เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพอย่างอื่นหรือดำรงตำแหน่งหรือประกอบการใด ๆ หรือเป็นกรรมการในหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน อันขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ ก.พ.ค. พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพอย่างอื่นหรือดำรงตำแหน่งหรือประกอบการใด ๆ หรือเป็นกรรมการในหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน อันขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ ก.พ.ค. พ.ศ. .... ตามที่สำนักงาน ก.พ.เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สำนักงาน ก.พ. เสนอว่า
1. ด้วยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 27 (6) บัญญัติให้บุคคลที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) จะประกอบอาชีพหรือวิชาชีพอย่างอื่นหรือดำรงตำแหน่งหรือประกอบการใด ๆ หรือเป็นกรรมการในหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนในเวลาเดียวกันกับที่ปฏิบัติหน้าที่ ก.พ.ค. ไม่ได้ ทั้งนี้ เนื่องจากกรรมการ ก.พ.ค. จะต้องทำงานเต็มเวลา ประกอบกับมาตรา 129 วรรคสอง บัญญัติให้การดำเนินการแต่งตั้ง ก.พ.ค. ให้กระทำให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มีผลใช้บังคับ (พระราชบัญญัติมีผลใช้บังคับวันที่ 26 มกราคม 2551)
2. ได้จัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาตามหลักการและเหตุผลในข้อ 1. เสนอ ก.พ. พิจารณาเห็นชอบด้วยแล้ว และได้นำร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว มีคำสั่งอนุมัติให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการ
โดยสาระสำคัญของร่างกฎหมายเป็นการกำหนดการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพอย่างอื่นหรือดำรงตำแหน่งหรือประกอบการใด ๆ หรือเป็นกรรมการในหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน อันขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ ก.พ.ค. ดังนี้
1. เป็นที่ปรึกษากฎหมายหรือทนายความในเรื่องการดำเนินการทางวินัย การพิจารณาเรื่องระบบคุณธรรมและจริยธรรม หรือดำเนินการเกี่ยวกับข้อพิพาทในเรื่องดังกล่าวให้กับบุคคลใด
2. เป็นผู้พิพากษาสมทบในศาล
3. เป็นที่ปรึกษาของพรรคการเมือง
4. รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หรือหน่วยงานของรัฐที่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
5. เป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาในหน่วยงานของรัฐ เว้นแต่เป็นกรรมการกฤษฎีกาหรือได้รับอนุมัติจาก ก.พ.ค.
6. เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐซึ่งได้รับแต่งตั้งหรือเลือกตั้งตามกฎหมายมีอำนาจหน้าที่เฉพาะ และปฏิบัติงานประจำอยู่ในสังกัดหน่วยงานของรัฐ โดยได้รับค่าตอบแทนหรือค่าจ้างเป็นรายเดือน เว้นแต่เป็นผู้สอนหรือผู้บรรยายพิเศษในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ หรือผู้ทำการวิจัย
7. เป็นกรรมการ ผู้จัดการ หรือที่ปรึกษา หรือดำรงตำแหน่งอื่นใดที่มีลักษณะงานคล้ายกันในห้างหุ้นส่วนบริษัท
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 25 มีนาคม 2551--จบ--
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพอย่างอื่นหรือดำรงตำแหน่งหรือประกอบการใด ๆ หรือเป็นกรรมการในหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน อันขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ ก.พ.ค. พ.ศ. .... ตามที่สำนักงาน ก.พ.เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สำนักงาน ก.พ. เสนอว่า
1. ด้วยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 27 (6) บัญญัติให้บุคคลที่จะได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) จะประกอบอาชีพหรือวิชาชีพอย่างอื่นหรือดำรงตำแหน่งหรือประกอบการใด ๆ หรือเป็นกรรมการในหน่วยงานของรัฐหรือเอกชนในเวลาเดียวกันกับที่ปฏิบัติหน้าที่ ก.พ.ค. ไม่ได้ ทั้งนี้ เนื่องจากกรรมการ ก.พ.ค. จะต้องทำงานเต็มเวลา ประกอบกับมาตรา 129 วรรคสอง บัญญัติให้การดำเนินการแต่งตั้ง ก.พ.ค. ให้กระทำให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มีผลใช้บังคับ (พระราชบัญญัติมีผลใช้บังคับวันที่ 26 มกราคม 2551)
2. ได้จัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาตามหลักการและเหตุผลในข้อ 1. เสนอ ก.พ. พิจารณาเห็นชอบด้วยแล้ว และได้นำร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว มีคำสั่งอนุมัติให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการ
โดยสาระสำคัญของร่างกฎหมายเป็นการกำหนดการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพอย่างอื่นหรือดำรงตำแหน่งหรือประกอบการใด ๆ หรือเป็นกรรมการในหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน อันขัดต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ ก.พ.ค. ดังนี้
1. เป็นที่ปรึกษากฎหมายหรือทนายความในเรื่องการดำเนินการทางวินัย การพิจารณาเรื่องระบบคุณธรรมและจริยธรรม หรือดำเนินการเกี่ยวกับข้อพิพาทในเรื่องดังกล่าวให้กับบุคคลใด
2. เป็นผู้พิพากษาสมทบในศาล
3. เป็นที่ปรึกษาของพรรคการเมือง
4. รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ หรือหน่วยงานของรัฐที่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
5. เป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาในหน่วยงานของรัฐ เว้นแต่เป็นกรรมการกฤษฎีกาหรือได้รับอนุมัติจาก ก.พ.ค.
6. เป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐซึ่งได้รับแต่งตั้งหรือเลือกตั้งตามกฎหมายมีอำนาจหน้าที่เฉพาะ และปฏิบัติงานประจำอยู่ในสังกัดหน่วยงานของรัฐ โดยได้รับค่าตอบแทนหรือค่าจ้างเป็นรายเดือน เว้นแต่เป็นผู้สอนหรือผู้บรรยายพิเศษในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ หรือผู้ทำการวิจัย
7. เป็นกรรมการ ผู้จัดการ หรือที่ปรึกษา หรือดำรงตำแหน่งอื่นใดที่มีลักษณะงานคล้ายกันในห้างหุ้นส่วนบริษัท
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 25 มีนาคม 2551--จบ--