คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานสรุปผลการปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยจาก
เหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ ในเรื่องการอำนวยการแก้ไขปัญหา การค้นหาและเก็บกู้ศพ จำนวนผู้เสียชีวิต
ตลอดจนการฟื้นฟูบูรณะสิ่งปรักหักพังและแหล่งท่องเที่ยว จนถึงวันที่ 9 มกราคม 2548 ดังนี้
1. การจัดทำระบบข้อมูลสารสนเทศ (Data base) จังหวัดที่ประสบภัย 6 จังหวัด ได้ส่งผลการ
จัดเก็บข้อมูลในพื้นที่และนำมาบันทึกในระบบ (Program) ที่ศูนย์อำนวยการฯ ณ จังหวัดภูเก็ต จัดเตรียมไว้ และ
นำฐานข้อมูล (Data base) มาประมวลผลเบื้องต้น สรุปรายงานข้อมูลในภาพรวมของ 6 จังหวัด เกี่ยวกับความ
เสียหาย ได้ดังนี้
1.1. พื้นที่ประสบภัยพิบัติ บริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันของจังหวัดภาคใต้
ฝั่งตะวันตก 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล รวม 24 อำเภอ/กิ่งอำเภอ
78 ตำบล 292 หมู่บ้าน โดยจังหวัดพังงาประสบภัยรุนแรงที่สุด
1.2 ราษฎรได้รับความเดือดร้อน มีจำนวน 53,203 คน 12,293 ครอบครัว
1.3 จำนวนผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และสูญหาย (ข้อมูลถึงวันที่ 9 มกราคม 2548)
- จำนวนผู้เสียชีวิต จำนวน 5,303 คน (แยกเป็นคนไทย 1,790 คน
ชาวต่างประเทศ 1,354 คน ไม่สามารถระบุได้ (Unidentified) 2,159 คน)
- บาดเจ็บ รวม 8,457 คน (แยกเป็นคนไทย 6,065 คน
ชาวต่างประเทศ 2,392 คน)
- รับแจ้งสูญหาย รวม 3,396 คน (ได้ผ่านการตรวจสอบครั้งที่ 3
ณ วันที่ 9 มกราคม 2548 โดยตัดรายชื่อแจ้งซ้ำ/กลับภูมิลำเนาเดิม/บาดเจ็บ/เสียชีวิต/พบตัว แล้ว)
1.4 ความเสียหายต่อทรัพย์สิน
- บ้านเรือนราษฎรเสียหาย รวม 7,053 หลัง แยกเป็นเสียหายทั้งหลัง
3,674 หลัง เสียหายบางส่วน 3,379 หลัง
- พื้นที่การเกษตร 2,389 ไร่ บ่อปลา/นากุ้ง เสียหาย 1,224 แห่ง
โค/กระบือ 651 ตัว แพะ/แกะ 744 ตัว สัตว์ปีก 4,044 ตัว
- ด้านเครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ ได้แก่ เรือประมงขนาดใหญ่
1,214 ลำ เรือประมงขนาดเล็ก 4,337 ลำ อวน 14,272 อวน กระชังปลาและหอย 7,650 หลุม
โป๊ะ 656 โป๊ะ ลอบ 61,367 ลอบ
- มูลค่าความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการประกอบอาชีพของราษฎรทั้ง
6 จังหวัด ประเมินในขั้นต้นประมาณ 9,168.94 ล้านบาท (ไม่รวมบ้าน/ที่อยู่อาศัย)
1.5 ความเสียหายด้านสิ่งสาธารณประโยชน์
ผลการสำรวจความเสียหายด้านสิ่งสาธารณประโยชน์เบื้องต้น พบว่าจังหวัดพังงา
และภูเก็ต มีมูลค่าความเสียหายใกล้เคียงกัน ประมาณว่าไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท โดยท่าเทียบเรือและระบบ
ไฟฟ้ามีความเสียหายเป็น มูลค่ามากที่สุด แยกเป็น ท่าเทียบเรือ 83 แห่ง สะพาน คสล. 17 แห่ง สะพานไม้
11 แห่ง ท่อเหลี่ยม (คสล.) 2 แห่ง ถนน 77 แห่ง ทำนบ/เหมือง/ฝาย 1 แห่ง พนังกั้นน้ำ/เขื่อน 6 แห่ง
ระบบไฟฟ้า 32 แห่ง ระบบประปา 15 แห่ง โทรศัพท์ 16 แห่ง และอื่น ๆ 25 แห่ง โดยมูลค่าความ
เสียหายสิ่งสาธารณประโยชน์ที่ประเมินในขั้นต้น ประมาณ 1,028.28 ล้านบาท
1.6 ความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อม
การสำรวจความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อม เป็นการประเมินเบื้องต้นที่สามารถ
สังเกตได้ ดังนี้ แนวปะการังเสียหายเล็กน้อยประมาณ 3,146 ไร่ เสียหายมากประมาณ 550 ไร่ ชายหาด
ส่วนใหญ่เสียหายมาก พื้นที่ประมาณ 6,200 ไร่ ป่าชายเลนเสียหายมากประมาณ 555 ไร่ เสียหายเล็กน้อย
1,860 ไร่ ป่าไม้เสียหายประมาณ 500 ไร่ แหล่งน้ำจืด/บ่อน้ำตื้นเสียหาย 222 บ่อ บ่อบาดาล 50 บ่อ
พื้นที่ทิ้งขยะ สถานที่ฝังกลบขยะเสียหายประมาณ 2 ไร่ สภาพพื้นที่เสื่อมโทรม (ดิมเค็ม) ประมาณ 423.5 ไร่
2. การตรวจพิสูจน์ยืนยันบุคคลผู้เสียชีวิต
2.1 เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติคลื่นยักษ์ สึนามิ (Tsunami) เป็นจำนวนมาก
ถึง 5,303 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 9 มกราคม 2548) ขณะนี้มีจำนวนที่สามารถยืนยันพิสูจน์ตัวบุคคลหรือญาติยืนยันแล้ว
และจำนวนศพที่ยังยืนยันไม่ได้ (Unidentified) ดังนี้ ยืนยันได้แล้ว จำนวน 1,565 ศพ (ไทย 1,365 ศพ
ต่างชาติ 200 ศพ) และยังยืนยันไม่ได้ (Unidentified) จำนวน 3,685 ศพ (ไทย 11 ศพ ต่างชาติ
1,030 ศพ ระบุไม่ได้ 2,644 ศพ
2.2 คณะอนุกรรมการปฏิบัติการชันสูตรพลิกศพและพิสูจน์เอกลักษณ์ศพ สรุปแนวทางการ
ดำเนินการ ดังนี้
การดำเนินการเกี่ยวกับศพ
ให้ทุกหน่วยจัดส่งข้อมูลเกี่ยวกับศพที่ได้จัดเก็บไว้ทั้งหมด ไปรวมไว้ที่ศูนย์ปฏิบัติการชันสูตรพลิกศพและ
พิสูจน์เอกลักษณ์ศพ ซึ่งตั้งอยู่ ณ กระทรวงสาธารณสุขให้กระทวงการต่างประเทศ อำนวยความสะดวกในการติดต่อ
ประสานงานและจัดส่ง DNA ของศพไปให้ประเทศจีนช่วยตรวจพิสูจน์ แบ่งการจัดส่งเป็น 4 ครั้ง ตามลำดับหน่วย
ที่จัดเก็บ DNA จากศพ เพื่อป้องกันความสับสนและผิดพลาดการตรวจ DNA ให้ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์
ญาติผู้เสียชีวิต
ญาติของผู้เสียชีวิตสามารถติดต่อให้ข้อมูลเบื้องต้น และมอบตัวอย่าง DNA ทั้งของผู้เสียชีวิตและญาติ
ใกล้ชิดได้ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดทุกแห่ง สำหรับในกรุงเทพมหานครทำการตรวจวิเคราะห์ได้ที่โรงพยาบาล
รามาธิบดี โรงพยาบาลศิริราช สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และสถาบันนิติเวชวิทยา ในต่างประเทศจะขอให้รัฐบาลของ
คนชาตินั้นส่งผล DNA มายังสถานทูตของประเทศนั้นประจำประเทศไทย จากนั้นให้ส่งต่อมาที่กระทรวงการต่าง
ประเทศเพื่อส่งให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการต่อไปการตรวจพิสูจน์ DNA ญาติผู้เสียชีวิตไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ใด ๆ ทั้งสิ้น
ด้านการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรม (DNA)
ทุกศพจะได้รับการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล (DNA) โดยเท่าเทียมกัน หากหน่วยพิสูจน์เอกลักษณ์
บุคคล (Disaster Victim Identification : DVI) ซึ่งประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ อาทิ
นิติเวช เคมี ทันตแพทย์ มีความประสงค์ที่จะตรวจวิเคราะห์ DNA ของศพอีกครั้งก็สามารถทำได้ตัวอย่างเนื้อเยื่อ
Sample ที่ DVI เก็บได้จากศพจะส่งไปที่ Lab ของประเทศจีน เพื่อดำเนินการโดยเร็วที่สุด ทีม DVI และ
ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายไทยและจีน จะจัดทำ Standard protocol ร่วมกัน ซึ่งจะกำหนดวิธีการและขั้นตอนหรือกระบวน
การต่าง ๆ ในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไป คาดว่าจะแล้วเสร็จในวันอังคารที่
11 มกราคม 2548 และจะมี Joint press conference ในวันเดียวกันที่จังหวัดภูเก็ตสำหรับ Matching
Program จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและดำเนินการร่วมกันระหว่างหน่วยงาน DVI ตำรวจ และผู้เชี่ยวชาญจาก
คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยต่าง ๆ
การช่วยเหลือผู้ประสบภัย
3.1 การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย (จนถึงวันที่ 9 มกราคม 2548) ได้จ่ายเงินช่วยเหลือไป
แล้ว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 106,259,010 บาท แยกเป็นตามระเบียบกระทรวงการคลัง (งบ 50 ล้านบาท )
เป็นเงิน 36,495,010 บาท (ค่าจัดการศพ 1,492 ราย บาดเจ็บ 1,107 ราย)เงินกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบ
สาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเงิน 62,596,000 บาท (ค่าจัดการศพ 1,445 ราย บาดเจ็บ 9,617
ราย)เงินช่วยเหลือของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เป็นเงิน 7,168,000 บาท (ค่าขนย้ายครอบครัว/
สงเคราะห์ครอบครัว 4,299 ราย)การจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ประสบภัย
1) จัดบ้านชั่วคราว เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ประสบภัยรุนแรง ดังนี้
- จังหวัดพังงา ใน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอตะกั่วป่า ท้ายเหมือง และคุระบุรี
รวม 1,459 หลัง 660 เต้นท์ ซึ่งมีบ้านพักชั่วคราว (น็อคดาวน์) ของมูลนิธิ “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ)” จัดสร้าง
โดยกรมป้องกันและบรรเทา-สาธารณภัย จำนวน 106 หลัง ด้วย
- จังหวัดกระบี่ ที่อำเภอเกาะลันตา เรือนแถว 35 หลัง 60 เต้นท์
- จังหวัดระนอง ที่กิ่งอำเภอสุขสำราญ 42 หลัง
2) การก่อสร้างบ้านพักถาวร (หลังละ 100,000 บาท) ในพื้นที่ประสบภัยที่ได้รับ
ความเสียหายรุนแรง 4 จังหวัด ขณะนี้ได้สำรวจจำนวนความต้องการ มียอดรวมทั้งสิ้น 2,414 หลัง และจัด
เตรียมพื้นที่ก่อสร้างได้แล้ว ดังนี้
- จังหวัดพังงา ในพื้นที่ อ.ตะกั่วป่า ท้ายเหมือง และคุระบุรี จำนวน 1,946 หลัง
- จังหวัดระนอง ในพื้นที่ อ.กะเปอร์ และกิ่ง อ.สุขสำราญ จำนวน 178 หลัง
- จังหวัดภูเก็ต ในพื้นที่ อ.เมือง กะทู้ และถลาง จำนวน 180 หลัง
- จังหวัดกระบี่ ในพื้นที่ อ.เหนือคลอง และเกาะลันตา จำนวน 110 หลัง
ขณะนี้มีภาคเอกชนนำโดย ITV เสนอตัวร่วมบริจาคก่อสร้างบ้านถาวรให้ที่จังหวัดพังงา
500 หลัง และที่จังหวัดภูเก็ต 115 หลัง นอกจากนี้มีองค์กรที่เสนอตัวผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เข้าร่วม
บริจาคเงินก่อสร้างบ้านพักถาวร โรงเรียน และสถานพยาบาล เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดพังงา
อาทิเช่น
- ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ ร่วมบริจาคเงินก่อสร้างบ้านถาวรพร้อมระบบ
สาธารณูปโภค จำนวน 80 ล้านบาท และค่าก่อสร้างโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ
- สโมสรโรตารีประเทศไทย บ้านพักถาวร 100 หลัง
- มูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวัน บ้านพักถาวร 100 หลัง
- Korea International Cooperation Agency (KOICA) บ้านพักถาวร
5 ล้านเหรียญสหรัฐ
- หอการค้าภูเก็ต บ้านพักถาวร 100 หลัง
- กาชาดฟินแลนด์ เสนอตัวร่วมบริจาคเงินปรับปรุงโรงพยาบาลตะกั่วป่า และคุระบุรี
สถานีอนามัย 3 แห่ง
4. ผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2548
4.1 การฟื้นฟูจัดระเบียบการก่อสร้างอาคารสิ่งก่อสร้างและการจัดระเบียบชายหาด
ได้ดำเนินการใน 4 ภารกิจแล้ว ดังนี้
4.1.1 การทำความสะอาดขนย้ายซากปรักหักพังขยะมูลฝอย
จังหวัด รวมพื้นที่ทำความสะอาด พื้นที่ดำเนินการแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างดำเนินการ
1. ภูเก็ต 28 แห่ง 18 แห่ง 10 แห่ง (คาดว่าจะเสร็จใน 11 ม.ค. 48)
2. พังงา 14 แห่ง 4 แห่ง 10 แห่ง (เนื่องจากต้องระดมค้นหาศพ
คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง)
3. ระนอง 8 แห่ง 6 แห่ง 2 แห่ง (หาดบางเบนและทะเลนอก)
(คาดว่าจะเสร็จใน 11 ม.ค.48)
4. ตรัง 8 แห่ง 8 แห่ง -
5. กระบี่ 8 แห่ง 7 แห่ง 1 แห่ง (เกาะพีพี) (การเก็บขยะมูล
ฝอยเสร็จใน 9 ม.ค. 48 ซากปรักหักพัง
ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เนื่องจาก
ต้องขนเศษวัสดุทางเรือ)
6. สตูล ไม่มีความเสียหาย -
รวม 6 จังหวัด 66 แห่ง 43 แห่ง 23 แห่ง
4.1.2 ระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ
ในการสำรวจความเสียหายของระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการได้
ประเมินความเสียหายในเบื้องต้นของจังหวัดต่าง ๆ ได้ดังนี้ (1) จังหวัดระนอง เสียหาย 7,400,000 บาท
(2) จังหวัดพังงา เสียหาย 2,236,913,785 บาท (3) จังหวัดภูเก็ต เสียหาย 94,614,684 บาท
(4) จังหวัดกระบี่ เสียหาย 136,682,181 บาท (5) จังหวัดตรัง เสียหาย 5,045,281 บาท (6) จังหวัด
สตูล เสียหาย 28,093,280 บาท
รวมความเสียหายของระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการประมาณ
508,749,211 บาท (ห้าร้อยแปดล้านเจ็ดแสนสี่หมื่นเก้าพันสองร้อยสิบเอ็ดบาทถ้วน)
สำหรับความเสียหายด้านไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบ
คือ กฟภ. กปภ. และบริษัท ทศท.คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะดำเนินการซ่อมแซมเองเป็นเงินประมาณ
188 ล้านบาทเศษ
4.1.3 จัดระเบียบพื้นที่ชายหาด เพื่อกำหนดพื้นที่การใช้ประโยชน์ของ
พื้นที่ชายหาดให้เกิดความสวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย โดยได้มีประกาศกองอำนวยการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน
แห่งราชอาณาจักร ลงวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2548 เรื่อง กำหนดพื้นที่เพื่อการบูรณะ โดยกำหนดเขตพื้นที่ที่
ประสบภัย 6 จังหวัด เป็นพื้นที่เพื่อการฟื้นฟูบูรณะที่จำเป็นต้องจัดระเบียบ และได้มีการกำหนดเป็นนโยบายในการ
ขจัดผู้มีอิทธิพลที่เอารัดเอาเปรียบผู้ประกอบการและผู้ค้าขายในพื้นที่ดังกล่าว โดยให้จังหวัดทุกจังหวัด และองค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ดูแลการดำเนินการ
4.1.4 การฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว ปรับปรุงภูมิทัศน์ชายหาด (Beautify)
ในการพิจารณาดำเนินการเพื่อฟื้นฟูชายหาดแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด
ต่าง ๆ ได้มีแนวทางการดำเนินการโดยสรุป ดังนี้
(1) จังหวัดภูเก็ต มีชายหาดสำคัญที่ได้รับความเสียหาย
ต้องทำการฟื้นฟู 3 แห่ง ได้แก่
1) ชายหาดป่าตอง ททท.ดำเนินการจ้าง
บริษัทที่ปรึกษาออกแบบการปรับปรุงพื้นที่ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ
2) ชายหาดกมลา สำนักพัฒนาการ
ท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้จัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาทำการออกแบบฟื้นฟู ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนิน
การ
3) ชายหาดราไวย์ จังหวัดจะพิจารณาหา
หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการต่อไป
(2) จังหวัดพังงา มีพื้นที่ชายหาดที่ได้รับความเสียหาย
และต้องฟื้นฟู คือ
1) บริเวณหาดทะเลบางสัก อำเภอตะกั่วป่า
จะทำการฟื้นฟู คือสาธารณูปโภคพื้นฐาน และพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการจัด
ทำรายละเอียด
2) บริเวณชายหาดปะการัง อำเภอตะกั่วป่า
จะได้ทำการฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ใช้งบประมาณ 280 ล้านบาท
3) บริเวณหาดบางเนียง อำเภอตะกั่วป่า
จะทำการฟื้นฟูเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และตั้งอนุสรณ์สถานจากภัยธรณีพิบัติและคลื่นยักษ์ (Tsunami)
ใช้งบประมาณ 238 ล้านบาท
(3) จังหวัดกระบี่ พื้นที่ชายหาดที่ได้รับความเสียหายและ
ต้องทำการฟื้นฟู คือ พื้นที่บริเวณเกาะพีพี มีแนวทางการดำเนินการฟื้นฟู ดังนี้
1) จัดระเบียบบริเวณชายหาดทั้งหมดให้เป็น
ที่สาธารณประโยชน์ และพื้นที่เปิดโล่ง เพื่อเป็นอ่าวทั้ง 2 ด้านเชื่อมต่อกัน เพื่อเป็นพื้นที่ชายหาดขนาดใหญ่ต่อเนื่อง
กัน และสร้างอนุสรณ์สถานเตือนใจจากภัยคลื่นยักษ์ (Tsunami)
ปัญหาการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว
อาจเกิดปัญหาเรื่องที่ดินเอกชนที่ออกเอกสารสิทธิ์นานแล้ว ต้องมีการเวนคืนที่ดิน หรือการแลกเปลี่ยนสิทธิในที่ดิน
เพื่อจะพัฒนาตามแนวความคิดดังกล่าวต่อไป
2) แนวทางดำเนินการโดยใช้มาตรการทาง
ผังเมืองคือ
- กำหนดเขตพื้นที่ชายหาดที่จะ
ได้รับผลกระทบจากคลื่นที่มีความสูง 1 เมตรขึ้นไป เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยระดับสูง ห้ามมีการก่อสร้างทุกชนิด และทำ
การก่อสร้างเขื่อนเพื่อลดความเสียหายจากคลื่นทั้ง 2 อ่าว
- กำหนดมาตรการเฉพาะการ
ควบคุมการก่อสร้างอาคารชั้นล่าง โดยนำมาตรการความปลอดภัยมาใช้เพิ่มเติม เช่น กระจกนิรภัย เป็นต้น
- กำหนดแนวทางในการหลบภัย
จากคลื่นสึนามิหรืออื่น ๆ จำนวน 2 ชุด ให้อยู่บนพื้นที่สูงกว่า 15 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง พร้อมทั้ง
สร้างหอเตือนภัย
- โรงพยาบาลและโรงเรียน
จะต้องรื้อย้ายไปสร้างบนที่สูงเกินกว่า 15 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง พร้อมสร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์
เพื่อเป็นจุดช่วยเหลือเมื่อเกิดภัย
- ใช้มาตรการด้านการประกัน
ภัยน้ำท่วม เพื่อบรรเทาความเสียหายและความเดือดร้อนในทรัพย์สิน
แนวทางการดำเนินการเพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อมชายหาด
ดังกล่าวทั้งหมดข้างต้น เป็นแนวความคิดในเบื้องต้นเท่านั้น รายละเอียดและวิธีการจะต้องทำการศึกษาและออกแบบ
รายละเอียดต่อไป
4.2 การช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย
4.2.1 กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ได้สำรวจข้อมูลเบื้องต้น
โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ มีจำนวนผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหาย (ข้อมูลเบื้องต้น) 2,403 ราย
ดังนี้
(1) จังหวัดกระบี่ จำนวน 332 ราย
(2) จังหวัดพังงา จำนวน 530 ราย
(3) จังหวัดภูเก็ต จำนวน 1,421 ราย
(4) จังหวัดระนอง จำนวน 120 ราย
สำหรับจังหวัดตรัง มีความเสียหายเล็กน้อย ช่วยเหลือตัวเองได้ ส่วน
จังหวัดสตูล ผู้ประกอบการรายย่อยไม่ได้ผลกระทบแต่อย่างใด ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นการสำรวจเบื้องต้น และจะ
ต้องมีการประกาศและตรวจสอบคุณสมบัตอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้ตัวเลขจำนวนผู้ประกอบการรายย่อยมีมากขึ้น
4.2.2 ประเภทของผู้ประกอบการรายย่อยที่สำรวจ ได้แก่ กลุ่มอาชีพ
ค้าขายใช้อุปกรณ์รถเข็น หาบเร่ แผงลอยหรือเพิงขายของ กลุ่มอาชีพด้านบริการรายย่อย เช่น นวดแผนโบราณ
ตามชายหาด ให้เช่าเตียงริมชายหาด รถเช่า/รถรับจ้าง ฯลฯ
4.2.3 คณะอนุกรรมการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ประเภทผู้ประกอบการ
รายย่อย ซึ่งมีนายกว้าง รอบคอบ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฯ ได้กำหนดมาตรการ
การให้ความช่วยเหลือ มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
จำนวนผู้ประสบภัยประเภทผู้ประกอบการรายย่อย จากการ
สำรวจเบื้องต้น จำนวน 2,403 รายวงเงินช่วยเหลือจ่ายงบกลางเป็นเงินอุดหนุนทั่วไปให้กรมส่งเสริมการปกครอง
ท้องถิ่น เพื่อจัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวนทั้งสิ้น 60,060,000 บาท ประกอบด้วย
1) เงินช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่
ประสบภัยจากการสำรวจเบื้องต้น 2,403 ราย ๆ ละ 20,000 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 48,060,000 บาท โดยจ่าย
จากเงินงบกลาง
2) วงเงินสำรองกรณีได้รับรายงานมีผู้
ประกอบการรายย่อยเสียหายเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 คิดเป็นจำนวน 600 ราย รายละ 20,000 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น
12,000,000 บาท โดยจ่ายจากเงินงบกลาง
ในการนี้จำเป็นต้องขออนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบ
หลักเกณฑ์และหนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการเบิกจ่ายเงินงบกลางดังกล่าว
(3) มาตรการให้ความช่วยเหลือ แบ่งเป็น
สองระยะ คือ
1) มาตรการระยะสั้น เป็น
มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยให้สามารถประกอบอาชีพในเบื้องต้นได้ และเป็นการจัดระเบียบ
พื้นที่
2) มาตรการระยะปานกลาง
และระยะยาว เป็นการช่วยเหลือของหน่วยงานต่าง ๆ โดยตรง เช่น โครงการธนาคารประชาชน โครงการ
แปลงสินทรัพย์เป็นทุน
3) มาตรการให้ความช่วย
เหลือผู้ประกอบรายย่อย ได้นำเสนอคณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากธรณีพิบัติ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี
(นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) เป็นประธาน เพื่อพิจารณาในการประชุมเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2548 แล้ว
5. ความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน (ก.ท.บ.) สมาชิกโครงการแก้ไขปัญหาความ
ยากจน (กข.คจ.) และสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต ซึ่งกรมการพัฒนาชุมชนได้สำรวจความเสียหายที่เกิด
ขึ้นกับสมาชิกกองทุนต่าง ๆ ดังกล่าว ในเบื้องต้น ในพื้นที่ 6 จังหวัด สรุปได้ดังนี้
- สมาชิก ก.ท.บ. เสียชีวิต 114 คน หนี้ค้างชำระ 1,841,977 บาท บาดเจ็บ
257 คน หนี้ค้างชำระ 3,747,302 บาท
- สมาชิก กข.คจ. เสียชีวิต 2 คน หนี้ค้างชำระ 30,000 บาท บาดเจ็บ 47
คน หนี้ค้างชำระ 470,000 บาท
- สมาชิกกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต เสียชีวิต 2 คน หนี้ค้างชำระ 10,000 บาท
บาดเจ็บ 94 คน หนี้ค้างชำระ 631,985 บาท
สำหรับแนวทางการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ กรมการพัฒนาชุมชนจะได้ประสานงานแจ้งให้หน่วย
งานที่รับผิดชอบพิจารณาตามแนวทางที่กำหนดไว้ในระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
6. กรณีหลักหมุดที่ดินสูญหายหรือชำรุด กรมที่ดินได้จัดทำโครงการรังวัดสอบเขตที่ดินในพื้นที่ประสบ
ภัยทั้ง 6 จังหวัด แล้วจะดำเนินการปักหมุดที่ดินใหม่ให้กับผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน สำหรับกรณีเอกสารสิทธิ์ชำรุดหรือ
สูญหายเนื่องจากประสบภัย จะดำเนินการตามระเบียบที่เกี่ยวข้องและดำเนินการออกใบแทนเอกสารสิทธิ์ให้ใหม่
โดยกรมที่ดินจะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประสบภัย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 11 มกราคม 2548--จบ--
เหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ ในเรื่องการอำนวยการแก้ไขปัญหา การค้นหาและเก็บกู้ศพ จำนวนผู้เสียชีวิต
ตลอดจนการฟื้นฟูบูรณะสิ่งปรักหักพังและแหล่งท่องเที่ยว จนถึงวันที่ 9 มกราคม 2548 ดังนี้
1. การจัดทำระบบข้อมูลสารสนเทศ (Data base) จังหวัดที่ประสบภัย 6 จังหวัด ได้ส่งผลการ
จัดเก็บข้อมูลในพื้นที่และนำมาบันทึกในระบบ (Program) ที่ศูนย์อำนวยการฯ ณ จังหวัดภูเก็ต จัดเตรียมไว้ และ
นำฐานข้อมูล (Data base) มาประมวลผลเบื้องต้น สรุปรายงานข้อมูลในภาพรวมของ 6 จังหวัด เกี่ยวกับความ
เสียหาย ได้ดังนี้
1.1. พื้นที่ประสบภัยพิบัติ บริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันของจังหวัดภาคใต้
ฝั่งตะวันตก 6 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล รวม 24 อำเภอ/กิ่งอำเภอ
78 ตำบล 292 หมู่บ้าน โดยจังหวัดพังงาประสบภัยรุนแรงที่สุด
1.2 ราษฎรได้รับความเดือดร้อน มีจำนวน 53,203 คน 12,293 ครอบครัว
1.3 จำนวนผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และสูญหาย (ข้อมูลถึงวันที่ 9 มกราคม 2548)
- จำนวนผู้เสียชีวิต จำนวน 5,303 คน (แยกเป็นคนไทย 1,790 คน
ชาวต่างประเทศ 1,354 คน ไม่สามารถระบุได้ (Unidentified) 2,159 คน)
- บาดเจ็บ รวม 8,457 คน (แยกเป็นคนไทย 6,065 คน
ชาวต่างประเทศ 2,392 คน)
- รับแจ้งสูญหาย รวม 3,396 คน (ได้ผ่านการตรวจสอบครั้งที่ 3
ณ วันที่ 9 มกราคม 2548 โดยตัดรายชื่อแจ้งซ้ำ/กลับภูมิลำเนาเดิม/บาดเจ็บ/เสียชีวิต/พบตัว แล้ว)
1.4 ความเสียหายต่อทรัพย์สิน
- บ้านเรือนราษฎรเสียหาย รวม 7,053 หลัง แยกเป็นเสียหายทั้งหลัง
3,674 หลัง เสียหายบางส่วน 3,379 หลัง
- พื้นที่การเกษตร 2,389 ไร่ บ่อปลา/นากุ้ง เสียหาย 1,224 แห่ง
โค/กระบือ 651 ตัว แพะ/แกะ 744 ตัว สัตว์ปีก 4,044 ตัว
- ด้านเครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ ได้แก่ เรือประมงขนาดใหญ่
1,214 ลำ เรือประมงขนาดเล็ก 4,337 ลำ อวน 14,272 อวน กระชังปลาและหอย 7,650 หลุม
โป๊ะ 656 โป๊ะ ลอบ 61,367 ลอบ
- มูลค่าความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการประกอบอาชีพของราษฎรทั้ง
6 จังหวัด ประเมินในขั้นต้นประมาณ 9,168.94 ล้านบาท (ไม่รวมบ้าน/ที่อยู่อาศัย)
1.5 ความเสียหายด้านสิ่งสาธารณประโยชน์
ผลการสำรวจความเสียหายด้านสิ่งสาธารณประโยชน์เบื้องต้น พบว่าจังหวัดพังงา
และภูเก็ต มีมูลค่าความเสียหายใกล้เคียงกัน ประมาณว่าไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท โดยท่าเทียบเรือและระบบ
ไฟฟ้ามีความเสียหายเป็น มูลค่ามากที่สุด แยกเป็น ท่าเทียบเรือ 83 แห่ง สะพาน คสล. 17 แห่ง สะพานไม้
11 แห่ง ท่อเหลี่ยม (คสล.) 2 แห่ง ถนน 77 แห่ง ทำนบ/เหมือง/ฝาย 1 แห่ง พนังกั้นน้ำ/เขื่อน 6 แห่ง
ระบบไฟฟ้า 32 แห่ง ระบบประปา 15 แห่ง โทรศัพท์ 16 แห่ง และอื่น ๆ 25 แห่ง โดยมูลค่าความ
เสียหายสิ่งสาธารณประโยชน์ที่ประเมินในขั้นต้น ประมาณ 1,028.28 ล้านบาท
1.6 ความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อม
การสำรวจความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อม เป็นการประเมินเบื้องต้นที่สามารถ
สังเกตได้ ดังนี้ แนวปะการังเสียหายเล็กน้อยประมาณ 3,146 ไร่ เสียหายมากประมาณ 550 ไร่ ชายหาด
ส่วนใหญ่เสียหายมาก พื้นที่ประมาณ 6,200 ไร่ ป่าชายเลนเสียหายมากประมาณ 555 ไร่ เสียหายเล็กน้อย
1,860 ไร่ ป่าไม้เสียหายประมาณ 500 ไร่ แหล่งน้ำจืด/บ่อน้ำตื้นเสียหาย 222 บ่อ บ่อบาดาล 50 บ่อ
พื้นที่ทิ้งขยะ สถานที่ฝังกลบขยะเสียหายประมาณ 2 ไร่ สภาพพื้นที่เสื่อมโทรม (ดิมเค็ม) ประมาณ 423.5 ไร่
2. การตรวจพิสูจน์ยืนยันบุคคลผู้เสียชีวิต
2.1 เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติคลื่นยักษ์ สึนามิ (Tsunami) เป็นจำนวนมาก
ถึง 5,303 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 9 มกราคม 2548) ขณะนี้มีจำนวนที่สามารถยืนยันพิสูจน์ตัวบุคคลหรือญาติยืนยันแล้ว
และจำนวนศพที่ยังยืนยันไม่ได้ (Unidentified) ดังนี้ ยืนยันได้แล้ว จำนวน 1,565 ศพ (ไทย 1,365 ศพ
ต่างชาติ 200 ศพ) และยังยืนยันไม่ได้ (Unidentified) จำนวน 3,685 ศพ (ไทย 11 ศพ ต่างชาติ
1,030 ศพ ระบุไม่ได้ 2,644 ศพ
2.2 คณะอนุกรรมการปฏิบัติการชันสูตรพลิกศพและพิสูจน์เอกลักษณ์ศพ สรุปแนวทางการ
ดำเนินการ ดังนี้
การดำเนินการเกี่ยวกับศพ
ให้ทุกหน่วยจัดส่งข้อมูลเกี่ยวกับศพที่ได้จัดเก็บไว้ทั้งหมด ไปรวมไว้ที่ศูนย์ปฏิบัติการชันสูตรพลิกศพและ
พิสูจน์เอกลักษณ์ศพ ซึ่งตั้งอยู่ ณ กระทรวงสาธารณสุขให้กระทวงการต่างประเทศ อำนวยความสะดวกในการติดต่อ
ประสานงานและจัดส่ง DNA ของศพไปให้ประเทศจีนช่วยตรวจพิสูจน์ แบ่งการจัดส่งเป็น 4 ครั้ง ตามลำดับหน่วย
ที่จัดเก็บ DNA จากศพ เพื่อป้องกันความสับสนและผิดพลาดการตรวจ DNA ให้ใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์
ญาติผู้เสียชีวิต
ญาติของผู้เสียชีวิตสามารถติดต่อให้ข้อมูลเบื้องต้น และมอบตัวอย่าง DNA ทั้งของผู้เสียชีวิตและญาติ
ใกล้ชิดได้ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดทุกแห่ง สำหรับในกรุงเทพมหานครทำการตรวจวิเคราะห์ได้ที่โรงพยาบาล
รามาธิบดี โรงพยาบาลศิริราช สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และสถาบันนิติเวชวิทยา ในต่างประเทศจะขอให้รัฐบาลของ
คนชาตินั้นส่งผล DNA มายังสถานทูตของประเทศนั้นประจำประเทศไทย จากนั้นให้ส่งต่อมาที่กระทรวงการต่าง
ประเทศเพื่อส่งให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการต่อไปการตรวจพิสูจน์ DNA ญาติผู้เสียชีวิตไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ใด ๆ ทั้งสิ้น
ด้านการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรม (DNA)
ทุกศพจะได้รับการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล (DNA) โดยเท่าเทียมกัน หากหน่วยพิสูจน์เอกลักษณ์
บุคคล (Disaster Victim Identification : DVI) ซึ่งประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ อาทิ
นิติเวช เคมี ทันตแพทย์ มีความประสงค์ที่จะตรวจวิเคราะห์ DNA ของศพอีกครั้งก็สามารถทำได้ตัวอย่างเนื้อเยื่อ
Sample ที่ DVI เก็บได้จากศพจะส่งไปที่ Lab ของประเทศจีน เพื่อดำเนินการโดยเร็วที่สุด ทีม DVI และ
ผู้เชี่ยวชาญฝ่ายไทยและจีน จะจัดทำ Standard protocol ร่วมกัน ซึ่งจะกำหนดวิธีการและขั้นตอนหรือกระบวน
การต่าง ๆ ในการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไป คาดว่าจะแล้วเสร็จในวันอังคารที่
11 มกราคม 2548 และจะมี Joint press conference ในวันเดียวกันที่จังหวัดภูเก็ตสำหรับ Matching
Program จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและดำเนินการร่วมกันระหว่างหน่วยงาน DVI ตำรวจ และผู้เชี่ยวชาญจาก
คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยต่าง ๆ
การช่วยเหลือผู้ประสบภัย
3.1 การจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย (จนถึงวันที่ 9 มกราคม 2548) ได้จ่ายเงินช่วยเหลือไป
แล้ว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 106,259,010 บาท แยกเป็นตามระเบียบกระทรวงการคลัง (งบ 50 ล้านบาท )
เป็นเงิน 36,495,010 บาท (ค่าจัดการศพ 1,492 ราย บาดเจ็บ 1,107 ราย)เงินกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบ
สาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเงิน 62,596,000 บาท (ค่าจัดการศพ 1,445 ราย บาดเจ็บ 9,617
ราย)เงินช่วยเหลือของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เป็นเงิน 7,168,000 บาท (ค่าขนย้ายครอบครัว/
สงเคราะห์ครอบครัว 4,299 ราย)การจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้ประสบภัย
1) จัดบ้านชั่วคราว เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ประสบภัยรุนแรง ดังนี้
- จังหวัดพังงา ใน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอตะกั่วป่า ท้ายเหมือง และคุระบุรี
รวม 1,459 หลัง 660 เต้นท์ ซึ่งมีบ้านพักชั่วคราว (น็อคดาวน์) ของมูลนิธิ “เพื่อนพึ่ง (ภาฯ)” จัดสร้าง
โดยกรมป้องกันและบรรเทา-สาธารณภัย จำนวน 106 หลัง ด้วย
- จังหวัดกระบี่ ที่อำเภอเกาะลันตา เรือนแถว 35 หลัง 60 เต้นท์
- จังหวัดระนอง ที่กิ่งอำเภอสุขสำราญ 42 หลัง
2) การก่อสร้างบ้านพักถาวร (หลังละ 100,000 บาท) ในพื้นที่ประสบภัยที่ได้รับ
ความเสียหายรุนแรง 4 จังหวัด ขณะนี้ได้สำรวจจำนวนความต้องการ มียอดรวมทั้งสิ้น 2,414 หลัง และจัด
เตรียมพื้นที่ก่อสร้างได้แล้ว ดังนี้
- จังหวัดพังงา ในพื้นที่ อ.ตะกั่วป่า ท้ายเหมือง และคุระบุรี จำนวน 1,946 หลัง
- จังหวัดระนอง ในพื้นที่ อ.กะเปอร์ และกิ่ง อ.สุขสำราญ จำนวน 178 หลัง
- จังหวัดภูเก็ต ในพื้นที่ อ.เมือง กะทู้ และถลาง จำนวน 180 หลัง
- จังหวัดกระบี่ ในพื้นที่ อ.เหนือคลอง และเกาะลันตา จำนวน 110 หลัง
ขณะนี้มีภาคเอกชนนำโดย ITV เสนอตัวร่วมบริจาคก่อสร้างบ้านถาวรให้ที่จังหวัดพังงา
500 หลัง และที่จังหวัดภูเก็ต 115 หลัง นอกจากนี้มีองค์กรที่เสนอตัวผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เข้าร่วม
บริจาคเงินก่อสร้างบ้านพักถาวร โรงเรียน และสถานพยาบาล เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่จังหวัดพังงา
อาทิเช่น
- ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ ร่วมบริจาคเงินก่อสร้างบ้านถาวรพร้อมระบบ
สาธารณูปโภค จำนวน 80 ล้านบาท และค่าก่อสร้างโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ
- สโมสรโรตารีประเทศไทย บ้านพักถาวร 100 หลัง
- มูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวัน บ้านพักถาวร 100 หลัง
- Korea International Cooperation Agency (KOICA) บ้านพักถาวร
5 ล้านเหรียญสหรัฐ
- หอการค้าภูเก็ต บ้านพักถาวร 100 หลัง
- กาชาดฟินแลนด์ เสนอตัวร่วมบริจาคเงินปรับปรุงโรงพยาบาลตะกั่วป่า และคุระบุรี
สถานีอนามัย 3 แห่ง
4. ผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2548
4.1 การฟื้นฟูจัดระเบียบการก่อสร้างอาคารสิ่งก่อสร้างและการจัดระเบียบชายหาด
ได้ดำเนินการใน 4 ภารกิจแล้ว ดังนี้
4.1.1 การทำความสะอาดขนย้ายซากปรักหักพังขยะมูลฝอย
จังหวัด รวมพื้นที่ทำความสะอาด พื้นที่ดำเนินการแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างดำเนินการ
1. ภูเก็ต 28 แห่ง 18 แห่ง 10 แห่ง (คาดว่าจะเสร็จใน 11 ม.ค. 48)
2. พังงา 14 แห่ง 4 แห่ง 10 แห่ง (เนื่องจากต้องระดมค้นหาศพ
คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง)
3. ระนอง 8 แห่ง 6 แห่ง 2 แห่ง (หาดบางเบนและทะเลนอก)
(คาดว่าจะเสร็จใน 11 ม.ค.48)
4. ตรัง 8 แห่ง 8 แห่ง -
5. กระบี่ 8 แห่ง 7 แห่ง 1 แห่ง (เกาะพีพี) (การเก็บขยะมูล
ฝอยเสร็จใน 9 ม.ค. 48 ซากปรักหักพัง
ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เนื่องจาก
ต้องขนเศษวัสดุทางเรือ)
6. สตูล ไม่มีความเสียหาย -
รวม 6 จังหวัด 66 แห่ง 43 แห่ง 23 แห่ง
4.1.2 ระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ
ในการสำรวจความเสียหายของระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการได้
ประเมินความเสียหายในเบื้องต้นของจังหวัดต่าง ๆ ได้ดังนี้ (1) จังหวัดระนอง เสียหาย 7,400,000 บาท
(2) จังหวัดพังงา เสียหาย 2,236,913,785 บาท (3) จังหวัดภูเก็ต เสียหาย 94,614,684 บาท
(4) จังหวัดกระบี่ เสียหาย 136,682,181 บาท (5) จังหวัดตรัง เสียหาย 5,045,281 บาท (6) จังหวัด
สตูล เสียหาย 28,093,280 บาท
รวมความเสียหายของระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการประมาณ
508,749,211 บาท (ห้าร้อยแปดล้านเจ็ดแสนสี่หมื่นเก้าพันสองร้อยสิบเอ็ดบาทถ้วน)
สำหรับความเสียหายด้านไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบ
คือ กฟภ. กปภ. และบริษัท ทศท.คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะดำเนินการซ่อมแซมเองเป็นเงินประมาณ
188 ล้านบาทเศษ
4.1.3 จัดระเบียบพื้นที่ชายหาด เพื่อกำหนดพื้นที่การใช้ประโยชน์ของ
พื้นที่ชายหาดให้เกิดความสวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อย โดยได้มีประกาศกองอำนวยการป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน
แห่งราชอาณาจักร ลงวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2548 เรื่อง กำหนดพื้นที่เพื่อการบูรณะ โดยกำหนดเขตพื้นที่ที่
ประสบภัย 6 จังหวัด เป็นพื้นที่เพื่อการฟื้นฟูบูรณะที่จำเป็นต้องจัดระเบียบ และได้มีการกำหนดเป็นนโยบายในการ
ขจัดผู้มีอิทธิพลที่เอารัดเอาเปรียบผู้ประกอบการและผู้ค้าขายในพื้นที่ดังกล่าว โดยให้จังหวัดทุกจังหวัด และองค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ดูแลการดำเนินการ
4.1.4 การฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว ปรับปรุงภูมิทัศน์ชายหาด (Beautify)
ในการพิจารณาดำเนินการเพื่อฟื้นฟูชายหาดแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด
ต่าง ๆ ได้มีแนวทางการดำเนินการโดยสรุป ดังนี้
(1) จังหวัดภูเก็ต มีชายหาดสำคัญที่ได้รับความเสียหาย
ต้องทำการฟื้นฟู 3 แห่ง ได้แก่
1) ชายหาดป่าตอง ททท.ดำเนินการจ้าง
บริษัทที่ปรึกษาออกแบบการปรับปรุงพื้นที่ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ
2) ชายหาดกมลา สำนักพัฒนาการ
ท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้จัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาทำการออกแบบฟื้นฟู ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนิน
การ
3) ชายหาดราไวย์ จังหวัดจะพิจารณาหา
หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการต่อไป
(2) จังหวัดพังงา มีพื้นที่ชายหาดที่ได้รับความเสียหาย
และต้องฟื้นฟู คือ
1) บริเวณหาดทะเลบางสัก อำเภอตะกั่วป่า
จะทำการฟื้นฟู คือสาธารณูปโภคพื้นฐาน และพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการจัด
ทำรายละเอียด
2) บริเวณชายหาดปะการัง อำเภอตะกั่วป่า
จะได้ทำการฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ใช้งบประมาณ 280 ล้านบาท
3) บริเวณหาดบางเนียง อำเภอตะกั่วป่า
จะทำการฟื้นฟูเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และตั้งอนุสรณ์สถานจากภัยธรณีพิบัติและคลื่นยักษ์ (Tsunami)
ใช้งบประมาณ 238 ล้านบาท
(3) จังหวัดกระบี่ พื้นที่ชายหาดที่ได้รับความเสียหายและ
ต้องทำการฟื้นฟู คือ พื้นที่บริเวณเกาะพีพี มีแนวทางการดำเนินการฟื้นฟู ดังนี้
1) จัดระเบียบบริเวณชายหาดทั้งหมดให้เป็น
ที่สาธารณประโยชน์ และพื้นที่เปิดโล่ง เพื่อเป็นอ่าวทั้ง 2 ด้านเชื่อมต่อกัน เพื่อเป็นพื้นที่ชายหาดขนาดใหญ่ต่อเนื่อง
กัน และสร้างอนุสรณ์สถานเตือนใจจากภัยคลื่นยักษ์ (Tsunami)
ปัญหาการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว
อาจเกิดปัญหาเรื่องที่ดินเอกชนที่ออกเอกสารสิทธิ์นานแล้ว ต้องมีการเวนคืนที่ดิน หรือการแลกเปลี่ยนสิทธิในที่ดิน
เพื่อจะพัฒนาตามแนวความคิดดังกล่าวต่อไป
2) แนวทางดำเนินการโดยใช้มาตรการทาง
ผังเมืองคือ
- กำหนดเขตพื้นที่ชายหาดที่จะ
ได้รับผลกระทบจากคลื่นที่มีความสูง 1 เมตรขึ้นไป เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยระดับสูง ห้ามมีการก่อสร้างทุกชนิด และทำ
การก่อสร้างเขื่อนเพื่อลดความเสียหายจากคลื่นทั้ง 2 อ่าว
- กำหนดมาตรการเฉพาะการ
ควบคุมการก่อสร้างอาคารชั้นล่าง โดยนำมาตรการความปลอดภัยมาใช้เพิ่มเติม เช่น กระจกนิรภัย เป็นต้น
- กำหนดแนวทางในการหลบภัย
จากคลื่นสึนามิหรืออื่น ๆ จำนวน 2 ชุด ให้อยู่บนพื้นที่สูงกว่า 15 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง พร้อมทั้ง
สร้างหอเตือนภัย
- โรงพยาบาลและโรงเรียน
จะต้องรื้อย้ายไปสร้างบนที่สูงเกินกว่า 15 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง พร้อมสร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์
เพื่อเป็นจุดช่วยเหลือเมื่อเกิดภัย
- ใช้มาตรการด้านการประกัน
ภัยน้ำท่วม เพื่อบรรเทาความเสียหายและความเดือดร้อนในทรัพย์สิน
แนวทางการดำเนินการเพื่อฟื้นฟูสภาพแวดล้อมชายหาด
ดังกล่าวทั้งหมดข้างต้น เป็นแนวความคิดในเบื้องต้นเท่านั้น รายละเอียดและวิธีการจะต้องทำการศึกษาและออกแบบ
รายละเอียดต่อไป
4.2 การช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย
4.2.1 กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ได้สำรวจข้อมูลเบื้องต้น
โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ มีจำนวนผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหาย (ข้อมูลเบื้องต้น) 2,403 ราย
ดังนี้
(1) จังหวัดกระบี่ จำนวน 332 ราย
(2) จังหวัดพังงา จำนวน 530 ราย
(3) จังหวัดภูเก็ต จำนวน 1,421 ราย
(4) จังหวัดระนอง จำนวน 120 ราย
สำหรับจังหวัดตรัง มีความเสียหายเล็กน้อย ช่วยเหลือตัวเองได้ ส่วน
จังหวัดสตูล ผู้ประกอบการรายย่อยไม่ได้ผลกระทบแต่อย่างใด ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นการสำรวจเบื้องต้น และจะ
ต้องมีการประกาศและตรวจสอบคุณสมบัตอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้ตัวเลขจำนวนผู้ประกอบการรายย่อยมีมากขึ้น
4.2.2 ประเภทของผู้ประกอบการรายย่อยที่สำรวจ ได้แก่ กลุ่มอาชีพ
ค้าขายใช้อุปกรณ์รถเข็น หาบเร่ แผงลอยหรือเพิงขายของ กลุ่มอาชีพด้านบริการรายย่อย เช่น นวดแผนโบราณ
ตามชายหาด ให้เช่าเตียงริมชายหาด รถเช่า/รถรับจ้าง ฯลฯ
4.2.3 คณะอนุกรรมการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ประเภทผู้ประกอบการ
รายย่อย ซึ่งมีนายกว้าง รอบคอบ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฯ ได้กำหนดมาตรการ
การให้ความช่วยเหลือ มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
จำนวนผู้ประสบภัยประเภทผู้ประกอบการรายย่อย จากการ
สำรวจเบื้องต้น จำนวน 2,403 รายวงเงินช่วยเหลือจ่ายงบกลางเป็นเงินอุดหนุนทั่วไปให้กรมส่งเสริมการปกครอง
ท้องถิ่น เพื่อจัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวนทั้งสิ้น 60,060,000 บาท ประกอบด้วย
1) เงินช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่
ประสบภัยจากการสำรวจเบื้องต้น 2,403 ราย ๆ ละ 20,000 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 48,060,000 บาท โดยจ่าย
จากเงินงบกลาง
2) วงเงินสำรองกรณีได้รับรายงานมีผู้
ประกอบการรายย่อยเสียหายเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 คิดเป็นจำนวน 600 ราย รายละ 20,000 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น
12,000,000 บาท โดยจ่ายจากเงินงบกลาง
ในการนี้จำเป็นต้องขออนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบ
หลักเกณฑ์และหนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการเบิกจ่ายเงินงบกลางดังกล่าว
(3) มาตรการให้ความช่วยเหลือ แบ่งเป็น
สองระยะ คือ
1) มาตรการระยะสั้น เป็น
มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยให้สามารถประกอบอาชีพในเบื้องต้นได้ และเป็นการจัดระเบียบ
พื้นที่
2) มาตรการระยะปานกลาง
และระยะยาว เป็นการช่วยเหลือของหน่วยงานต่าง ๆ โดยตรง เช่น โครงการธนาคารประชาชน โครงการ
แปลงสินทรัพย์เป็นทุน
3) มาตรการให้ความช่วย
เหลือผู้ประกอบรายย่อย ได้นำเสนอคณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากธรณีพิบัติ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี
(นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) เป็นประธาน เพื่อพิจารณาในการประชุมเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2548 แล้ว
5. ความเสียหายที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน (ก.ท.บ.) สมาชิกโครงการแก้ไขปัญหาความ
ยากจน (กข.คจ.) และสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต ซึ่งกรมการพัฒนาชุมชนได้สำรวจความเสียหายที่เกิด
ขึ้นกับสมาชิกกองทุนต่าง ๆ ดังกล่าว ในเบื้องต้น ในพื้นที่ 6 จังหวัด สรุปได้ดังนี้
- สมาชิก ก.ท.บ. เสียชีวิต 114 คน หนี้ค้างชำระ 1,841,977 บาท บาดเจ็บ
257 คน หนี้ค้างชำระ 3,747,302 บาท
- สมาชิก กข.คจ. เสียชีวิต 2 คน หนี้ค้างชำระ 30,000 บาท บาดเจ็บ 47
คน หนี้ค้างชำระ 470,000 บาท
- สมาชิกกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต เสียชีวิต 2 คน หนี้ค้างชำระ 10,000 บาท
บาดเจ็บ 94 คน หนี้ค้างชำระ 631,985 บาท
สำหรับแนวทางการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ กรมการพัฒนาชุมชนจะได้ประสานงานแจ้งให้หน่วย
งานที่รับผิดชอบพิจารณาตามแนวทางที่กำหนดไว้ในระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
6. กรณีหลักหมุดที่ดินสูญหายหรือชำรุด กรมที่ดินได้จัดทำโครงการรังวัดสอบเขตที่ดินในพื้นที่ประสบ
ภัยทั้ง 6 จังหวัด แล้วจะดำเนินการปักหมุดที่ดินใหม่ให้กับผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน สำหรับกรณีเอกสารสิทธิ์ชำรุดหรือ
สูญหายเนื่องจากประสบภัย จะดำเนินการตามระเบียบที่เกี่ยวข้องและดำเนินการออกใบแทนเอกสารสิทธิ์ให้ใหม่
โดยกรมที่ดินจะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประสบภัย
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 11 มกราคม 2548--จบ--