทำและพัฒนาระบบการจัดเก็บเงินค่าบริการและระบบการจองล่วงหน้าสำหรับบุคคลที่เข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น การใช้บัตรเข้ารับบริการอิเล็กทรอนิกส์ (E - Ticket) การซื้อบัตรล่วงหน้าแบบออนไลน์ เป็นต้น และจัดตั้งจุดจำหน่ายบัตรค่าบริการที่เชื่อมโยงการบริหารจัดการกับหน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชน เช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวประจำจังหวัด เคาน์เตอร์บริการ (Service Counter) เป็นต้น พร้อมทั้งให้จัดทำและพัฒนาระบบการตรวจสอบและจัดเก็บค่าบริการด้วย
2. จัดทำระบบการรายงานผลจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้า – ออกอุทยานแห่งชาติ แบบทันทีและตลอดเวลา (Real Time) ผ่านช่องทางการประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ เป็นต้น
3. ตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงเงินรายได้ของอุทยานแห่งชาติแต่ละแห่งอย่างเข้มงวด หากพบการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติให้หัวหน้าอุทยานแห่งชาติดำเนินการตรวจสอบเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงพร้อมรายงานต่อคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ และปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมเผยแพร่ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้สาธารณชนรับทราบ
4. ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการติดตามและควบคุมการจัดเก็บเงินรายได้โดยให้หน่วยงานภายนอกมีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภาคประชาชน เป็นต้น และควรให้คณะกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชาติมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการจัดเก็บเงินรายได้ด้วย
5. จัดทำข้อมูลขีดความสามารถในการรองรับได้ของแต่ละอุทยานแห่งชาติ (Carrying Capacity) ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน แล้วนำข้อมูลมาจัดทำแผนการบริหารจัดการจำนวนนักท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติ เพื่อให้มีการจัดการแหล่งท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล และคำนึงถึงผลกระทบโดยให้มีการดำเนินการที่เร่งด่วน โดยเฉพาะอุทยานแห่งชาติที่มีความสำคัญและมีความเสี่ยงที่ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะถูกทำลาย ได้แก่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา และอุทยานแห่งชาติอื่น ๆ
6. ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการนำแผนการบริหารจัดการนักท่องเที่ยวของอุทยานแห่งชาติไปปฏิบัติ และร่วมมือในการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวทราบ
7. ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำและพัฒนาระบบติดตามตำแหน่งเรือ (Vessel Monitoring System : VMS) และประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีท่าเทียบเรือเพื่อประโยชน์ในการควบคุมจำนวนเรือท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในเขตอุทยานแห่งชาติ
- ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการส่งเสริมและประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวรอง และอุทยานแห่งชาติทางเลือกให้กับผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยวทราบ เพื่อให้เกิดการกระจายปริมาณนักท่องเที่ยวไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ
- ให้ ทส. กก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการประชาสัมพันธ์เชิงรุกเพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ประกอบการ นักท่องเที่ยว และประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการตรวจสอบการจัดเก็บเงินรายได้ในเขตอุทยานแห่งชาติ
- ประเด็นเกี่ยวกับคณะกรรมการพิจารณาการใช้จ่ายเงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติ ให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ ดำเนินการ ดังนี้
1. ปรับปรุงระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการเก็บรักษา การใช้จ่ายเงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติ พ.ศ 2560 โดยให้องค์ประกอบของคณะกรรมการพิจารณาการใช้จ่ายเงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติมีตัวแทนจากหน่วยงานภายนอกและผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการท่องเที่ยวและนันทนาการ ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม
2. แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจติดตามและประเมินผลแผนงาน/โครงการและกิจกรรมที่อนุมัติจากเงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติ และให้รายงานผลการตรวจสอบประจำปีและรายงานการใช้จ่ายเงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติต่อคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติพร้อมทั้งเปิดเผยรายงานดังกล่าวผ่านช่องทางการประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ เป็นต้น
- ประเด็นเกี่ยวกับการพิจารณาการใช้จ่ายเงินรายได้ ให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ ดำเนินการ ดังนี้
1. คณะกรรมการพิจารณาการใช้จ่ายเงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติควรมีการพิจารณาแผนงาน/โครงการขอใช้เงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติอย่างรอบคอบและพิจารณาถึงความซ้ำซ้อนกับงบประมาณที่ตั้งไว้ในหน่วยงานภายในที่มีภารกิจเกี่ยวข้องอยู่แล้ว
2. การพิจารณาแผนงาน/โครงการเพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติควรผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการพิจารณาการใช้จ่ายเงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติก่อน ยกเว้นกรณีจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น
3. เห็นควรกำหนดกรอบการใช้ดุลพินิจของอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ตามระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการเก็บ การรักษา การใช้จ่ายเงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2560 ข้อ 13 วรรคสอง กรณีการอนุมัติโดยกรณีจำเป็นเร่งด่วนให้มีหลักเกณฑ์และแนวทางที่มีความชัดเจนว่าควรใช้ในเรื่องใดบ้าง รวมทั้งควรกำหนดวงเงินงบประมาณและระยะเวลาในการใช้
4. แผนงาน/โครงการขอใช้เงินรายได้เพื่อบำรุงรักษาอุทยานแห่งชาติจากอุทยานแห่งชาติ ทุกโครงการควรผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชาติและให้คณะกรรมการดังกล่าวมีส่วนร่วมในการตรวจติดตามแผนงาน/โครงการและกิจกรรมด้วย
- การบริหารงานบุคคล
1. ให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ กำหนดระบบการสรรหาและหลักเกณฑ์ในการดำรงตำแหน่งหัวหน้าอุทยานแห่งชาติด้วยความโปร่งใส เป็นมาตรฐาน และสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล เช่น การจัดทำเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพ (Career Path) เป็นต้น รวมทั้งมีระบบติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานของหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ
2. ให้ ทส. หารือร่วมกับกระทรวงการคลัง (กค.) จัดให้มี “ระเบียบที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับบำเหน็จความชอบสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในการป้องกันรักษาพื้นที่ป่าไม้” โดยให้ระเบียบดังกล่าวมุ่งคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติในภาคสนามทุกระดับ ได้แก่ ข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงานพิทักษ์ป่า ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว และพนักงานจ้างเหมา ประกอบด้วย (1) บำเหน็จความชอบที่เป็นตัวเงิน ได้แก่ เงินค่าตอบแทนพิเศษ การประกันชีวิต เป็นต้น และ (2) บำเหน็จความชอบที่มิใช่ตัวเงิน ได้แก่ การยกย่องเชิดชูเกียรติ การสงเคราะห์และช่วยเหลือทายาท เป็นต้น เพื่อเป็นการสร้างขวัญ กำลังใจ และแรงจูงใจให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ และลดโอกาสในการทุจริตดำเนินการ ดังนี้
- การส่งเสริมการมีส่วนร่วม ให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ ดำเนินการ ดังนี้
1. ให้ความสำคัญกับคณะกรรมการที่ปรึกษาอุทยานแห่งชาติ โดยเปิดโอกาสให้คณะกรรมการฯ มีส่วนร่วมในการเสนอแนะแนวทางหรือข้อคิดเห็นต่าง ๆ ในการพัฒนาและบริหารอุทยานแห่งชาติ เช่น การทำแผนแม่บทการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติ การให้ความเห็นชอบแผนงาน โครงการต่าง ๆ ของอุทยานแห่งชาติ เป็นต้น
2. ให้มีการจัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการอุทยานแห่งชาติในทุกอุทยานแห่งชาติ โดยกระบวนการจัดทำแผนแม่บทดังกล่าวต้องใช้การมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ เช่น หน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ ภาคประชาชน ภาคเอกชน เป็นต้น เพื่อให้แผนแม่บทมีความครอบคลุมภารกิจสำคัญ มีทิศทาง เป้าประสงค์และยุทธศาสตร์ตลอดจนปัจจัยหลักแห่งความสำเร็จที่ชัดเจนและอุทยานแห่งชาติสามารถใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และใช้เป็นกรอบในการติดตามประเมินผลได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 7 พฤษภาคม 2562--