ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2563 ทั้งปี 2563 และแนวโน้มปี 2564

ข่าวการเมือง Monday February 15, 2021 18:47 —มติคณะรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2563 ทั้งปี 2563 และแนวโน้มปี 2564

ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดังนี้
1. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี 2563

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2563 ลดลงร้อยละ 4.2 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ 6.4 ในไตรมาสที่สาม (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สี่ของปี 2563 ขยายตัวจากไตรมาสที่สามของปี 2563 ร้อยละ 1.3 (QoQ_SA) รวมทั้งปี 2563 เศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลงร้อยละ 6.1 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.3 ในปี 2562

1.1 ด้านการใช้จ่าย การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนกลับมาขยายตัว การลงทุนภาคเอกชนและการส่งออกสินค้าลดลงในอัตราที่ชะลอลง ขณะที่การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐขยายตัว ส่วนการส่งออกบริการลดลงต่อเนื่อง การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 0.9 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 6.7 และร้อยละ 0.6 ในไตรมาสที่สองและที่สาม ตามลำดับ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยการใช้จ่ายในหมวดบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 ตามการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายในกลุ่มบริการสุขภาพ และกลุ่มบริการด้านการศึกษา ร้อยละ 4.9 และร้อยละ 1.7 ตามลำดับ ขณะที่กลุ่มการเช่าที่อยู่อาศัย กลุ่มการใช้น้ำประปา ไฟฟ้าและพลังงาน ขยายตัวร้อยละ 1.5 ส่วนการใช้จ่ายกลุ่มโรงแรมและภัตตาคารลดลงต่อเนื่องร้อยละ 58.7 การใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัวร้อยละ 1.1 สอดคล้องกับการขยายตัวของการใช้จ่ายเพื่อซื้ออาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ร้อยละ 1.8

ขณะที่การใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนลดลงร้อยละ 9.2 น้อยกว่าการลดลงร้อยละ 19.6 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการลดลงของการซื้อยานพาหนะร้อยละ 0.1 เทียบกับการลดลงร้อยละ 17.5 ในไตรมาสก่อนหน้า และการใช้จ่ายในหมวดสินค้ากึ่งคงทนลดลงต่อเนื่องร้อยละ 12.4 การปรับตัวดีขึ้นของการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสนี้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งอยู่ที่ระดับ 44.3 เทียบกับ 43.0 ในไตรมาสก่อนหน้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 1.9 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 2.5 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามรายจ่ายค่าซื้อสินค้าและบริการ และค่าตอบแทนแรงงาน (ค่าจ้าง เงินเดือน) ที่ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 4.4 และร้อยละ 3.0 ตามลำดับ โดยอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายรวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 28.6 (สูงกว่าร้อยละ 22.8 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) การลงทุนรวม ลดลงร้อยละ 2.5 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 2.6 ในไตรมาสที่สาม โดยการลงทุนภาคเอกชนลดลงร้อยละ 3.3 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 10.6 ในไตรมาสก่อนหน้า ประกอบด้วยการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรลดลงร้อยละ 3.2 และการลงทุนในสิ่งก่อสร้างลดลงร้อยละ 3.8 ส่วนการลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ 0.6 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 17.6 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 20.0 ขณะที่การลงทุนรัฐวิสาหกิจลดลงร้อยละ 21.8 สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 11.2 เทียบกับร้อยละ 4.7 ในไตรมาสเดียวกันของปีงบประมาณก่อน

1.2 ด้านภาคต่างประเทศ

1.2.1 การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 58,095 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 1.5 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 8.2 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 1.6 ขณะที่ราคาส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา (ขยายตัวร้อยละ 25.4) (ขยายตัวร้อยละ 2.6) รถยนต์นั่ง (ขยายตัวร้อยละ 0.5) และชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ (ขยายตัวร้อยละ 6.1) กลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง ได้แก่ น้ำตาล (ลดลงร้อยละ 67.4) รถกระบะและรถบรรทุก (ลดลงร้อยละ 10.9) และเคมีภัณฑ์ (ลดลงร้อยละ 0.6) การส่งออกสินค้าไปยังตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และออสเตรเลียขยายตัว ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดจีน อาเซียน (9) สหภาพยุโรป (27) ไม่รวมสหราชอาณาจักร และตะวันออกกลาง (15) ลดลง เมื่อหักการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปออกแล้ว มูลค่าการส่งออกสินค้าลดลงร้อยละ 0.9 และเมื่อคิดในรูปของเงินบาท มูลค่าการส่งออกสินค้าลดลงร้อยละ 0.4

การขยายตัวของเศรษฐกิจและมูลค่าการส่งออกของประเทศสำคัญ

1.3 ด้านการผลิต การผลิตสาขาเกษตรกรรมกลับมาขยายตัว การผลิตสาขาอุตสาหกรรม สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า และสาขาการขายส่งการขายปลีกและการซ่อมแซมฯ ลดลงในอัตราที่ชะลอลง ขณะที่การผลิตสาขาไฟฟ้าและก๊าซฯ ลดลงต่อเนื่อง สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาสร้อยละ 0.9 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 1.1 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของผลผลิตหมวดพืชผลสำคัญที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย และปริมาณน้ำที่เพียงพอต่อการเพาะปลูก เช่น ข้าวเปลือก (ร้อยละ 5.9) ไก่เนื้อ (ร้อยละ 6.7) และไข่ไก่ (ร้อยละ 13.6) เป็นต้น ส่วนผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่ลดลง เช่น กลุ่มไม้ผล (ร้อยละ 22.0) อ้อย (ร้อยละ 10.8) และยางพารา (ร้อยละ 0.8) เป็นต้น ในขณะที่หมวดปศุสัตว์ขยายตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 12 ร้อยละ 4.5 และหมวดประมงลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 ร้อยละ 5.6 ส่วนดัชนีราคาสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.0 เร่งขึ้นจากการขยายตัว

ร้อยละ 6.3 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยสินค้าสำคัญที่ราคาเพิ่มขึ้น ได้แก่ ยางพารา (ร้อยละ 50.2) ปาล์มน้ำมัน (ร้อยละ 71.4) และสุกร (ร้อยละ 22.9) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางรายการลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือก (ร้อยละ 10.8) และ ไก่เนื้อ (ร้อยละ 9.4) เป็นต้น การเพิ่มขึ้นของทั้งดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร และดัชนีราคาสินค้าเกษตร ส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 12.1 สาขาการผลิตอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 0.7 น้อยกว่าการลดลงร้อยละ 5.3 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อส่งออก (สัดส่วนส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ลดลงร้อยละ 3.0 ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ 5.7 ในไตรมาสก่อนหน้า และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ลดลงร้อยละ 0.5 น้อยกว่าการลดลง

ร้อยละ 1.6 ในไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30 ? 60 ขยายตัวร้อยละ 0.4 ปรับตัวดีขึ้นมากจากการลดลงร้อยละ 23.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่ลดลง เช่น การผลิตน้ำตาล (ร้อยละ 43.9) การผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย (ร้อยละ 17.2) และการผลิตผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ (ร้อยละ 7.7) เป็นต้น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น การผลิตยานยนต์ (ร้อยละ 3.7) การผลิตชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (ร้อยละ 6.8) และการผลิตมอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (ร้อยละ 32.5) เป็นต้น สำหรับอัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 64.22 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 60.63 ในไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 63.33 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ลดลงร้อยละ 35.2 ตามการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ แต่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ 39.3 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการปรับตัวดีขึ้นของการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยในไตรมาสนี้มีรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทยอยู่ที่ 0.159 ล้านล้านบาท ลดลงร้อยละ 45.1 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 57.1 ในไตรมาสก่อนหน้า นอกจากนั้น การดำเนินมาตรการเปิดประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ (Special Tourist VISA : STV) ส่งผลให้ในไตรมาสนี้มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส 10,822 คน (รวมนักท่องเที่ยวกลุ่ม Thailand Privilege Card) อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 32.49 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 26.69 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่ต่ำกว่าร้อยละ 70.71 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ลดลงร้อยละ 21.1 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 22.2 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยบริการขนส่งทางอากาศลดลงร้อยละ 68.1 บริการขนส่งทางบกและท่อลำเลียงลดลงร้อยละ 12.7 และบริการขนส่งทางน้ำลดลงร้อยละ 4.3 ส่วนบริการสนับสนุนการขนส่งลดลง

ร้อยละ 22.1 และบริการไปรษณีย์ขยายตัวร้อยละ 27.2

1.4 เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.86 ลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 1.90 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่สูงกว่าอัตราการว่างงานร้อยละ 1.0 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ -0.4 ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 1.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (3.45 หมื่นล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ 0.8 ของ GDP เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 อยู่ที่ 2.56 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 มีมูลค่าทั้งสิ้น 8,136,114.6 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 52.1 ของ GDP 2. เศรษฐกิจไทยโดยรวมทั้งปี 2563

2.1 เศรษฐกิจไทยโดยรวมทั้งปี 2563 ลดลงร้อยละ 6.1 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.3 ในปี 2562 โดยในด้านการใช้จ่าย มูลค่าการส่งออกสินค้า การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมลดลงร้อยละ 6.6 ร้อยละ 1.0 และร้อยละ 4.8 ตามลำดับ ส่วนการใช้จ่ายของรัฐบาล และการลงทุนภาครัฐ ขยายตัวร้อยละ 0.8 และร้อยละ 5.7 ตามลำดับ ในด้านการผลิต การผลิตสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง สาขาอุตสาหกรรม สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร และสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าลดลงร้อยละ 3.4 ร้อยละ 5.7 ร้อยละ 36.6 และร้อยละ 21.0 ตามลำดับ รวมทั้งปี 2563 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อยู่ที่ 15,703.0 พันล้านบาท (501.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศต่อหัวเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 225,913.8 บาทต่อคนต่อปี (7,219.2 ดอลลาร์ สรอ. ต่อคนต่อปี)

2.2 เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ -0.8 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 3.3 ของ GDP 3. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2564

เศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.5 ? 3.5 โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ประกอบด้วย (1) แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก (2) แรงขับเคลื่อน

จากการใช้จ่ายภาครัฐ (3) การกลับมาขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนในประเทศ และ (4) การปรับตัวตามฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี 2563 ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. จะขยายตัวร้อยละ 5.8 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 2.0 และร้อยละ 5.7 ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 1.0 ? 2.0 และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.3 ของ GDP

3.1 การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค (1) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.0 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 1.0 ในปี 2563 ซึ่งเป็นการปรับลดจากการขยายตัวร้อยละ 2.4 ในการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่เริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2563 ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและทำให้ต้องมีการดำเนินมาตรการควบคุมในบางพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ในกรณีฐานคาดว่าจะสามารถควบคุมการระบาดให้อยู่ในวงจำกัดได้ภายในไตรมาสแรก และการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนในช่วงที่เหลือของปีจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มการฟื้นตัวของฐานรายได้จากภาคการส่งออกรายได้เกษตรกร และมาตรการเยียวยาผลกระทบและกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศของภาครัฐ และ (2) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาล คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.1 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 0.8 ในปี 2563 ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มจากการขยายตัวร้อยละ 4.7 ในการประมาณการครั้งที่ผ่านมาตามการปรับเพิ่มสมมติฐานการเบิกจ่ายสะสมภายใต้พระราชกำหนดเงินกู้ฯ 1 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปีงบประมาณ 2564 จากร้อยละ 70 ของวงเงินกู้ในการประมาณการครั้งก่อนเป็นร้อยละ 80 ในการประมาณการครั้งนี้ และสอดคล้องกับสมมติฐานอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ร้อยละ 98.0 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 97.4 ในปี 2563

3.2 การลงทุนรวม คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 เทียบกับการลดลงร้อยละ 4.8 ในปี 2563 โดยการลงทุนภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 10.7 เร่งขึ้นจากร้อยละ 5.7 ในปี 2563 แต่เป็นการปรับลดจากการขยายตัวร้อยละ 12.4 ในการประมาณการครั้งก่อนตามการปรับลดสมมติฐานอัตราการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุนภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 75 ของวงเงินงบประมาณ ต่ำกว่าร้อยละ 80 ในสมมติฐานการประมาณครั้งที่ผ่านมา ส่วนการลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.8 เทียบกับการลดลงร้อยละ 8.4 ในปี 2563 และเป็นการปรับลดจากการขยายตัวร้อยละ 4.2 ในการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากจากปีก่อน สอดคล้องกับแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นของการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกในช่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก

3.3 มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5.8 เทียบกับการลดลงร้อยละ 6.6 ในปี 2563 และเป็นการปรับเพิ่มจากการขยายตัวร้อยละ 4.2 ในการประมาณการครั้งที่ผ่านมา โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ 3.8 สูงกว่าการขยายตัวร้อยละ 3.2 ในการประมาณการครั้งก่อน สอดคล้องกับการปรับเพิ่มสมมติฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกจากร้อยละ 4.9 และร้อยละ 5.0 ในการประมาณการครั้งที่ผ่านมา เป็นร้อยละ 5.2 และร้อยละ 6.7 ตามลำดับ รวมทั้งการปรับเพิ่มสมมติฐานราคาสินค้าส่งออกจากการเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 เป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 อย่างไรก็ตาม การปรับลดสมมติฐานรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติให้สอดคล้องกับแนวโน้มการฟื้นตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังมีความล่าช้า ทำให้การส่งออกบริการอยู่ในระดับต่ำกว่าประมาณการครั้งที่ผ่านมา เมื่อรวมกับการส่งออกสินค้าทำให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการรวมลดลงร้อยละ 0.2 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 0.1 ในการประมาณการครั้งก่อน และการลดลงร้อยละ 19.4 ในปี 2563 4. ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี 2564

การบริหารนโยบายเศรษฐกิจในปี 2564 ควรให้ความสำคัญกับ

(1) การควบคุมการแพร่ระบาดและการป้องกันการกลับมาระบาดรุนแรงภายในประเทศ โดย (i) การดำเนินการตามมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และ (ii) การจัดหาและบริหารจัดการวัคซีนให้ครอบคลุมทั่วถึงและเพียงพอต่อการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ย่างรวดเร็วและจัดลำดับความสำคัญ โดยคำนึงถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญและการรักษาความต่อเนื่องของการผลิตในพื้นที่อุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ ควบคู่ไปกับการจัดลำดับความสำคัญตามหลักการทางสาธารณสุข (2) การรักษาบรรยากาศทางการเมืองภายในประเทศ (3) การดูแลภาคเศรษฐกิจที่ยังมีข้อจำกัดในการฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่องซึ่งการฟื้นตัวยังมีข้อจำกัดจากมาตรการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศ รวมทั้งการพิจารณามาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเพิ่มเติม (4) การรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ (5) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าเพื่อสร้างรายได้เงินตราต่างประเทศ โดย (i) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าที่ได้รับประโยชน์จากการระบาดของโรค (ii) การสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของสินค้าไทยควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการป้องกันการระบาดของโรคในพื้นที่ฐานการผลิตสำคัญอย่างเข้มงวด (iii) การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าภายใต้กรอบความร่วมมือที่สำคัญ (iv) การให้ความสำคัญกับข้อตกลงระหว่างประเทศที่สำคัญ ๆ ที่อาจถูกหยิบยกเป็นเครื่องมือสำหรับการดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้า (v) การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานสินค้า (vi) การลดต้นทุนการผลิตสินค้าที่สำคัญ ๆ เพื่อลดแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาท และ (vii) การป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน (6) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับ (i) การเร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2561 ? 2563 ให้เกิดการลงทุนจริง (ii) การแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจ (iii) การดำเนินมาตรการส่งเสริมการลงทุนเชิงรุกและอำนวยความสะดวกสำหรับนักลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (iv) การขับเคลื่อนการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และ (v) การขับเคลื่อนมาตรการสร้างศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง (7) การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ (8) การเตรียมมาตรการรองรับความเสี่ยงจากสถานการณ์ภัยแล้งและการดูแลรายได้เกษตรกร และ (9) การติดตามและเตรียมการรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนในระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์สูงและอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเพิ่มเติมควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

ที่มา: ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ