คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการศึกษาประเด็นการบริหารเศรษฐกิจที่สำคัญในภาวะปัจจุบัน ประกอบด้วย ภาวะเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน
ราคาสินค้าเกษตรและพืชพลังงาน ภาวะเงินเฟ้อ และการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ และข้อเสนอแนะแนวทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ
และผลักดันการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างเป็นเอกภาพ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ
และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติศึกษารายละเอียดของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะปานกลาง
และระยะยาว และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สศช. ได้ดำเนินการศึกษาเบื้องต้นแล้วเสร็จ และได้จัดให้มีการประชุมหารือหน่วยงานเศรษฐกิจดังกล่าว เมื่อวันจันทร์ที่ 24 มีนาคม
2551 ที่ผ่านมา โดยได้ข้อสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. ภาวะเศรษฐกิจในปี 2548-2550
1.1 ในปี 2548 ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับตั้งแต่กลางปี ซึ่งทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมาก และตลอดทั้งปีมูลค่าการนำเข้า
น้ำมันเพิ่มขึ้นมาก ประกอบกับมีผลกระทบจากสึนามิต่อรายได้จากการท่องเที่ยว จึงทำให้ในปี 2548 ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลสูง ราคาน้ำมันและอัตรา
เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นมาก ประกอบกับการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ทำให้การใช้จ่ายครัวเรือนและการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลงชัดเจน จากร้อยละ 6.2
และ 16.3 ในปี 2547 มาเป็นการขยายตัวร้อยละ 4.5 และ 10.6 ในปี 2548 แม้ว่าการส่งออกจะขยายตัวได้ดีแต่การนำเข้าขยายตัวเร็วกว่า
มาก จึงทำให้การส่งออกสุทธิเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจเช่นกัน การใช้จ่ายรัฐบาลและการลงทุนภาครัฐนั้นเพิ่มขึ้นมากและช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง แต่
อย่างไรก็ตามโดยรวมเศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 4.5 ชะลอลงมาก จากที่ขยายตัวร้อยละ 6.3 ในปี 2547 อัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ 4.5
และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 7,917 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือร้อยละ 1.7 ของ GDP
1.2 ในปี 2549 ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยบาเรลละ 49.3 ดอลลาร์ สรอ. ในปี 2548 เป็น
61.5 ดอลลาร์ สรอ. จึงยังมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีกจากร้อยละ 4.25 เป็นร้อยละ 5.0 และในช่วงปลายปีนั้นมีปัญหาน้ำท่วมรุนแรง
ในภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างที่ทำให้พืชผลทางการเกษตรเสียหาย รวมทั้งมีปัญหาทางการเมือง ความเชื่อมั่นนักลงทุนและบาทต่อดอลลาร์ สรอ.
ในตอนต้นปีมาเป็น 35.15 บาทในตอนสิ้นปี เนื่องจากการเกินดุลการชำระเงินที่มาจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และการไหลเข้าของเงินทุนในภาวะ
ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีปัญหาเรื่องการขาดดุลแฝดมากขึ้น และนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ สรอ. จากปัจจัยข้อจำกัดต่าง ๆ ได้ทำให้การใช้
จ่ายและการลงทุนชะลอตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ ความล่าช้าของการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2550 และการดำเนินโครงการใหญ่ของรัฐ
วิสาหกิจทำให้รายจ่ายรัฐบาลและการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้นน้อย แต่อย่างไรก็ตามการส่งออกขยายตัวได้ดีขึ้นมาก ในขณะที่การนำเข้าชะลอตัวมาก ดัง
นั้น การส่งออกสุทธิจึงช่วยชดเชยการชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และรวมทั้งปีเศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 5.1 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล
2,174 ล้านดอลลาร์ สรอ. แต่อัตราเงินเฟ้อยังสูงร้อยละ 4.7
1.3 ในปี 2550 ราคาน้ำมันยังเพิ่มขึ้น และยังมีความไม่แน่นอนทางการเมือง ทำให้การใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลง
มากอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินบาทแข็งขึ้นต่อเนื่องแต่การส่งออกก็เพิ่มขึ้นมาก ในขณะที่การนำเข้ายังชะลอตัว และการใช้จ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นมากตามเป้า
หมาย โดยรวมการส่งออกและการใช้จ่าย รัฐบาลจึงชดเชยการชะลอตัวของภาคเอกชนได้ และรวมทั้งปีเศรษฐกิจขยายตัวได้ในเกณฑ์ดีร้อยละ 4.8
โดยที่การลงทุนภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี และความเชื่อมั่นนักลงทุนและประชาชนดีขึ้นในช่วงปลายปี สำหรับอัตราเงินเฟ้อนั้นลดต่ำลง
เป็นร้อยละ 2.3 แต่เริ่มมีแรงกดดันมากขึ้นในช่วงปลายปี ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลสูง 14,922 ล้านดอลลาร์ หรือร้อยละ 6.1 ของ GDP และอัตรา
การว่างงานต่ำเพียงร้อยละ 1.4
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2547-2550
2547 2548 2549 2550
GDP (%) 6.3 4.5 5.1 4.8
การลงทุนเอกชน 16.3 10.6 3.7 0.5
การลงทุนภาครัฐ 4.7 10.8 3.9 4
การใช้จ่ายเอกชน 6.2 4.5 3.2 1.4
การใช้จ่ายรัฐบาล 5.7 10.8 2.3 10.8
การส่งออก 21.6 15.2 17 18.1
การนำเข้า 25.7 25.8 7.9 9.6
ดุลบัญชีเดินสะพัด (พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 2.8 -7.9 2.2 14.9
อัตราเงินเฟ้อ (%) 2.7 4.5 4.7 2.3
ที่มา สศช.
2. ในปี 2551 เศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
ประกอบกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็เพิ่มขึ้นสูงตามราคาน้ำมันและการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สรอ. ดังนั้น ในปี 2551 อัตราเงินเฟ้อในประเทศจึงมีแนว
โน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยที่ได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.3 ในเดือนมกราคม และร้อยละ 5.4 ในเดือนกุมภาพันธ์ ของปีนี้ จากร้อยละ 2.9 ในไตรมาสสุดท้าย
ปี 2550
2.1 การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จากปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐฯ ซึ่งได้ลุกลามส่งผลกระทบไปยังตลาดการเงินยุโรป และ
สร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินของโลกเป็นวงกว้าง ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงการส่งออกของไทยให้ชะลอตัวลงในปีนี้ ทั้งผลกระทบ
ทางตรงต่อการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ และผลกระทบทางอ้อมที่ผ่านทางตลาดส่งออกที่สำคัญอื่น ๆ ของไทย ได้แก่ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เอเชีย และ
ตะวันออกกลาง ซึ่งจะเป็นผลกระทบต่อทั้งผู้ส่งออก และบรรยากาศการลงทุนและการใช้จ่ายครัวเรือน ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ
3.5-4.0 ในปี 2551 โดยที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวประมาณร้อยละ 1.1-1.5 ญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 1.4 และจีนขยายตัวร้อยละ 9.6
โดยที่นักวิเคราะห์ในและต่างประเทศได้ทยอยปรับลดการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลงในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา จากปัญหาความตึงตัว
ของภาคการเงินของสหรัฐฯ และยุโรป อันเนื่องจากความเสียหายของหนี้ด้อยคุณภาพและจากการเก็งกำไรในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีมากขึ้น
2.2 ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จากราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบ 55.37 ดอลลาร์ สรอ. ในไตรมาสแรกของปี 2550 เพิ่มขึ้นเป็น
64.80 ดอลลาร์ สรอ. ในไตรมาสสอง 70.06 ดอลลาร์ สรอ. ในไตรมาสสาม และ 85.10 ดอลลาร์ สรอ. ในไตรมาสสุดท้ายของปี และเพิ่ม
เป็นเฉลี่ยบาเรลละ 89.77 ดอลลาร์ สรอ. ในช่วงวันที่ 1มกราคม - 11 มีนาคม 2551 จากภาวะตลาดน้ำมันตึงตัวและแรงกดดันจากค่าเงิน
ดอลลาร์ที่อ่อนลงได้ทำให้มีการเก็งกำไรในตลาดล่วงหน้าของน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันดิบและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น
ได้สร้างแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อมากขึ้นตามลำดับ
จึงเป็นความกังวลว่าภาวะเงินเฟ้อจะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของการใช้จ่ายครัวเรือน และส่งผลกระทบการลงทุนและต่อเศรษฐกิจโดย
รวม รวมทั้งคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีรายได้น้อยและกลุ่มครัวเรือนที่มีหนี้สินอยู่แล้ว ทั้งนี้ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2551
นั้น จะอยู่ในช่วงร้อยละ 3.5-4.5 (จากการประมาณการของ สศช. ธปท. และ สศค.) อย่างไรก็ดี ราคาสินค้าต่าง ๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นได้ผลดีต่อราย
ได้เกษตรกร แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นภาระต่อผู้บริโภคจากค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มภาระต้นทุนการผลิตต่อเกษตรกรเอง
ราคาสินค้าเกษตร ทองคำ และราคาน้ำมันขายปลีก
2548 2549 2550 2550 2551
ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ.
ข้าวสาร 100% (บาท/ตัน) 11,144 11,169 10,863 10,770 11,184 11,690 12,021 14,119
ข้าวเปลือก 5% (บาท/ตัน) 6,607 6,533 6,587 6,346 6,589 6,837 6,955 7,439
ข้าวโพด (บาท/กก.) 4.8 5.36 6.84 7.28 7.19 7.26 7.48 7.69
มันสำปะหลัง (บาท/กก.) 1.37 1.21 1.38 1.72 1.62 1.82 1.99 2.09
ยางแผ่นดิบชั้น 3 (บาท/กก.) 53.57 66.24 68.9 69.8 74.79 73.3 77.36 80.99
สุกรน้ำหนักมากกว่า 49.55 47.07 38.35 40.04 42.31 42.44 44.25 53.89
100 กก.(บาท/กก.)
ทองคำแท่ง (บาทต่อน้ำหนัก 1 บาท) 8,505 10,830 11,350 12,115 12,890 12,787 13,876 14,171
ราคาน้ำมันเบนซิน 91 23.1 26.8 28.3 29.5 31 31.3 31.9 31.84
ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 20 25.6 25.7 27.5 28.8 29.1 29.4 29.42
ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
3. ผลกระทบของปัจจัยต่าง ๆ ต่อกลุ่มต่าง ๆ ผลการศึกษาเบื้องต้น โดย สศช. ร่วมกับ สศค. ธปท. และกรมการค้าภายใน มีข้อ
สรุปที่สำคัญ ดังนี้
3.1 ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว การคาดการณ์เศรษฐกิจไทยขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5.0 ในปี 2551 นั้นมี
สมมติฐานว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวประมาณร้อยละ 4.0 ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากกว่าที่คาดไว้ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่มีความ
อ่อนไหวต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกในสัดส่วนที่สูงถึงร้อยละ 73 ของ GDP ผลการศึกษา
ของ สศช. ธปท. และ สศค. ยังพบว่า หากเศรษฐกิจโลกขยายตัวได้น้อยลงร้อยละ 1.0 จะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้น้อยลงประมาณร้อยละ
0.6 — 1.0 โดยมีผลกระทบผ่านทางการส่งออกและต่อเนื่องไปยังการลงทุนภาคเอกชนและการใช้จ่ายครัวเรือน โดยที่ผลกระทบต่อผู้ส่งออกนั้นจะเป็น
ทั้งปริมาณการส่งออกที่จะขยายตัวได้น้อยลง และมีการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้นในภาวะที่ความต้องการในตลาดโลกชะลอตัว และนอกจากนี้รายได้
ของ ผู้ส่งออกในรูปเงินบาทยังจะได้รับผลกระทบจากการที่ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งขึ้นอีกด้วย เช่นในปี 2550 มูลค่าการส่งออกในรูปเงินดอลลาร์
สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.1 แต่ในรูปเงินบาทนั้นเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 7.7 โดยที่ราคาสินค้าออกโดยเฉลี่ยในรูปเงินบาทลดลงร้อยละ 3.3
3.2 ผลกระทบราคาน้ำมันและภาวะเงินเฟ้อต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและรายสาขาการผลิต
3.2.1 ผลกระทบราคาน้ำมันต่อเศรษฐกิจโดยรวม ในกรณีของเศรษฐกิจไทยนั้นราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จะทำให้อัตรา
เงินเฟ้อสูงขึ้นร้อยละ 0.028 และเศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวได้น้อยลงร้อยละ 0.020 โดยที่การใช้จ่ายครัวเรือนขยายตัวได้น้อยลงร้อยละ 0.035
การลงทุนขยายตัวได้น้อยลงร้อยละ 0.029 และปริมาณการส่งออกขยายตัวได้น้อยลงร้อยละ 0.069
3.2.2 ผลกระทบราคาน้ำมันต่อการผลิตรายสาขา ผลกระทบราคาน้ำมันจะส่งผลกระทบต่อภาคการขนส่งมากที่สุด เนื่องจาก
ตามโครงสร้างการผลิตต้องใช้พลังงานมาก ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 จะ ทำให้ภาคการขนส่งขยายตัวได้น้อยลงร้อยละ 0.107 ภาค
เกษตรน้อยลงร้อยละ 0.056 และภาคอุตสาหกรรมน้อยลงร้อยละ 0.065
3.3 ผลกระทบราคาน้ำมันและภาวะเงินเฟ้อต่อประชาชนกลุ่มต่าง ๆ
3.3.1 ผลกระทบราคาน้ำมันและเงินเฟ้อต่อกลุ่มผู้บริโภค ราคาสินค้าในหมวดต่าง ๆ และอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น ทำให้
รายจ่ายของประชาชนในกลุ่มที่มีรายได้ครัวเรือนต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท เพิ่มขึ้น 440 — 580 บาทต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 4.0 — 4.5 ของ
รายได้ สำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้เดือนละ 15,000 — 30,000 บาท รายจ่ายเพิ่มขึ้น 800 — 820 บาทต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 3.1 — 4.2
ของรายได้
3.3.2 ผลกระทบต่อกลุ่มเกษตรกร ราคาน้ำมันและวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้นทุนการทำการเกษตรของเกษตรกรเพิ่มขึ้น เช่น
1) ในกรณีของการปลูกข้าวนั้นถ้าราคาน้ำมัน ราคาปุ๋ย และราคาวัตถุดิบอื่น ๆ ต่างก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จะทำให้ต้นทุน
การผลิตเพิ่มขึ้นตันละ 59 บาท และผลตอบแทนสุทธิจะลดลงเป็นจำนวนเท่ากัน ถ้าราคาขายข้าวและผลผลิตข้าวต่อไร่ไม่เพิ่มขึ้น แต่ถ้าราคาขายเพิ่มขึ้น
ในอัตราเดียวกับใน 2 เดือนแรกของปีนี้ (ร้อยละ 8.3) ผลตอบแทนสุทธิจะเพิ่มขึ้นตันละ 488 บาท
2) ในกรณีของมันสำปะหลังนั้นถ้าราคาน้ำมัน ราคาปุ๋ย และราคาวัตถุดิบอื่น ๆ ต่างก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จะทำให้ต้นทุน
การผลิตเพิ่มขึ้นเพียงตันละ 8 บาทเท่านั้น หากราคาขายและผลผลิตมันสำปะหลังต่อไร่ไม่ได้เพิ่มขึ้น จะทำให้ผลตอบแทนสุทธิลดลงเท่ากัน แต่ถ้าราคา
ขายเพิ่มขึ้นเช่นใน 2 เดือนแรกของปีนี้ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.6 ตามภาวะราคาน้ำมัน) ผลตอบแทนสุทธิจะเพิ่มขึ้นตันละ 662
3.3.3 ผลกระทบต่อกลุ่มข้าราชการและผู้มีรายได้ประจำรายเดือน ในกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบจากการที่ค่าครองชีพสูงขึ้น แต่
มีมาตรการภาษีที่ช่วยให้ประหยัดรายจ่ายภาษีซึ่งทำให้รายได้พึงใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มข้าราชการหรือผู้มีรายได้ประจำประมาณ 15,833 บาทต่อ
เดือนจะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณเดือนละ 570 บาทหรือ 6,840 บาทต่อปี โดยที่ได้ลดภาระภาษีลงประมาณ 5,000 ต่อปี ซึ่งสุทธิแล้วทำให้รายจ่าย
เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งจะทำให้เงินออมลดลงในกรณีของผู้มีเงินออม หรือมีหนี้สินเพิ่มขึ้นในกรณีของผู้ที่เงินได้ไม่พอรายจ่าย
3.3.4 ผลกระทบกลุ่ม SMEs กลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบจากการที่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นและทำให้ผลประกอบการลดลงหากราคา
สินค้าไม่ได้ปรับขึ้นตามต้นทุนการผลิต แต่มีการปรับราคาสินค้าขึ้นตามภาระต้นทุนหรือปรับเพิ่มได้บางส่วนก็จะลดผลกระทบ แต่กลุ่มนี้ได้รับประโยชน์จาก
มาตรการภาษีเพื่อการสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนและ SMEs โดยที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับที่ไม่ใช่นิติบุคคลตาม พ.ร.บ. ส่งเสริม
วิสาหกิจชุมชน สำหรับเงินได้ไม่เกิน 1,200,000 บาทต่อปี และสำหรับกลุ่มที่เป็นนิติบุคคลนั้นสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะทำให้ลดรายจ่ายภาษีประมาณ
รายละ 22,500 บาท
4. ข้อเสนอแนะ รัฐบาลได้กำหนดนโยบายในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนกลุ่ม ต่าง ๆ ไว้ภายใต้กรอบนโยบายรัฐบาล
ทั้ง 8 นโยบาย โดยได้ให้ความสำคัญทั้งกลุ่มผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก นักลงทุนทุกขนาด และกลุ่มประชาชนระดับรากหญ้า โดยเป็นการดำเนินการทั้งใน
ระยะสั้นและเร่งด่วนภายใต้นโยบายฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประเทศ และการดำเนินการเพื่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ ที่จะมี
ประสิทธิผลเป็นรูปธรรมในระยะปานกลางควบคู่กันไป รวมทั้งผลักดันให้มีการปรับเพิ่มประสิทธิภาพของภาคธุรกิจเอกชนอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกลุ่ม
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นอกจากนี้รัฐบาลยังได้เริ่มดำเนินมาตรการอื่น ๆ เสริมเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชน
แล้ว เช่น มาตรการภาษี มาตรการด้านพลังงาน และมาตรการดูแลราคาสินค้า โดยความร่วมมือกับภาคธุรกิจเอกชนเพื่อไม่ให้ราคาสินค้าจำเป็นเพิ่ม
ขึ้นเร็วเกินไปจนกระทั่งประชาชนปรับตัวไม่ทัน เช่น ราคาเนื้อหมู และราคาสินค้าที่ใช้ในครัวเรือน จากการวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและกลุ่ม
ต่าง ๆ ในสังคมดังกล่าว สรุปได้ว่า การดำเนินมาตรการเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นและความเสี่ยงของการเจริญเติบโตที่น้อย
ลง ควรมีแนวทางดังนี้
4.1 การสร้างโอกาสและรายได้อย่างยั่งยืน ซึ่งได้แก่ การสร้างโอกาสและอาชีพของประชาชนระดับรากหญ้าเพื่อเพิ่มรายได้ การ
สร้างโอกาสและกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการเร่งรัดการใช้งบประมาณรัฐบาลเป็นตัวนำ
4.2 การลดรายจ่ายควรเป็นมาตรการระยะสั้น และไม่บิดเบือนระบบตลาด ไม่ก่อหนี้ภาครัฐ และเลือกใช้มาตรการที่มีผลต่อกลุ่มผู้
เดือดร้อน หรือกลุ่มสินค้าที่ขึ้นราคาอย่างไม่เป็นธรรม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 25 มีนาคม 2551--จบ--
ราคาสินค้าเกษตรและพืชพลังงาน ภาวะเงินเฟ้อ และการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ และข้อเสนอแนะแนวทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ
และผลักดันการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างเป็นเอกภาพ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ
และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติศึกษารายละเอียดของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะปานกลาง
และระยะยาว และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สศช. ได้ดำเนินการศึกษาเบื้องต้นแล้วเสร็จ และได้จัดให้มีการประชุมหารือหน่วยงานเศรษฐกิจดังกล่าว เมื่อวันจันทร์ที่ 24 มีนาคม
2551 ที่ผ่านมา โดยได้ข้อสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. ภาวะเศรษฐกิจในปี 2548-2550
1.1 ในปี 2548 ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับตั้งแต่กลางปี ซึ่งทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมาก และตลอดทั้งปีมูลค่าการนำเข้า
น้ำมันเพิ่มขึ้นมาก ประกอบกับมีผลกระทบจากสึนามิต่อรายได้จากการท่องเที่ยว จึงทำให้ในปี 2548 ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลสูง ราคาน้ำมันและอัตรา
เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นมาก ประกอบกับการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ทำให้การใช้จ่ายครัวเรือนและการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลงชัดเจน จากร้อยละ 6.2
และ 16.3 ในปี 2547 มาเป็นการขยายตัวร้อยละ 4.5 และ 10.6 ในปี 2548 แม้ว่าการส่งออกจะขยายตัวได้ดีแต่การนำเข้าขยายตัวเร็วกว่า
มาก จึงทำให้การส่งออกสุทธิเป็นตัวฉุดเศรษฐกิจเช่นกัน การใช้จ่ายรัฐบาลและการลงทุนภาครัฐนั้นเพิ่มขึ้นมากและช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่ง แต่
อย่างไรก็ตามโดยรวมเศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 4.5 ชะลอลงมาก จากที่ขยายตัวร้อยละ 6.3 ในปี 2547 อัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ 4.5
และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 7,917 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือร้อยละ 1.7 ของ GDP
1.2 ในปี 2549 ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยบาเรลละ 49.3 ดอลลาร์ สรอ. ในปี 2548 เป็น
61.5 ดอลลาร์ สรอ. จึงยังมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีกจากร้อยละ 4.25 เป็นร้อยละ 5.0 และในช่วงปลายปีนั้นมีปัญหาน้ำท่วมรุนแรง
ในภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างที่ทำให้พืชผลทางการเกษตรเสียหาย รวมทั้งมีปัญหาทางการเมือง ความเชื่อมั่นนักลงทุนและบาทต่อดอลลาร์ สรอ.
ในตอนต้นปีมาเป็น 35.15 บาทในตอนสิ้นปี เนื่องจากการเกินดุลการชำระเงินที่มาจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และการไหลเข้าของเงินทุนในภาวะ
ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีปัญหาเรื่องการขาดดุลแฝดมากขึ้น และนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ สรอ. จากปัจจัยข้อจำกัดต่าง ๆ ได้ทำให้การใช้
จ่ายและการลงทุนชะลอตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ ความล่าช้าของการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2550 และการดำเนินโครงการใหญ่ของรัฐ
วิสาหกิจทำให้รายจ่ายรัฐบาลและการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้นน้อย แต่อย่างไรก็ตามการส่งออกขยายตัวได้ดีขึ้นมาก ในขณะที่การนำเข้าชะลอตัวมาก ดัง
นั้น การส่งออกสุทธิจึงช่วยชดเชยการชะลอตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ และรวมทั้งปีเศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 5.1 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล
2,174 ล้านดอลลาร์ สรอ. แต่อัตราเงินเฟ้อยังสูงร้อยละ 4.7
1.3 ในปี 2550 ราคาน้ำมันยังเพิ่มขึ้น และยังมีความไม่แน่นอนทางการเมือง ทำให้การใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลง
มากอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินบาทแข็งขึ้นต่อเนื่องแต่การส่งออกก็เพิ่มขึ้นมาก ในขณะที่การนำเข้ายังชะลอตัว และการใช้จ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นมากตามเป้า
หมาย โดยรวมการส่งออกและการใช้จ่าย รัฐบาลจึงชดเชยการชะลอตัวของภาคเอกชนได้ และรวมทั้งปีเศรษฐกิจขยายตัวได้ในเกณฑ์ดีร้อยละ 4.8
โดยที่การลงทุนภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี และความเชื่อมั่นนักลงทุนและประชาชนดีขึ้นในช่วงปลายปี สำหรับอัตราเงินเฟ้อนั้นลดต่ำลง
เป็นร้อยละ 2.3 แต่เริ่มมีแรงกดดันมากขึ้นในช่วงปลายปี ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลสูง 14,922 ล้านดอลลาร์ หรือร้อยละ 6.1 ของ GDP และอัตรา
การว่างงานต่ำเพียงร้อยละ 1.4
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2547-2550
2547 2548 2549 2550
GDP (%) 6.3 4.5 5.1 4.8
การลงทุนเอกชน 16.3 10.6 3.7 0.5
การลงทุนภาครัฐ 4.7 10.8 3.9 4
การใช้จ่ายเอกชน 6.2 4.5 3.2 1.4
การใช้จ่ายรัฐบาล 5.7 10.8 2.3 10.8
การส่งออก 21.6 15.2 17 18.1
การนำเข้า 25.7 25.8 7.9 9.6
ดุลบัญชีเดินสะพัด (พันล้านดอลลาร์ สรอ.) 2.8 -7.9 2.2 14.9
อัตราเงินเฟ้อ (%) 2.7 4.5 4.7 2.3
ที่มา สศช.
2. ในปี 2551 เศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
ประกอบกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็เพิ่มขึ้นสูงตามราคาน้ำมันและการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สรอ. ดังนั้น ในปี 2551 อัตราเงินเฟ้อในประเทศจึงมีแนว
โน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยที่ได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.3 ในเดือนมกราคม และร้อยละ 5.4 ในเดือนกุมภาพันธ์ ของปีนี้ จากร้อยละ 2.9 ในไตรมาสสุดท้าย
ปี 2550
2.1 การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จากปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐฯ ซึ่งได้ลุกลามส่งผลกระทบไปยังตลาดการเงินยุโรป และ
สร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินของโลกเป็นวงกว้าง ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงการส่งออกของไทยให้ชะลอตัวลงในปีนี้ ทั้งผลกระทบ
ทางตรงต่อการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ และผลกระทบทางอ้อมที่ผ่านทางตลาดส่งออกที่สำคัญอื่น ๆ ของไทย ได้แก่ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เอเชีย และ
ตะวันออกกลาง ซึ่งจะเป็นผลกระทบต่อทั้งผู้ส่งออก และบรรยากาศการลงทุนและการใช้จ่ายครัวเรือน ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ
3.5-4.0 ในปี 2551 โดยที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวประมาณร้อยละ 1.1-1.5 ญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 1.4 และจีนขยายตัวร้อยละ 9.6
โดยที่นักวิเคราะห์ในและต่างประเทศได้ทยอยปรับลดการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลงในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา จากปัญหาความตึงตัว
ของภาคการเงินของสหรัฐฯ และยุโรป อันเนื่องจากความเสียหายของหนี้ด้อยคุณภาพและจากการเก็งกำไรในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีมากขึ้น
2.2 ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จากราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบ 55.37 ดอลลาร์ สรอ. ในไตรมาสแรกของปี 2550 เพิ่มขึ้นเป็น
64.80 ดอลลาร์ สรอ. ในไตรมาสสอง 70.06 ดอลลาร์ สรอ. ในไตรมาสสาม และ 85.10 ดอลลาร์ สรอ. ในไตรมาสสุดท้ายของปี และเพิ่ม
เป็นเฉลี่ยบาเรลละ 89.77 ดอลลาร์ สรอ. ในช่วงวันที่ 1มกราคม - 11 มีนาคม 2551 จากภาวะตลาดน้ำมันตึงตัวและแรงกดดันจากค่าเงิน
ดอลลาร์ที่อ่อนลงได้ทำให้มีการเก็งกำไรในตลาดล่วงหน้าของน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันดิบและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น
ได้สร้างแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อมากขึ้นตามลำดับ
จึงเป็นความกังวลว่าภาวะเงินเฟ้อจะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของการใช้จ่ายครัวเรือน และส่งผลกระทบการลงทุนและต่อเศรษฐกิจโดย
รวม รวมทั้งคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีรายได้น้อยและกลุ่มครัวเรือนที่มีหนี้สินอยู่แล้ว ทั้งนี้ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2551
นั้น จะอยู่ในช่วงร้อยละ 3.5-4.5 (จากการประมาณการของ สศช. ธปท. และ สศค.) อย่างไรก็ดี ราคาสินค้าต่าง ๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นได้ผลดีต่อราย
ได้เกษตรกร แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นภาระต่อผู้บริโภคจากค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มภาระต้นทุนการผลิตต่อเกษตรกรเอง
ราคาสินค้าเกษตร ทองคำ และราคาน้ำมันขายปลีก
2548 2549 2550 2550 2551
ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ.
ข้าวสาร 100% (บาท/ตัน) 11,144 11,169 10,863 10,770 11,184 11,690 12,021 14,119
ข้าวเปลือก 5% (บาท/ตัน) 6,607 6,533 6,587 6,346 6,589 6,837 6,955 7,439
ข้าวโพด (บาท/กก.) 4.8 5.36 6.84 7.28 7.19 7.26 7.48 7.69
มันสำปะหลัง (บาท/กก.) 1.37 1.21 1.38 1.72 1.62 1.82 1.99 2.09
ยางแผ่นดิบชั้น 3 (บาท/กก.) 53.57 66.24 68.9 69.8 74.79 73.3 77.36 80.99
สุกรน้ำหนักมากกว่า 49.55 47.07 38.35 40.04 42.31 42.44 44.25 53.89
100 กก.(บาท/กก.)
ทองคำแท่ง (บาทต่อน้ำหนัก 1 บาท) 8,505 10,830 11,350 12,115 12,890 12,787 13,876 14,171
ราคาน้ำมันเบนซิน 91 23.1 26.8 28.3 29.5 31 31.3 31.9 31.84
ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 20 25.6 25.7 27.5 28.8 29.1 29.4 29.42
ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
3. ผลกระทบของปัจจัยต่าง ๆ ต่อกลุ่มต่าง ๆ ผลการศึกษาเบื้องต้น โดย สศช. ร่วมกับ สศค. ธปท. และกรมการค้าภายใน มีข้อ
สรุปที่สำคัญ ดังนี้
3.1 ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว การคาดการณ์เศรษฐกิจไทยขยายตัวไม่ต่ำกว่าร้อยละ 5.0 ในปี 2551 นั้นมี
สมมติฐานว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวประมาณร้อยละ 4.0 ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากกว่าที่คาดไว้ก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่มีความ
อ่อนไหวต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกในสัดส่วนที่สูงถึงร้อยละ 73 ของ GDP ผลการศึกษา
ของ สศช. ธปท. และ สศค. ยังพบว่า หากเศรษฐกิจโลกขยายตัวได้น้อยลงร้อยละ 1.0 จะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้น้อยลงประมาณร้อยละ
0.6 — 1.0 โดยมีผลกระทบผ่านทางการส่งออกและต่อเนื่องไปยังการลงทุนภาคเอกชนและการใช้จ่ายครัวเรือน โดยที่ผลกระทบต่อผู้ส่งออกนั้นจะเป็น
ทั้งปริมาณการส่งออกที่จะขยายตัวได้น้อยลง และมีการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้นในภาวะที่ความต้องการในตลาดโลกชะลอตัว และนอกจากนี้รายได้
ของ ผู้ส่งออกในรูปเงินบาทยังจะได้รับผลกระทบจากการที่ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งขึ้นอีกด้วย เช่นในปี 2550 มูลค่าการส่งออกในรูปเงินดอลลาร์
สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.1 แต่ในรูปเงินบาทนั้นเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 7.7 โดยที่ราคาสินค้าออกโดยเฉลี่ยในรูปเงินบาทลดลงร้อยละ 3.3
3.2 ผลกระทบราคาน้ำมันและภาวะเงินเฟ้อต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและรายสาขาการผลิต
3.2.1 ผลกระทบราคาน้ำมันต่อเศรษฐกิจโดยรวม ในกรณีของเศรษฐกิจไทยนั้นราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จะทำให้อัตรา
เงินเฟ้อสูงขึ้นร้อยละ 0.028 และเศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวได้น้อยลงร้อยละ 0.020 โดยที่การใช้จ่ายครัวเรือนขยายตัวได้น้อยลงร้อยละ 0.035
การลงทุนขยายตัวได้น้อยลงร้อยละ 0.029 และปริมาณการส่งออกขยายตัวได้น้อยลงร้อยละ 0.069
3.2.2 ผลกระทบราคาน้ำมันต่อการผลิตรายสาขา ผลกระทบราคาน้ำมันจะส่งผลกระทบต่อภาคการขนส่งมากที่สุด เนื่องจาก
ตามโครงสร้างการผลิตต้องใช้พลังงานมาก ทั้งนี้ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 จะ ทำให้ภาคการขนส่งขยายตัวได้น้อยลงร้อยละ 0.107 ภาค
เกษตรน้อยลงร้อยละ 0.056 และภาคอุตสาหกรรมน้อยลงร้อยละ 0.065
3.3 ผลกระทบราคาน้ำมันและภาวะเงินเฟ้อต่อประชาชนกลุ่มต่าง ๆ
3.3.1 ผลกระทบราคาน้ำมันและเงินเฟ้อต่อกลุ่มผู้บริโภค ราคาสินค้าในหมวดต่าง ๆ และอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น ทำให้
รายจ่ายของประชาชนในกลุ่มที่มีรายได้ครัวเรือนต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท เพิ่มขึ้น 440 — 580 บาทต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 4.0 — 4.5 ของ
รายได้ สำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้เดือนละ 15,000 — 30,000 บาท รายจ่ายเพิ่มขึ้น 800 — 820 บาทต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 3.1 — 4.2
ของรายได้
3.3.2 ผลกระทบต่อกลุ่มเกษตรกร ราคาน้ำมันและวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้นทุนการทำการเกษตรของเกษตรกรเพิ่มขึ้น เช่น
1) ในกรณีของการปลูกข้าวนั้นถ้าราคาน้ำมัน ราคาปุ๋ย และราคาวัตถุดิบอื่น ๆ ต่างก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จะทำให้ต้นทุน
การผลิตเพิ่มขึ้นตันละ 59 บาท และผลตอบแทนสุทธิจะลดลงเป็นจำนวนเท่ากัน ถ้าราคาขายข้าวและผลผลิตข้าวต่อไร่ไม่เพิ่มขึ้น แต่ถ้าราคาขายเพิ่มขึ้น
ในอัตราเดียวกับใน 2 เดือนแรกของปีนี้ (ร้อยละ 8.3) ผลตอบแทนสุทธิจะเพิ่มขึ้นตันละ 488 บาท
2) ในกรณีของมันสำปะหลังนั้นถ้าราคาน้ำมัน ราคาปุ๋ย และราคาวัตถุดิบอื่น ๆ ต่างก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จะทำให้ต้นทุน
การผลิตเพิ่มขึ้นเพียงตันละ 8 บาทเท่านั้น หากราคาขายและผลผลิตมันสำปะหลังต่อไร่ไม่ได้เพิ่มขึ้น จะทำให้ผลตอบแทนสุทธิลดลงเท่ากัน แต่ถ้าราคา
ขายเพิ่มขึ้นเช่นใน 2 เดือนแรกของปีนี้ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.6 ตามภาวะราคาน้ำมัน) ผลตอบแทนสุทธิจะเพิ่มขึ้นตันละ 662
3.3.3 ผลกระทบต่อกลุ่มข้าราชการและผู้มีรายได้ประจำรายเดือน ในกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบจากการที่ค่าครองชีพสูงขึ้น แต่
มีมาตรการภาษีที่ช่วยให้ประหยัดรายจ่ายภาษีซึ่งทำให้รายได้พึงใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มข้าราชการหรือผู้มีรายได้ประจำประมาณ 15,833 บาทต่อ
เดือนจะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณเดือนละ 570 บาทหรือ 6,840 บาทต่อปี โดยที่ได้ลดภาระภาษีลงประมาณ 5,000 ต่อปี ซึ่งสุทธิแล้วทำให้รายจ่าย
เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งจะทำให้เงินออมลดลงในกรณีของผู้มีเงินออม หรือมีหนี้สินเพิ่มขึ้นในกรณีของผู้ที่เงินได้ไม่พอรายจ่าย
3.3.4 ผลกระทบกลุ่ม SMEs กลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบจากการที่ต้นทุนการผลิตสูงขึ้นและทำให้ผลประกอบการลดลงหากราคา
สินค้าไม่ได้ปรับขึ้นตามต้นทุนการผลิต แต่มีการปรับราคาสินค้าขึ้นตามภาระต้นทุนหรือปรับเพิ่มได้บางส่วนก็จะลดผลกระทบ แต่กลุ่มนี้ได้รับประโยชน์จาก
มาตรการภาษีเพื่อการสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนและ SMEs โดยที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับที่ไม่ใช่นิติบุคคลตาม พ.ร.บ. ส่งเสริม
วิสาหกิจชุมชน สำหรับเงินได้ไม่เกิน 1,200,000 บาทต่อปี และสำหรับกลุ่มที่เป็นนิติบุคคลนั้นสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะทำให้ลดรายจ่ายภาษีประมาณ
รายละ 22,500 บาท
4. ข้อเสนอแนะ รัฐบาลได้กำหนดนโยบายในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนกลุ่ม ต่าง ๆ ไว้ภายใต้กรอบนโยบายรัฐบาล
ทั้ง 8 นโยบาย โดยได้ให้ความสำคัญทั้งกลุ่มผู้ประกอบการ ผู้ส่งออก นักลงทุนทุกขนาด และกลุ่มประชาชนระดับรากหญ้า โดยเป็นการดำเนินการทั้งใน
ระยะสั้นและเร่งด่วนภายใต้นโยบายฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประเทศ และการดำเนินการเพื่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ ที่จะมี
ประสิทธิผลเป็นรูปธรรมในระยะปานกลางควบคู่กันไป รวมทั้งผลักดันให้มีการปรับเพิ่มประสิทธิภาพของภาคธุรกิจเอกชนอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในกลุ่ม
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นอกจากนี้รัฐบาลยังได้เริ่มดำเนินมาตรการอื่น ๆ เสริมเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชน
แล้ว เช่น มาตรการภาษี มาตรการด้านพลังงาน และมาตรการดูแลราคาสินค้า โดยความร่วมมือกับภาคธุรกิจเอกชนเพื่อไม่ให้ราคาสินค้าจำเป็นเพิ่ม
ขึ้นเร็วเกินไปจนกระทั่งประชาชนปรับตัวไม่ทัน เช่น ราคาเนื้อหมู และราคาสินค้าที่ใช้ในครัวเรือน จากการวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและกลุ่ม
ต่าง ๆ ในสังคมดังกล่าว สรุปได้ว่า การดำเนินมาตรการเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาภาวะค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นและความเสี่ยงของการเจริญเติบโตที่น้อย
ลง ควรมีแนวทางดังนี้
4.1 การสร้างโอกาสและรายได้อย่างยั่งยืน ซึ่งได้แก่ การสร้างโอกาสและอาชีพของประชาชนระดับรากหญ้าเพื่อเพิ่มรายได้ การ
สร้างโอกาสและกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการเร่งรัดการใช้งบประมาณรัฐบาลเป็นตัวนำ
4.2 การลดรายจ่ายควรเป็นมาตรการระยะสั้น และไม่บิดเบือนระบบตลาด ไม่ก่อหนี้ภาครัฐ และเลือกใช้มาตรการที่มีผลต่อกลุ่มผู้
เดือดร้อน หรือกลุ่มสินค้าที่ขึ้นราคาอย่างไม่เป็นธรรม
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 25 มีนาคม 2551--จบ--