โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2563

ข่าวการเมือง Tuesday May 12, 2020 17:29 —มติคณะรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอดังนี้

1. เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2563 (โครงการฯ) ตามสาระสำคัญที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) มีมติให้ความเห็นชอบไว้ ซึ่งเป็นการดำเนินงานต่อเนื่องจากโครงการฯ ปีการผลิต 2562 ภายใต้วงเงินงบประมาณจำนวน 313.98 ล้านบาท โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือในส่วนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้เบิกจ่ายจากสำนักงบประมาณ (สงป.) เพื่อดำเนินโครงการฯ ในปีการผลิต 2562 จำนวน 48.21 ล้านบาท และเสนอของบประมาณเพิ่มเติมจำนวน 265.77 ล้านบาท

2. เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลในส่วนของงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน 265.77 ล้านบาท และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราต้นทุนเงิน ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ธ.ก.ส. บวกร้อยละ 1 ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินรวม 321.52 ล้านบาท

3. มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการขายกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2563 ให้ได้ตามเป้าหมายและตามกำหนดเวลาการเอาประกันภัยของเกษตรกรทั้งในส่วนที่ 1 (Tier 1) และส่วนที่ 2 (Tier 2) พร้อมทั้งให้ ธ.ก.ส. บริหารจัดการความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ให้สอดคล้องกับหลักการประกันภัยและร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย (สมาคมประกันฯ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการฯ รวมทั้งให้ความรู้ด้านการประกันภัยแก่เกษตรกรและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของการประกันภัย

4. มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ประสานงานกับ ธ.ก.ส. และสมาคมประกันฯ ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลเอกสารทะเบียนเกษตรกรแบบประมวลรวบรวมความเสียหายและการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย (แบบ กษ 02) และแบบรายงานข้อมูลความเสียหายจริงของเกษตรกร (แบบ กษ 02 เพื่อการประกันภัย) ตลอดจนดำเนินการเพื่อให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบฐานข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ เพื่อรองรับการเพิ่มพื้นที่เป้าหมาย และรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้รวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น พร้อมทั้งให้กรมส่งเสริมการเกษตรเก็บข้อมูลพื้นที่ประสบภัยตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562

5. มอบหมายให้สมาคมประกันฯ พิจารณากำหนดรูปแบบการประเมินความเสียหายแก่เกษตรกร ที่ได้รับความเสียหายแต่มิได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 ร่วมกับ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป

6. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ปรับปรุงกรมธรรม์ประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เป็นไปตามรูปแบบและหลักเกณฑ์ของการรับประกันภัยโครงการฯ ปีการผลิต 2563 รวมทั้งอนุมัติกรมธรรม์และอัตราเบี้ยประกันภัยให้แล้วเสร็จและสามารถ เริ่มรับประกันภัย ในปีการผลิต 2563 ได้ทันทีภายหลังคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ ปีการผลิต 2563 และดำเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนประชาสัมพันธ์โครงการฯ ปีการผลิต 2563 ในภาพรวมและเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้ กค. รับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย

สาระสำคัญของเรื่อง

กค. รายงานว่า

1. กค. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กษ. สำนักงาน คปภ. ธ.ก.ส. และสมาคมประกันฯ ได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2563 ดังนี้ (1) กำหนดหลักการให้เกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของ ธ.ก.ส. และเกษตรกรทั่วไปได้รับความคุ้มครองจากระบบการประกันภัยตามกฎของจำนวนมาก (Law of Large Numbers) (การใช้ข้อมูลจากสถิติในอดีตเพื่อคาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต) เช่นเดียวกับการดำเนินโครงการฯ ในปีการผลิต 2562 (2) ปรับปรุงอัตราค่าเบี้ยประกันภัยพื้นฐานในส่วนที่ 1 (Tier 1) และอัตราค่าเบี้ยประกันภัยภาคสมัครใจในส่วนที่ 2 (Tier 2) ให้มีความสอดคล้องกับข้อมูลสถิติอัตราส่วนความเสียหาย (Damage Ratio) ของพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งประเทศ และอัตราส่วนค่าสินไหมทดแทน (Loss Ratio)1 ของการรับประกันภัย โดยกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยอัตราเดียวสำหรับการรับประกันภัยในส่วนของ Tier 1 และคงรูปแบบการรับประกันภัยเพิ่มเติมในส่วนของ Tier 2 โดยกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยตามระดับพื้นที่ความเสี่ยงภัยในระดับอำเภอเพื่อให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ มีส่วนร่วมในการรับภาระค่าเบี้ยประกันภัยโดยสามารถขอเอาประกันภัยเพื่อรับความคุ้มครองเพิ่มเติมจากส่วนที่ภาครัฐให้การอุดหนุนอัตราค่าเบี้ยประกันภัย (3) กำหนดพื้นที่เป้าหมายการรับประกันภัยให้ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในทุกพื้นที่ [ผู้เอาประกันภัย คือ เกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร (ทบก.) กับกรมส่งเสริมการเกษตร ในปีการผลิต 2563/2564] จากเดิม ในปีการผลิต 2562 ที่กำหนดให้รับประกันภัยเฉพาะพื้นที่เพาะปลูกที่มีเอกสารสิทธิ์

2. เนื่องจากการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2563 จำเป็นต้องเร่งดำเนินการให้มีความสอดคล้องกับฤดูกาลเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูฝน) ของเกษตรกรซึ่งได้เริ่มต้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป และเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ที่ต้องการให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการฯ อย่างทั่วถึงและได้รับความคุ้มครองตลอดระยะเวลาการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทั้งฤดูการผลิต (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูฝนและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้ง) เพื่อลดผลกระทบความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติ ซึ่งความเสียหายดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องกับจำนวนเงินทุนของเกษตรกรที่มีไม่เพียงพอสำหรับใช้เพาะปลูกในปีการผลิตถัดไป กค. จึงได้นำเสนอแนวทางการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2563 เสนอต่อ นบขพ. พิจารณาในการประชุม ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2563 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการฯ ปีการผลิต 2563 ตามที่ กค. เสนอ โดยรายละเอียดของโครงการฯ ปีการผลิต 2563 สามารถกล่าวโดยสรุปได้ ดังนี้

1. วัตถุประสงค์

เพื่อให้เกษตรกรมีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติผ่านระบบการประกันภัย และเป็นการต่อยอดความช่วยเหลือของภาครัฐตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 เพื่อรองรับต้นทุนในการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกรเมื่อประสบเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ รวมทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ

2. พื้นที่เป้าหมายรับประกันภัย (รวม Tier 1 และTier 2 ไม่เกิน 3 ล้านไร่) และอัตราค่าเบี้ยประกันภัย

การรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1)

พื้นที่รับประกันภัย

พื้นที่รวมไม่เกิน 2.9 ล้านไร่ โดยกำหนดค่าเบี้ยประกันภัยตามความเสี่ยงจริงของเกษตรกรแต่ละกลุ่ม แบ่งเป็น

(1) พื้นที่ที่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2563 (เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ทุกราย) ไม่เกิน 2.8 ล้านไร่ (ประกันภัยกลุ่ม)

(2) พื้นที่ที่ไม่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อเพื่อการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2563 (เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. และเกษตรกรทั่วไป) ไม่เกิน 1 แสนไร่ (ประกันภัยรายบุคคล)

อัตราค่าเบี้ยประกันภัย(รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์)

172.27 บาทต่อไร่เท่ากันทุกพื้นที่

  • รัฐบาลอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยข้างต้นทุกรายในอัตรา 108.27 บาทต่อไร่ จำนวนรวม 2.9 ล้านไร่
  • ธ.ก.ส. อุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยในส่วนที่เหลืออีก 64 บาทต่อไร่ เฉพาะกลุ่มที่ (1) จำนวน 2.8 ล้านไร่

การรับประกันภัยร่วมจ่ายโดยสมัครใจ(Tier 2) เกษตรกรจ่ายเองทั้งหมด

พื้นที่รับประกันภัย

พื้นที่ไม่เกิน 1 แสนไร่ โดยกำหนดค่าเบี้ยประกันภัยตามความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่* ซึ่งเกษตรกรสามารถขอจ่ายเพิ่มได้เมื่อเอาประกันภัยจาก Tier 1 แล้ว แบ่งเป็น

ไม่เกิน 1 แสนไร่ (ประกันภัยรายบุคคล)

อัตราค่าเบี้ยประกันภัย(รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์)

(1) พื้นที่เสี่ยงภัยต่ำ 97.37 บาทต่อไร่

(2) พื้นที่เสี่ยงภัยปานกลาง 108.07 บาทต่อไร่

(3) พื้นที่เสี่ยงภัยสูง 118.77 บาทต่อไร่

หมายเหตุ : *พื้นที่เสี่ยงภัยต่ำ (พื้นที่สีเขียว) จำนวน 685 อำเภอ พื้นที่เสี่ยงภัยปานกลาง (พื้นที่สีเหลือง) จำนวน 110 อำเภอ พื้นที่เสี่ยงภัยสูง (พื้นที่สีแดง) จำนวน 133 อำเภอ

3. ระยะเวลาการขายประกัน

(1) สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รอบที่ 1 (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูฝน) นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบโครงการฯ – วันที่ 31 พฤษภาคม 2563

(2) สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รอบที่ 2 (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ฤดูแล้ง) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 15 มกราคม 2564

4. วงเงินความคุ้มครอง

ภัยธรรมชาติ 7 ภัย(น้ำท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้งฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ำค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้และภัยช้างป่า)

พื้นที่ Tier 1 1,500 บาทต่อไร่

พื้นที่ Tier 2 240 บาทต่อไร่

รวมไม่เกิน 1,740 บาทต่อไร่

ภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด

พื้นที่ Tier 1 750 บาทต่อไร่

พื้นที่ Tier 2 120 บาทต่อไร่

รวมไม่เกิน 870 บาทต่อไร่

5. ภาระงบประมาณ(เงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย)

ภายในวงเงิน 313.98 ล้านบาท (คิดจากพื้นที่เป้าหมาย 2.9 ล้านไร่) โดยแบ่งเป็น

(1) ใช้จ่ายจากงบประมาณคงเหลือจากการดำเนินโครงการฯ ในปีการผลิต 2562 จำนวน 48.21 ล้านบาท

(2) ให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาล จำนวน 265.77 ล้านบาท และให้ ธ.ก.ส. เบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราต้นทุนเงิน ในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ธ.ก.ส. บวกร้อยละ 1 ในปีงบประมาณถัดไป

6. การพิจารณาค่าสินไหมทดแทน

จ่ายตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 และจ่ายเพิ่มเติมกรณีที่เสียหายจริงแต่ไม่อยู่ในเขตประกาศภัยตามที่ราชการกำหนด โดยการดำเนินการของสมาคมประกันฯ ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

7. วันเริ่มความคุ้มครอง

(1) เกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. (กลุ่ม Tier 1) ซึ่งได้รับการอนุมัติสินเชื่อทั้งหมด ในการเพาะปลูกเริ่มตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการฯ ทั้งนี้ หากประสงค์เอาประกันภัยเพิ่มในส่วน Tier 2 จะเริ่มตั้งแต่วันที่เกษตรกรขอเอาประกันภัย

(2) เกษตรกรที่เป็นลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ซึ่งได้รับการอนุมัติสินเชื่อบางส่วนและประสงค์จะเอาประกันภัยเพิ่มเติมและเกษตรกรทั่วไป โดยรับภาระค่าเบี้ยประกันเองทั้งในส่วน Tier 1 และ Tier 2 เริ่มตั้งแต่วันที่เกษตรกรขอเอาประกันภัย

(3) กลุ่มเกษตรกรทั่วไป เริ่มตั้งแต่วันที่เกษตรกรขอเอาประกันภัย

[1]อัตราส่วนระหว่างความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วกับเบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้

ที่มา: ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 12 พฤษภาคม 2563


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ