1.1 พักชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 7 ปี นับตั้งแต่ปี 2563 - 2569 โดยภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในระยะเวลา 7 ปีของช่วงพักชำระหนี้ดังกล่าว ให้บริษัทฯ นำไปเฉลี่ยทยอยชำระคืนแก่กระทรวงการคลังในช่วงชำระคืนต้นเงินยืม
1.2 ทยอยชำระคืนต้นเงินยืม พร้อมดอกเบี้ยให้แก่กระทรวงการคลังภายในกรอบระยะเวลาชำระ 13 ปี นับตั้งแต่ปี 2570 - 2582
1.3 ปรับอัตราดอกเบี้ยที่ต้องชำระใหม่ โดยใช้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล (Government Bond Yield) อายุ 20 ปี ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2563 (ทศนิยมไม่เกิน 3 ตำแหน่ง) ทั้งนี้ ในการคำนวณอัตราดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในปี 2563 ให้บริษัทฯ ยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเดิมที่ร้อยละ 3.78 ต่อปี และจะเริ่มปรับใช้อัตราดอกเบี้ยใหม่นับตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป
1.4 ทยอยชำระคืนดอกเบี้ยผิดนัดตามสัญญาเดิม ภายหลังการชำระคืนต้นเงินยืมเสร็จสิ้น ภายในกรอบระยะเวลาชำระ 5 ปี (ปี 2583 - 2587) 2. ให้จัดทำสัญญาและตารางการชำระคืนเงินยืมใหม่ตามที่กระทรวงการคลังกำหนดภายใต้เงื่อนไขการปรับโครงสร้างหนี้ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติดังกล่าวข้างต้น โดยให้คำนึงถึงสภาพคล่องของบริษัทฯ ให้มีเพียงพอต่อการดำเนินกิจการ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถชำระคืนเงินยืมที่มีกับกระทรวงการคลังได้ทั้งหมดต่อไป ทั้งนี้ ภายใต้กรอบระยะเวลาการชำระหนี้ หากบริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA : Earnings Before Interest Tax Depreciation and Amortization) หลังหักชำระคืนเงินยืมตามงวดชำระที่มีกับกระทรวงการคลังแล้วเกิน 100 ล้านบาท เห็นควรให้บริษัทฯ ชำระคืนเงินยืมจากกำไรก่อน ดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายส่วนเกิน 100 ล้านบาท ดังกล่าว อีกร้อยละ 50 และบริษัทฯ สามารถชำระคืนเงินยืมให้แก่กระทรวงการคลังก่อนครบกำหนดทั้งจำนวนหรือบางส่วนก็ได้ 3. มอบหมายให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กำกับติดตามการดำเนินกิจการของบริษัทฯ ตามแผนธุรกิจและแผนการปรับโครงสร้างหนี้อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินการของบริษัทฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์การจัดตั้งและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลต่อไป
ที่มา: ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 29 ธันวาคม 2563