คณะรัฐมนตรีรับทราบมาตรการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภค เมื่อมีการปรับราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. สถานการณ์ราคาสินค้า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพ โดยทั่วไปอยู่ในภาวะปกติราคาสินค้าส่วนใหญ่ยังไม่เปลี่ยนแปลง (แต่มีสินค้าจำนวนมากที่รอการปรับเปลี่ยนราคาตามต้นทุน) ยกเว้นสินค้าที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศที่มีราคาสูงขึ้น เช่น เหล็ก และผลิตภัณฑ์เหล็ก รวมทั้งสินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์ประเภท Tin Plate และพลาสติก ซึ่งได้มีการกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว
2. มาตรการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
2.1 มาตรการบริหารจัดการสินค้า
2.1.1 กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณผลกระทบน้ำมันดีเซลที่มีต่อราคาสินค้า โดยเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ติดตามดูแล จำนวน 100 รายการ 10 หมวดสินค้า (ในจำนวนนี้มีสินค้าเกษตร 33 รายการ ที่ราคาเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงช่วงสั้น ๆ ทำให้ไม่สามารถคำนวณผลกระทบได้) ซึ่งจะใช้เป็นราคากลางในการเทียบเคียงราคาจำหน่ายที่เหมาะสม ทั้งนี้ หากปรับราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้น 2.00 บาท/ลิตร หรือ 3.00 บาท/ลิตร จะมีผลกระทบต่อราคาสินค้าระหว่างร้อยละ 0.0048-1.4938 และร้อยละ 0.0072-2.2406 ตามลำดับ
2.1.2 ขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการตรึงราคาสินค้าอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากยังมีสต๊อคสินค้า/วัตถุดิบเหลืออยู่ และผลกระทบจากการปรับราคาน้ำมันดีเซลต่อราคาสินค้ามีไม่มาก ในกรณีที่จะมีการปรับราคาจำหน่ายสูงขึ้นให้แจ้งกระทรวงพาณิชย์ทราบ พร้อมแสดงเอกสารหลักฐานข้อเท็จจริง
2.1.3 ปรับวิธีการบริหารข้อมูลใน Operation Room กรมการค้าภายใน จาก Information Based Management เป็น Knowledge Based Management เพื่อใช้เป็นกลไกในการบริหารจัดการด้านราคาสินค้าให้สามารถติดตามตรวจสอบอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2.1.4 จัดลำดับความสำคัญในการติดตามดูแลสินค้า โดยแบ่งกลุ่มสินค้าตามความเหมาะสมของสถานการณ์สินค้าในแต่ละเดือน เป็น 3 ระดับ ได้แก่ Sensitive List, Priority Watch List และ Watch List เพื่อใช้ในการกำหนดมาตรการกำกับดูแลราคา อีกทั้งเพื่อเป็นการเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning)
2.2 มาตรการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน/ผู้ประกอบการ
2.2.1 การมีส่วนร่วมของประชาชน ได้แก่ การจัดให้มี Hotline แม่บ้าน 1569 ทั่วประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชน และรับแจ้งปัญหาข้อร้องเรียน เมื่อพบเห็นพฤติกรรมไม่เป็นธรรมทางการค้า
2.2.2 การมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการ
(1) จัดตั้งหน่วย Call Center ของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับสินค้าในหมวดอาหารและของใช้ประจำวัน เพื่อเป็นหน่วยประสานงานและสนับสนุนการกระจายสินค้าที่ขาดแคลนในบางพื้นที่ให้เพียงพอ
(2) ให้มีการผลิตและระบายสินค้าออกสู่ตลาดอย่างเต็มที่ รวมทั้งดูแลเครือข่ายการจำหน่ายสินค้าอย่างใกล้ชิด มิให้มีการกักตุนสินค้าและจำหน่ายสินค้าในราคาที่ไม่เป็นธรรม
(3) การปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เพื่อให้ราคาจำหน่ายลดลง เนื่องจากปัจจุบันต้นทุนภาชนะบรรจุประเภท Tin Plate และพลาสติก มีต้นทุนสูงขึ้นมาก ซึ่งมีสินค้าบางชนิดสามารถปรับเปลี่ยนไปใช้วัสดุอื่นเป็นบรรจุภัณฑ์ได้ โดยกระทรวงพาณิชย์ จะจัดทำโครงการร่วมกับผู้ประกอบการในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว
2.3 มาตรการตรวจสอบ
2.3.1 เข้มงวดการตรวจสอบ โดยจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบราคาสินค้าและความเที่ยงตรงของเครื่องชั่งเป็นประจำทุกวัน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
2.3.2 จัดให้มีหน่วยตรวจสอบเคลื่อนที่เร็ว (Mobile Unit) เพื่อตรวจสอบ ข้อเท็จจริงตามที่ได้มีการร้องเรียนผ่าน Hotline แม่บ้าน 1569 ทั่วประเทศ
2.4 มาตรการกฎหมาย
2.4.1 รณรงค์ปิดป้ายแสดงราคา โดยให้แสดงราคาต่อหน่วยน้ำหนัก/ปริมาตรในขนาดตัวอักษรที่เห็นได้ชัดเจน โดยเป็นราคาที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเป็นการรักษาสิทธิประโยชน์พื้นฐานของผู้บริโภคและเป็นข้อมูลเปรียบเทียบให้ผู้บริโภคประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้า
2.4.2 ขยายเวลาการเพิ่มโทษปรับกรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคาเป็น 2 เท่า ต่อไปอีก 90 วัน จากวันที่ 27 มีนาคม 2548 จนถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2548
2.4.3 กำหนดเป็นสินค้าควบคุมเพิ่มเติม ในกรณีที่ไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการหรือตลาดไม่มีการแข่งขัน กระทรวงพาณิชย์จะพิจารณาปรับเพิ่มจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน (16 สินค้า 2 บริการ) โดยจะมีการกำหนดมาตรการหนัก/เบาตามสถานการณ์
2.5 มาตรการช่วยบรรเทาค่าครองชีพ
2.5.1 ส่งเสริมให้ตลาดนัด/ตลาดชุมชน/ตลาดสดสีฟ้า จำหน่ายสินค้าในราคา/ปริมาณที่เป็นธรรม เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค โดยจะให้จังหวัดจัดหาสถานที่จำหน่าย เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการจำหน่ายสินค้า ซึ่งในเบื้องต้นกำหนดเป้าหมายดำเนินการในระยะเวลา 3 เดือน ประมาณ 200 แห่ง และเริ่มดำเนินการเดือนเมษายน 2548
2.5.2 ขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้า และร้านค้าปลีกขนาดใหญ่จำหน่ายอาหารสำเร็จรูปใน Food Court ในราคาเดิม เพื่อสร้างกระแสการแข่งขันในตลาด อันจะทำให้ร้านอาหารทั่วไปปรับราคาสูงขึ้นไม่ได้ และช่วยบรรเทาค่าครองชีพแก่ประชาชน โดยได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2548
2.5.3 จัดให้มีมุมธงฟ้าราคาประหยัด ในห้างสรรพสินค้า และร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ในบางพื้นที่ โดยจะพิจารณารายการสินค้าที่มีความจำเป็นเร่งด่วนตามสถานการณ์ เช่น เนื้อสุกร ไก่ ไข่ และสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อช่วยลดค่าครองชีพและเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 22 มีนาคม 2548--จบ--
1. สถานการณ์ราคาสินค้า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพ โดยทั่วไปอยู่ในภาวะปกติราคาสินค้าส่วนใหญ่ยังไม่เปลี่ยนแปลง (แต่มีสินค้าจำนวนมากที่รอการปรับเปลี่ยนราคาตามต้นทุน) ยกเว้นสินค้าที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศที่มีราคาสูงขึ้น เช่น เหล็ก และผลิตภัณฑ์เหล็ก รวมทั้งสินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์ประเภท Tin Plate และพลาสติก ซึ่งได้มีการกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาเป็นการเฉพาะอยู่แล้ว
2. มาตรการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
2.1 มาตรการบริหารจัดการสินค้า
2.1.1 กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณผลกระทบน้ำมันดีเซลที่มีต่อราคาสินค้า โดยเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ติดตามดูแล จำนวน 100 รายการ 10 หมวดสินค้า (ในจำนวนนี้มีสินค้าเกษตร 33 รายการ ที่ราคาเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงช่วงสั้น ๆ ทำให้ไม่สามารถคำนวณผลกระทบได้) ซึ่งจะใช้เป็นราคากลางในการเทียบเคียงราคาจำหน่ายที่เหมาะสม ทั้งนี้ หากปรับราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้น 2.00 บาท/ลิตร หรือ 3.00 บาท/ลิตร จะมีผลกระทบต่อราคาสินค้าระหว่างร้อยละ 0.0048-1.4938 และร้อยละ 0.0072-2.2406 ตามลำดับ
2.1.2 ขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการตรึงราคาสินค้าอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากยังมีสต๊อคสินค้า/วัตถุดิบเหลืออยู่ และผลกระทบจากการปรับราคาน้ำมันดีเซลต่อราคาสินค้ามีไม่มาก ในกรณีที่จะมีการปรับราคาจำหน่ายสูงขึ้นให้แจ้งกระทรวงพาณิชย์ทราบ พร้อมแสดงเอกสารหลักฐานข้อเท็จจริง
2.1.3 ปรับวิธีการบริหารข้อมูลใน Operation Room กรมการค้าภายใน จาก Information Based Management เป็น Knowledge Based Management เพื่อใช้เป็นกลไกในการบริหารจัดการด้านราคาสินค้าให้สามารถติดตามตรวจสอบอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
2.1.4 จัดลำดับความสำคัญในการติดตามดูแลสินค้า โดยแบ่งกลุ่มสินค้าตามความเหมาะสมของสถานการณ์สินค้าในแต่ละเดือน เป็น 3 ระดับ ได้แก่ Sensitive List, Priority Watch List และ Watch List เพื่อใช้ในการกำหนดมาตรการกำกับดูแลราคา อีกทั้งเพื่อเป็นการเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning)
2.2 มาตรการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน/ผู้ประกอบการ
2.2.1 การมีส่วนร่วมของประชาชน ได้แก่ การจัดให้มี Hotline แม่บ้าน 1569 ทั่วประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชน และรับแจ้งปัญหาข้อร้องเรียน เมื่อพบเห็นพฤติกรรมไม่เป็นธรรมทางการค้า
2.2.2 การมีส่วนร่วมของผู้ประกอบการ
(1) จัดตั้งหน่วย Call Center ของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับสินค้าในหมวดอาหารและของใช้ประจำวัน เพื่อเป็นหน่วยประสานงานและสนับสนุนการกระจายสินค้าที่ขาดแคลนในบางพื้นที่ให้เพียงพอ
(2) ให้มีการผลิตและระบายสินค้าออกสู่ตลาดอย่างเต็มที่ รวมทั้งดูแลเครือข่ายการจำหน่ายสินค้าอย่างใกล้ชิด มิให้มีการกักตุนสินค้าและจำหน่ายสินค้าในราคาที่ไม่เป็นธรรม
(3) การปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์เพื่อให้ราคาจำหน่ายลดลง เนื่องจากปัจจุบันต้นทุนภาชนะบรรจุประเภท Tin Plate และพลาสติก มีต้นทุนสูงขึ้นมาก ซึ่งมีสินค้าบางชนิดสามารถปรับเปลี่ยนไปใช้วัสดุอื่นเป็นบรรจุภัณฑ์ได้ โดยกระทรวงพาณิชย์ จะจัดทำโครงการร่วมกับผู้ประกอบการในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว
2.3 มาตรการตรวจสอบ
2.3.1 เข้มงวดการตรวจสอบ โดยจัดส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบราคาสินค้าและความเที่ยงตรงของเครื่องชั่งเป็นประจำทุกวัน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
2.3.2 จัดให้มีหน่วยตรวจสอบเคลื่อนที่เร็ว (Mobile Unit) เพื่อตรวจสอบ ข้อเท็จจริงตามที่ได้มีการร้องเรียนผ่าน Hotline แม่บ้าน 1569 ทั่วประเทศ
2.4 มาตรการกฎหมาย
2.4.1 รณรงค์ปิดป้ายแสดงราคา โดยให้แสดงราคาต่อหน่วยน้ำหนัก/ปริมาตรในขนาดตัวอักษรที่เห็นได้ชัดเจน โดยเป็นราคาที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อเป็นการรักษาสิทธิประโยชน์พื้นฐานของผู้บริโภคและเป็นข้อมูลเปรียบเทียบให้ผู้บริโภคประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้า
2.4.2 ขยายเวลาการเพิ่มโทษปรับกรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคาเป็น 2 เท่า ต่อไปอีก 90 วัน จากวันที่ 27 มีนาคม 2548 จนถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2548
2.4.3 กำหนดเป็นสินค้าควบคุมเพิ่มเติม ในกรณีที่ไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการหรือตลาดไม่มีการแข่งขัน กระทรวงพาณิชย์จะพิจารณาปรับเพิ่มจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน (16 สินค้า 2 บริการ) โดยจะมีการกำหนดมาตรการหนัก/เบาตามสถานการณ์
2.5 มาตรการช่วยบรรเทาค่าครองชีพ
2.5.1 ส่งเสริมให้ตลาดนัด/ตลาดชุมชน/ตลาดสดสีฟ้า จำหน่ายสินค้าในราคา/ปริมาณที่เป็นธรรม เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค โดยจะให้จังหวัดจัดหาสถานที่จำหน่าย เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการจำหน่ายสินค้า ซึ่งในเบื้องต้นกำหนดเป้าหมายดำเนินการในระยะเวลา 3 เดือน ประมาณ 200 แห่ง และเริ่มดำเนินการเดือนเมษายน 2548
2.5.2 ขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้า และร้านค้าปลีกขนาดใหญ่จำหน่ายอาหารสำเร็จรูปใน Food Court ในราคาเดิม เพื่อสร้างกระแสการแข่งขันในตลาด อันจะทำให้ร้านอาหารทั่วไปปรับราคาสูงขึ้นไม่ได้ และช่วยบรรเทาค่าครองชีพแก่ประชาชน โดยได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2548
2.5.3 จัดให้มีมุมธงฟ้าราคาประหยัด ในห้างสรรพสินค้า และร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ในบางพื้นที่ โดยจะพิจารณารายการสินค้าที่มีความจำเป็นเร่งด่วนตามสถานการณ์ เช่น เนื้อสุกร ไก่ ไข่ และสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อช่วยลดค่าครองชีพและเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ชุดพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร) วันที่ 22 มีนาคม 2548--จบ--