คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอดังนี้
1. เห็นชอบปรับกลุ่มสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จากเดิมองค์การมหาชนกลุ่มที่ 3 บริการสาธารณะทั่วไป เป็นองค์การมหาชนกลุ่มที่ 1 พัฒนาและดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐเฉพาะด้าน
2. รับทราบแนวทางการทบทวนหลักเกณฑ์การประเมินค่างานและการจัดกลุ่มองค์การมหาชน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2547 (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนฯ หลักเกณฑ์การกำหนดเบี้ยประชุมฯ และการพัฒนาการดำเนินงานและประเมินผลองค์การมหาชน) ของสำนักงาน ก.พ.ร. ซึ่งจะเพิ่มเติมมิติด้านผลกระทบ (impact) ที่เกิดจากการดำเนินงานขององค์การมหาชนไว้ด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
1. สปสช. เสนอขอปรับกลุ่มองค์การมหาชน จากเดิมองค์การมหาชนกลุ่มที่ 3 บริการสาธารณะทั่วไป เป็นองค์การมหาชนกลุ่มที่ 1 พัฒนาและดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐเฉพาะด้าน เนื่องจากบทบาทภารกิจมีความซับซ้อน หลากหลาย และขยายขอบเขตกว้างขวางขึ้นจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงของระบบหลักประกันสุขภาพทั้งในระดับประเทศและระดับโลก รวมทั้งต้องเชื่อมโยงกับระบบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ภาระงานและความรับผิดชอบมีขอบเขตกว้างขวางกว่าการบริหารเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนด ตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ 2545
2. กพม. ได้อาศัยอำนาจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2547 พิจารณาการขอปรับกลุ่มองค์การมหาชนของ สปสช. จากองค์การมหาชนกลุ่มที่ 3 บริการสาธารณะทั่วไป เป็นองค์การมหาชนกลุ่มที่ 1 พัฒนาและดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐเฉพาะด้าน โดยมีแนวทางในการพิจารณาสรุปได้ ดังนี้
2.1 หลักเกณฑ์การประเมินค่างานเพื่อจัดกลุ่มองค์การมหาชนเพื่อให้ผู้อำนวยการได้รับเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นตามช่วงอัตราค่าตอบแทนตามการจัดกลุ่มองค์การมหาชน และคณะกรรมการองค์การมหาชนได้รับค่าเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นตามการจัดกลุ่มขององค์การมหาชนเช่นเดียวกัน โดยพิจารณาจากองค์ประกอบสำคัญ 3 มิติ ดังนี้
2.1.1 มิติด้านความรับผิดชอบในการบริหารงาน
เป็นการประเมินในแง่ของลักษณะภารกิจที่ต่างกันในด้านผลกระทบที่จะเกิดจากการปฏิบัติงานขององค์การมหาชน โดยพิจารณาจากเทคนิคหรือเทคโนโลยีที่ใช้ความหลากหลายของผู้รับบริการ ขอบเขตความครอบคลุมของการให้บริการ ตลอดจนผลกระทบที่มีต่อส่วนรวมขององค์การมหาชนนั้น ๆ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยส่วนรวม
2.1.2 มิติด้านประสบการณ์ของผู้อำนวยการ
เป็นการประเมินในแง่ความรู้ความสามารถของผู้อำนวยการที่ต้องการในการบริหารองค์การมหาชน ทั้งความรู้ทางวิชาการ ความสามารถ ทักษะ และประสบการณ์ที่จำเป็นต่อการบริหารองค์การมหาชน ตลอดจนสภาพแวดล้อม ที่ต้องใช้ทักษะการติดต่อสื่อสารในการบริหารองค์การมหาชน
2.1.3 มิติด้านสถานการณ์
เป็นการประเมินในแง่ความสำคัญของภารกิจและวัตถุประสงค์ขององค์การมหาชนที่มีต่อความสำเร็จตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้เกิดผลในระยะสั้นหรือจำกัด รวมถึงความจำเป็นในแต่ละช่วงที่อาจจะต้องการผู้อำนวยการที่มีคุณสมบัติความรู้ความสามารถและประสบการณ์เฉพาะด้านที่แตกต่างกัน
2.2 การจัดกลุ่มขององค์การมหาชน
จากการประเมินค่างานที่พิจารณาจากองค์ประกอบสำคัญ 3 มิติข้างต้น (ตามข้อ 2.1) สามารถจัดกลุ่มขององค์การมหาชน ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มขององค์การมหาชน / รายละเอียด
กลุ่มที่ 1 พัฒนาและดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐเฉพาะด้าน อัตราเบี้ยประชุมของคณะกรรมการ 6,000 – 20,000 บาท อัตราเงินเดือนของผู้อำนวยการ 100,000 – 300,000 บาท
องค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาและดำเนินการตามนโยบายสำคัญเฉพาะด้านของรัฐให้เกิดผลในทางปฏิบัติภายในระยะเวลาจำกัด ซึ่งต้องการผู้บริหารที่มีความสามารถสูงในการบริหารงานเชิงยุทธศาสตร์ การบริหารเครือข่ายหรือการบริหารองค์กรที่มีสาขาทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ ทั้งนี้ องค์การมหาชนที่จะถูกจัดลงในกลุ่มที่ 1 ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
กลุ่มที่ 2 บริการที่ใช้เทคนิควิชาการเฉพาะด้านหรือสหวิทยาการ อัตราเบี้ยประชุมของคณะกรรมการ 6,000 – 16,000 บาท อัตราเงินเดือนของผู้อำนวยการ 100,000 – 250,000 บาท
องค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้บริการที่ใช้วิชาชีพระดับสูง ซับซ้อน หรือเป็นงานศึกษาวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีเป้าหมายในการริเริ่มหรือสร้างนวัตกรรมที่จำเป็นต้องใช้ผู้มีความรู้ความสามารถเฉพาะและความสามารถในการบริหารองค์กรที่มีกิจกรรมหลากหลาย มีขอบเขตการทำงานครอบคลุมในระดับประเทศหรือต้องดำเนินกิจกรรมเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์โดยการร่วมมือกับต่างประเทศ
กลุ่มที่ 3 บริการสาธารณะทั่วไป อัตราเบี้ยประชุมของคณะกรรมการ 6,000 – 12,000 บาท อัตราเงินเดือนของผู้อำนวยการ 100,000 – 200,000 บาท
องค์การมหาชนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ดำเนินงานศึกษาวิจัยทั่วไปหรืองานบริการทั่วไปหรืองานปกติประจำ หรืองานให้บริการแก่กลุ่มลูกค้า/ผู้รับบริการเฉพาะครอบคลุมในขอบเขตจำกัด ใช้ผู้มีความรู้ความสามารถในการบริหารองค์กรขนาดเล็กที่มีธุรกรรมไม่หลากหลาย
3. ขอบเขตภารกิจของ สปสช.
ช่วงเวลา - ขอบเขตภารกิจ
ระยะที่ 1 ช่วงก่อร่างสร้างระบบ (ปี พ.ศ 2545 – 2550)
- เริ่มก่อตั้งองค์กร จัดระบบและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ
- ขับเคลื่อนงานตามภารกิจ โดยมีขอบเขตการดำเนินงานหลัก คือ
1) ขยายความครอบคลุมหลักประกันให้ประชาชนผู้มีสิทธิ
2) ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจกับภาคีทุกภาคส่วน
3) สนับสนุน พัฒนาความเข้มแข็งของระบบบริการ เช่น บริการปฐมภูมิ เป็นต้น
ระยะที่ 2 ช่วงการพัฒนา (ปี พ.ศ 2551 – 2555)
- ต่อยอดการดำเนินงาน
- ขับเคลื่อนการบริหารงบประมาณ/จัดการกองทุนอย่างมีส่วนร่วม
- พัฒนาระบบบริหารจัดการภายในองค์กร
- ขยายการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย
- พัฒนาการสื่อสารเพื่อการรับรู้สิทธิ/การคุ้มครองสิทธิ
ระยะที่ 3 ช่วงการขับเคลื่อนนโยบายบูรณาการความร่วมมือในการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพ (ปี พ.ศ. 2556 - 2560)
- ออกแบบการบริหารกองทุนรูปแบบใหม่ ๆ และการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่าย
- ขับเคลื่อนการบูรณาการ 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ กองทุนประกันสังคม และกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
- ทำหน้าที่อื่นที่ได้รับมอบหมาย เช่น หน่วยงานกลางในการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลกองทุนสุขภาพภาครัฐและระบบข้อมูลบริการสาธารณสุข (National Cleaning House : NCH) หน่วยงานกลางในการบริหารจัดการทะเบียนสิทธิรักษาพยาบาลของประชาชน (National Beneficiary Registration Center) ร่วมพัฒนาระบบการเข้าถึงยาที่มีปัญหา การเข้าถึงกลุ่มยากำพร้าและยาต้านพิษที่มีอัตราการใช้ต่ำและไม่แน่นอน
- เพิ่มกลไกการมีส่วนร่วมในพื้นที่ร่วมกับภาคีต่าง ๆ เช่น คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.)
- สร้างความเป็นเจ้าของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติผ่านกลไก/มาตรการต่าง ๆ
ระยะที่ 4 พัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ (ปี พ.ศ. 2561 - 2565)
- ขับเคลื่อน Commitment และ Accountability ของ สปสช. และกลไกคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ และภาคียุทธศาสตร์ทั้งส่วนกลางและพื้นที่
- ปรับรูปแบบการบริหารกองทุนและการจ่ายชดเชยค่าบริการเพื่อตอบสนอง Health need และการเข้าถึงบริการอย่างมีคุณภาพของประชาชน
- นำ Digital technology มาใช้ปรับปรุงการเข้าถึงบริการ
- วางรากฐานการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ด้านหลักประกันสุขภาพของไทย
- ขับเคลื่อนงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยในเวทีประชาคมโลกโดยร่วมมือกับกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงสาธารณสุข
ทิศทางการดำเนินงานในระยะต่อไป
- จัดหาบริการให้เพียงพอ และผู้มีสิทธิได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน
- เพิ่มประสิทธิผลของความครอบคลุมบริการ
- ออกแบบการบริหารกองทุนเพื่อรองรับการขยายสิทธิประโยชน์จากแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของการเกิดโรค การเจ็บป่วยโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ โรคหายาก และโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่ส่งผลให้ครัวเรือนล้มละลาย รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีความก้าวหน้าและราคาแพง
- การพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการกองทุน และจัดการธุรกรรมการเบิกจ่าย
- พัฒนาศักยภาพและความเข้มแข็งของการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพระดับท้องถิ่น/พื้นที่ (ตำบล/จังหวัด)
- การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพิ่มขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงบริการของประชาชน รวมถึงการจัดการและใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่
- เพิ่มความเสมอภาคด้านหลักประกันสุขภาพ ขยายความร่วมมือกับหน่วยงานประกันสุขภาพภาครัฐต่าง ๆ รวมทั้งขยายการดูแลเฉพาะกลุ่มมากขึ้น เช่น กลุ่มเปราะบาง กลุ่มด้อยโอกาส และผู้มีสิทธิระบบอื่น ๆ เช่น รัฐวิสาหกิจ
- แสวงหาแหล่งเงินใหม่เข้าสู่ระบบ
- เพิ่มความเข้าใจและร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อความยั่งยืนของระบบ
- ร่วมขับเคลื่อนบทบาทไทยในเวทีโลกด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลและทิศทางระบบสุขภาพโลกและการบรรลุเป้าหมาย SDGs ในการผลักดันเรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ที่มา: ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563