คณะรัฐมนตรีรับทราบมาตรการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภค เมื่อมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำและราคาน้ำมันดีเซลลอยตัว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
ตามที่มีการพิจารณาให้ปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำสูงขึ้น ทั้งใน กทม. ปริมณฑล และต่างจังหวัด วันละ 4 — 5 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 รวมทั้งอาจจะปล่อยราคาน้ำมันดีเซลลอยตัวตามกลไกตลาดในเดือนเมษายน 2548 ซึ่งอาจมีผลทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น นั้น กระทรวงพาณิชย์ได้ศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบเบื้องต้นของปัจจัยดังกล่าวที่มีต่อราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ 67 รายการ และได้มีมาตรการเตรียมรองรับไว้ สรุปดังนี้
1. ผลกระทบที่มีต่อต้นทุนและราคาสินค้า
1.1 การปรับค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น
โครงสร้างการผลิตสินค้าส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นสินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่ใช้เครื่องจักร (Capital Intensive) เป็นหลัก โดยมีค่าแรงงานเป็นสัดส่วนในต้นทุนภาพรวมไม่เกินร้อยละ 10 จำนวน 62 สินค้า สำหรับอีก 5 สินค้า มีสัดส่วนค่าแรงงานในต้นทุนรวมในอัตราร้อยละ 11.68-24.98 โดย (1) สินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่ใช้ทุนหรือเครื่องจักรเป็นหลัก (Capital Intensive) จะได้รับผลกระทบในอัตราไม่เกินร้อยละ 0.2696 และ (2) สินค้าที่มีกระบวนการผลิตแบบมุ่งใช้แรงงานเป็นหลัก (Labor Intensive) จะได้รับผลกระทบในอัตราไม่เกินร้อยละ 0.4897
อย่างไรก็ตาม หากแรงงานดังกล่าวมีการเพิ่มผลิตภาพการผลิต (Productivity) สูงขึ้น รวมทั้งการขยายปริมาณการผลิต เนื่องจากความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้น ก็สามารถชดเชยต้นทุนในส่วนที่เพิ่มขึ้นจากค่าแรงงานได้
1.2 การปรับราคาน้ำมันดีเซล หากมีการปรับราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มสูงขึ้นในครั้งเดียว จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต และต้นทุนการขนส่งสินค้าในอัตราประมาณร้อยละ 0.0009-4.5735 ทั้งนี้ หากมีการทยอยปรับสูงขึ้นเป็นระยะแบบขั้นบันได และมีการส่งเสริมและพัฒนาระบบ Logistics อย่างจริงจัง จะมีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการมีการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ (Cost Efficiency) และสามารถลดแรงกดดันจากผลกระทบของราคาน้ำมันดีเซลได้ในระดับหนึ่ง
2. แนวโน้มสถานการณ์ราคาสินค้า
คาดว่ากลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มจะปรับราคาสูงขึ้นในปี 2548 ได้แก่ (1) กลุ่มสินค้าที่ใช้แรงงานเป็นหลัก (Labor Intensive) และมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านแรงงานในต้นทุนสินค้าค่อนข้างสูง เช่น เครื่องแบบนักเรียน รองเท้านักเรียน เส้นหมี่อบแห้ง และปลากระป๋อง เป็นต้น (2) กลุ่มสินค้าที่มีต้นทุนค่าขนส่งต่อหน่วยสูง เช่น ปูนซีเมนต์ และเม็ดพลาสติก เป็นต้น ( 3) กลุ่มสินค้าที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งในรูปของวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป เช่น เหล็ก สังกะสี สายไฟ และปุ๋ยเคมี เป็นต้น
3. มาตรการดูแลราคาสินค้า
3.1 มาตรการกฎหมาย เริ่มตั้งแต่ขั้นเบาสุด ได้แก่ การเข้มงวดในการปิดป้ายแสดงราคาสินค้า มาตรการที่รุนแรงเพิ่มขึ้น เช่น การให้แจ้งปริมาณสถานที่เก็บ การควบคุมการขนย้าย จนกระทั่งการใช้มาตรการขั้นรุนแรงสูงสุด เช่น การกำหนดราคาจำหน่าย การใช้มาตรการบังคับซื้อหรือบังคับขาย ในกรณีราคาสินค้าสูงขึ้นมาก หรือเกิดการขาดแคลน สินค้า
3.2 มาตรการตรวจสอบ ได้แก่ การตรวจสอบพฤติกรรมการจำหน่าย การตรวจสอบเครื่องชั่งตวงวัด และสินค้าหีบห่อ การตรวจสอบพิเศษโดยหน่วยเคลื่อนที่เร็ว (Mobile Unit) เป็นต้น
3.3 มาตรการบริหารจัดการสินค้า โดยใช้ศูนย์บริหารจัดการแก้ไขปัญหาราคาสินค้า (Operation Room) ดำเนินการติดตามแก้ไขปัญหาราคาอย่างเป็นระบบ การวิเคราะห์ต้นทุนแบบ Economic Approach การจัดระบบเตือนภัยสินค้า รวมทั้งการมีระบบรับรองมาตรฐาน และการประกันคุณภาพสินค้าและบริการ เป็นต้น
3.4 มาตรการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยการรับเรื่องร้องเรียนผ่านสายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และการจัดหน่วยรับเรื่องร้องเรียนเคลื่อนที่ (Mobile Unit) ไปยังแหล่งชุมชนต่าง ๆ รวมทั้งการให้มีเงินสินบนนำจับ เป็นต้น
3.5 มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพกลไกตลาด ได้แก่ การจัดโครงการธงฟ้าราคาประหยัดจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด เพื่อให้กลไกตลาดทำงานดีขึ้น รวมทั้งการดูแลอาหารสำเร็จรูปที่มีจำหน่ายให้ประชาชนเป็นส่วนใหญ่ในแหล่งชุมชน ตลาดสด และห้างสรรพสินค้าให้จำหน่ายในราคาเดิม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 4 มกราคม 2548--จบ--
ตามที่มีการพิจารณาให้ปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำสูงขึ้น ทั้งใน กทม. ปริมณฑล และต่างจังหวัด วันละ 4 — 5 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 รวมทั้งอาจจะปล่อยราคาน้ำมันดีเซลลอยตัวตามกลไกตลาดในเดือนเมษายน 2548 ซึ่งอาจมีผลทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น นั้น กระทรวงพาณิชย์ได้ศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบเบื้องต้นของปัจจัยดังกล่าวที่มีต่อราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ 67 รายการ และได้มีมาตรการเตรียมรองรับไว้ สรุปดังนี้
1. ผลกระทบที่มีต่อต้นทุนและราคาสินค้า
1.1 การปรับค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น
โครงสร้างการผลิตสินค้าส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นสินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่ใช้เครื่องจักร (Capital Intensive) เป็นหลัก โดยมีค่าแรงงานเป็นสัดส่วนในต้นทุนภาพรวมไม่เกินร้อยละ 10 จำนวน 62 สินค้า สำหรับอีก 5 สินค้า มีสัดส่วนค่าแรงงานในต้นทุนรวมในอัตราร้อยละ 11.68-24.98 โดย (1) สินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่ใช้ทุนหรือเครื่องจักรเป็นหลัก (Capital Intensive) จะได้รับผลกระทบในอัตราไม่เกินร้อยละ 0.2696 และ (2) สินค้าที่มีกระบวนการผลิตแบบมุ่งใช้แรงงานเป็นหลัก (Labor Intensive) จะได้รับผลกระทบในอัตราไม่เกินร้อยละ 0.4897
อย่างไรก็ตาม หากแรงงานดังกล่าวมีการเพิ่มผลิตภาพการผลิต (Productivity) สูงขึ้น รวมทั้งการขยายปริมาณการผลิต เนื่องจากความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้น ก็สามารถชดเชยต้นทุนในส่วนที่เพิ่มขึ้นจากค่าแรงงานได้
1.2 การปรับราคาน้ำมันดีเซล หากมีการปรับราคาน้ำมันดีเซลเพิ่มสูงขึ้นในครั้งเดียว จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต และต้นทุนการขนส่งสินค้าในอัตราประมาณร้อยละ 0.0009-4.5735 ทั้งนี้ หากมีการทยอยปรับสูงขึ้นเป็นระยะแบบขั้นบันได และมีการส่งเสริมและพัฒนาระบบ Logistics อย่างจริงจัง จะมีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการมีการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ (Cost Efficiency) และสามารถลดแรงกดดันจากผลกระทบของราคาน้ำมันดีเซลได้ในระดับหนึ่ง
2. แนวโน้มสถานการณ์ราคาสินค้า
คาดว่ากลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มจะปรับราคาสูงขึ้นในปี 2548 ได้แก่ (1) กลุ่มสินค้าที่ใช้แรงงานเป็นหลัก (Labor Intensive) และมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านแรงงานในต้นทุนสินค้าค่อนข้างสูง เช่น เครื่องแบบนักเรียน รองเท้านักเรียน เส้นหมี่อบแห้ง และปลากระป๋อง เป็นต้น (2) กลุ่มสินค้าที่มีต้นทุนค่าขนส่งต่อหน่วยสูง เช่น ปูนซีเมนต์ และเม็ดพลาสติก เป็นต้น ( 3) กลุ่มสินค้าที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งในรูปของวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป เช่น เหล็ก สังกะสี สายไฟ และปุ๋ยเคมี เป็นต้น
3. มาตรการดูแลราคาสินค้า
3.1 มาตรการกฎหมาย เริ่มตั้งแต่ขั้นเบาสุด ได้แก่ การเข้มงวดในการปิดป้ายแสดงราคาสินค้า มาตรการที่รุนแรงเพิ่มขึ้น เช่น การให้แจ้งปริมาณสถานที่เก็บ การควบคุมการขนย้าย จนกระทั่งการใช้มาตรการขั้นรุนแรงสูงสุด เช่น การกำหนดราคาจำหน่าย การใช้มาตรการบังคับซื้อหรือบังคับขาย ในกรณีราคาสินค้าสูงขึ้นมาก หรือเกิดการขาดแคลน สินค้า
3.2 มาตรการตรวจสอบ ได้แก่ การตรวจสอบพฤติกรรมการจำหน่าย การตรวจสอบเครื่องชั่งตวงวัด และสินค้าหีบห่อ การตรวจสอบพิเศษโดยหน่วยเคลื่อนที่เร็ว (Mobile Unit) เป็นต้น
3.3 มาตรการบริหารจัดการสินค้า โดยใช้ศูนย์บริหารจัดการแก้ไขปัญหาราคาสินค้า (Operation Room) ดำเนินการติดตามแก้ไขปัญหาราคาอย่างเป็นระบบ การวิเคราะห์ต้นทุนแบบ Economic Approach การจัดระบบเตือนภัยสินค้า รวมทั้งการมีระบบรับรองมาตรฐาน และการประกันคุณภาพสินค้าและบริการ เป็นต้น
3.4 มาตรการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยการรับเรื่องร้องเรียนผ่านสายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 และการจัดหน่วยรับเรื่องร้องเรียนเคลื่อนที่ (Mobile Unit) ไปยังแหล่งชุมชนต่าง ๆ รวมทั้งการให้มีเงินสินบนนำจับ เป็นต้น
3.5 มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพกลไกตลาด ได้แก่ การจัดโครงการธงฟ้าราคาประหยัดจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ ในราคาต่ำกว่าราคาตลาด เพื่อให้กลไกตลาดทำงานดีขึ้น รวมทั้งการดูแลอาหารสำเร็จรูปที่มีจำหน่ายให้ประชาชนเป็นส่วนใหญ่ในแหล่งชุมชน ตลาดสด และห้างสรรพสินค้าให้จำหน่ายในราคาเดิม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 4 มกราคม 2548--จบ--