คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการจัดทำยุทธศาสตร์รองรับสถานการณ์วิกฤตอาหารโลกและพลังงานตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
1. กำหนดเป็นหลักการให้เรื่องวิกฤตอาหารโลกและพลังงานเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ
2. ให้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการเรื่องอาหารและพลังงาน โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย) เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ และมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
1. เสนอยุทธศาสตร์ มาตรการ และแนวทางการพัฒนาการผลิตและการตลาดสินค้าอาหารและ พลังงานต่อคณะรัฐมนตรี
2. กำหนดหลักเกณฑ์ มาตรการ และเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยต่อการผลิต การจำหน่าย การส่งออก และ ใช้ทดแทนพลังงาน รวมทั้งการช่วยเหลือเกษตรกรในการผลิตสินค้าอาหารและพลังงาน
3. สนับสนุนการศึกษาวิจัยด้านการผลิตอาหารชนิดพืช พลังงานทดแทน การปรับปรุงพันธุ์ การแปรรูป การเพิ่มมูลค่า และการตลาด
4. สนับสนุนระบบการขนส่ง (logistics) และการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตอาหารและพลังงานจากพืชทดแทน และการแปรรูปต่อเนื่องเพื่อเพิ่มมูลค่าจากสินค้าเกษตรปฐมภูมิ
5. มีอำนาจในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทำงานตามความจำเป็น
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอว่า จากสถานการณ์การผลิตสินค้าอาหารของโลกที่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะข้าว ทำให้บางประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไม่สามารถผลิตได้ตามปกติ และประเทศที่เคยส่งออกข้าวที่สำคัญ เช่น เวียดนาม อินเดีย ประสบปัญหาผลิตได้ไม่เพียงพอต่อการส่งออก รวมทั้งมีการนำพืชอาหาร เช่น ข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ อ้อยโรงงาน ไปผลิตเป็นพลังงานทดแทนมากขึ้น ในขณะที่ความต้องการอาหารและจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นทำให้พืชที่เป็นอาหารมีราคาสูงขึ้น และเกิดปัญหาการวิตกกังวลเรื่องวิกฤตอาหารขาดแคลนนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะที่ดูแลด้านการผลิตสินค้าอาหารเห็นว่าไทยมีศักยภาพในการผลิตและมีโอกาสเป็นผู้นำในการผลิตอาหารโลก จึงได้วิเคราะห์สถานการณ์ดังนี้
1. สถานการณ์การผลิตสินค้าอาหารที่สำคัญ
1.1 ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ทำการเกษตร 130.28 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 40.62 ของพื้นที่ทั้งประเทศซึ่งมีอยู่ประมาณ 320.7 ล้านไร่ ในจำนวนพื้นที่ทำการเกษตรดังกล่าวเป็นพื้นที่นาประมาณ 63.6 ล้านไร่ โดยแต่ละปีปลูกข้าวนาปีประมาณ 57 ล้านไร่ และข้าวนาปรัง 11 ล้านไร่ สำหรับพื้นที่พืชไร่มีประมาณ 27.5 ล้านไร่ พื้นที่ไม้ผลไม้ยืนต้น 27.7 ล้านไร่ ที่เหลือเป็นพืชอื่น ๆ
1.2 ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตอาหารที่สำคัญรายใหญ่ของโลก เช่น ข้าว มันสำปะหลัง อ้อยโรงงาน ทุเรียน ลำไย มังคุด สับปะรด เป็นต้น และยังเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลกในสินค้าอาหารที่สำคัญได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง และผลไม้ นอกจากนี้ บางสินค้า เช่น น้ำตาล ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 3 ของโลก
1.3 ผลผลิตสินค้าอาหารที่สำคัญของไทยทั้งพืช ปศุสัตว์ และประมง ส่วนใหญ่มีปริมาณผลผลิตพอเพียงกับความต้องการใช้ภายในประเทศ และมีเหลือส่งออกนำรายได้เข้าสู่ประเทศมาโดยตลอด นอกจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งมีผลผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และโคเนื้อที่มีปริมาณผลิตใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคภายในประทศ สำหรับปี 2551 คาดว่าสถานการณ์การผลิตและความต้องการใช้สินค้าอาหารสำคัญของไทยมีดังนี้
1.3.1 พืชไร่และพืชพลังงาน
ข้าว ผลิตได้ 30.93 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 16.94 ล้านตันหรือร้อยละ 55 ของ ผลผลิต ส่งออก 13.26 ล้านตันหรือร้อยละ 45 ของผลผลิต
มันสำปะหลัง ผลิตได้ 27.40 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศในรูปของมันเส้นเพื่อใช้เลี้ยงสัตว์และในรูปแป้งมันสำปะหลังเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อาหารสารความหวาน กระดาษ สิ่งทอ เป็นต้น 8.55 ล้านตันหรือร้อยละ 30 ของผลผลิต และส่งออกในรูปมันเส้น มันอัดเม็ดและแป้งมันสำปะหลัง 19.10 ล้านตันหรือร้อยละ 70 ของผลผลิต
อ้อยโรงงาน ผลิตได้ 66.0 ล้านตัน หรือในรูปน้ำตาล 7.0 ล้านตัน เป็นความต้องการบริโภคภายในประเทศ 2.0 ล้านตันหรือร้อยละ 29 ของผลผลิต และส่งออก 5.0 ล้านตันหรือร้อยละ 71 ของผลผลิต ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผลิตได้ 3.60 ล้านตัน ซึ่งผลผลิตภายในประเทศ เพื่อใช้ผลิตเป็นอาหารสัตว์ไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
ปาล์มน้ำมัน ผลิตได้ 7.873 ล้านตัน หรือในรูปน้ำมันปาล์มดิบ 1.40 ล้านตัน ซึ่งเป็นการบริโภคภายในประเทศในรูปน้ำมัน 0.90 ล้านตัน และเพื่อผลิตไบโอดีเซล 0.35 ล้านตัน และส่งออก 0.13 ล้านตัน
1.3.2 ผลไม้
สับปะรด ผลิตได้ 2.25 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 0.3 ล้านตัน และส่งออกในรูปสับปะรดกระป๋อง น้ำสับปะรด 1.95 ล้านตัน
ลำไย ผลิตได้ 0.50 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 0.05 ล้านตัน และส่งออกในรูปลำไยสดและผลิตภัณฑ์ 0.45 ล้านตัน
ทุเรียน ผลิตได้ 0.74 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 0.35 ล้านตัน และส่งออกในรูปทุเรียนสด ทุเรียนแช่แข็ง และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ 0.39 ตัน
มังคุด ผลิตได้ 0.30 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 0.23 ล้านตัน และส่งออกในรูปมังคุดสด มังคุด
แช่แข็ง 0.07 ล้านตัน
1.3.3 ปศุสัตว์
สุกร ผลิตได้ 14.06 ล้านตัว หรือ 1.12 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 1.01 ล้านตัน และส่งออก 0.012 ล้านตัน
ไก่เนื้อ ผลิตได้ 900.17 ล้านตัว หรือ 1.13 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 0.80 ล้านตัน และส่งออก 0.33 ล้านตัน
ไข่ไก่ ผลิตได้ 9,341 ล้านฟอง ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 9,141 ล้านฟอง และส่งออก 200 ล้านฟอง
โคเนื้อ ผลิตได้ 1.27 ล้านตัว หรือ 0.183 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 0.180 ล้านตัน
กุ้งเพาะเลี้ยง ผลิตได้ 0.5 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 0.075 ล้านตัน และส่งออก 0.37 ล้านตัน
2. สถานการณ์พืชพลังงาน
พืชอาหารและพลังงานที่สำคัญของไทย ได้แก่ มันสำปะหลัง อ้อยโรงงาน และปาล์มน้ำมัน มีปริมาณผลผลิตเพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม จากความต้องการทั้งด้านอาหารและพลังงานที่เพิ่มมากขึ้น
นโยบายสำคัญเน้นการรักษาระดับพื้นที่ปลูก แต่ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ด้วยการใช้พันธุ์ดี และการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมี กำหนดเป้าหมายเพิ่มผลผลิตต่อไร่อย่างน้อยร้อยละ 10 สำหรับสถานการณ์การผลิต และความต้องการใช้เพื่อเป็นพลังงาน มีดังนี้
2.1 มันสำปะหลัง คงพื้นที่ปลูกที่ 7.4 ล้านไร่ เพิ่มผลผลิตต่อไร่จาก 3.7 ตันเป็น 4.7 ตัน โดยมีสัดส่วนพื้นที่เพื่อพลังงาน (ความต้องการพลังงาน) ร้อยละ 8.4 ของพื้นที่ปลูก (0.62 ล้านไร่)
2.2 อ้อยโรงงาน คงพื้นที่ปลูกที่ 6.0 ล้านไร่ เพิ่มผลผลิตต่อไร่จาก 11.0 ตันเป็น 12.0 ตัน โดยมีสัดส่วนพื้นที่เพื่อพลังงาน (ความต้องการพลังงาน) ร้อยละ 2.5 ของพื้นที่ปลูก (0.15 ล้านไร่)
2.3 ปาล์มน้ำมัน ขยายพื้นที่ปลูกจาก 3.0 ล้านไร่ เป็น 5.5 ล้านไร่ ในเขตนาร้าง ไร่ร้าง และพื้นที่เสื่อมโทรม เพิ่มผลผลิตต่อไร่จาก 3.0 ตัน เป็น 3.5 ตัน โดยมีสัดส่วนพื้นที่เพื่อพลังงาน (ความต้องการพลังงาน) ร้อยละ 30 ของพื้นที่ปลูก (1.65 ล้านไร่)
3. ปัญหา
3.1 จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน เนื่องจากปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นมากกว่ากำลังการผลิต ส่งผลให้ประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายประเทศในโลกได้มีนโยบายส่งเสริมการประหยัดพลังงานโดยการใช้พืชพลังงานทดแทน เช่น มันสำปะหลัง อ้อยโรงงาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปาล์มน้ำมัน ทำให้มีการแย่งพื้นที่ปลูกพืชอาหารไปปลูกพืชพลังงานทดแทนเพื่อผลิตพืชให้น้ำมันรับกระแสพลังงานทางเลือกอย่างเอทานอลและไบโอดีเซล
3.2 พืชอาหารสำคัญหลายชนิด ซึ่งเคยใช้เพื่อเป็นอาหารหรือเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตอาหารในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น แป้งจากมันสำปะหลัง น้ำมันจากปาล์มน้ำมัน น้ำตาลจากอ้อยโรงงาน เป็นต้น ได้ถูกนำบางส่วนไปใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตพลังงานทดแทน ทำให้เกิดภาวะอาหารขาดแคลนและมีราคาสูงขึ้น
3.3 จากการผลิตพืชพลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้น จนส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตอาหารที่มีปริมาณผลผลิตลดน้อยลง ในขณะที่ความต้องการอาหารในตลาดโลกมีสูง ทำให้ราคาอาหารปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าประเทศไทยสามารถผลิตอาหารจากพืชและสัตว์เพียงพอกับความต้องการสำหรับประชากรภายในประเทศ และมีเหลือส่งออกเลี้ยงประชากรโลกได้ แต่หากมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการส่งออก โดยไม่พิจารณาสถานการณ์ภายในประเทศ ซึ่งในปัจจุบันราคาสินค้าเกษตรขยับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งค่าครองชีพอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา อาจส่งผลให้เกิดปัญหาวิกฤติอาหารขาดแคลนในประเทศได้
3.4 จากการเปลี่ยนแปลงด้านกลไกตลาดและสภาวะโลกร้อน จะส่งผลให้ราคาข้าวอยู่ในระดับสูง อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้ว่าอาจจะส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เป็นตัวเงิน (Nominal Income) เพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเมื่อราคาสินค้าอาหารพื้นฐานในประเทศสูงขึ้น ย่อมจะส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) ตามมา ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงกว่ารายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้รายได้ที่แท้จริง (Real Income) ของเกษตรกรลดลง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 22 เมษายน 2551--จบ--
1. กำหนดเป็นหลักการให้เรื่องวิกฤตอาหารโลกและพลังงานเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ
2. ให้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการเรื่องอาหารและพลังงาน โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย) เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ และมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
1. เสนอยุทธศาสตร์ มาตรการ และแนวทางการพัฒนาการผลิตและการตลาดสินค้าอาหารและ พลังงานต่อคณะรัฐมนตรี
2. กำหนดหลักเกณฑ์ มาตรการ และเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยต่อการผลิต การจำหน่าย การส่งออก และ ใช้ทดแทนพลังงาน รวมทั้งการช่วยเหลือเกษตรกรในการผลิตสินค้าอาหารและพลังงาน
3. สนับสนุนการศึกษาวิจัยด้านการผลิตอาหารชนิดพืช พลังงานทดแทน การปรับปรุงพันธุ์ การแปรรูป การเพิ่มมูลค่า และการตลาด
4. สนับสนุนระบบการขนส่ง (logistics) และการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตอาหารและพลังงานจากพืชทดแทน และการแปรรูปต่อเนื่องเพื่อเพิ่มมูลค่าจากสินค้าเกษตรปฐมภูมิ
5. มีอำนาจในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทำงานตามความจำเป็น
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอว่า จากสถานการณ์การผลิตสินค้าอาหารของโลกที่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะข้าว ทำให้บางประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไม่สามารถผลิตได้ตามปกติ และประเทศที่เคยส่งออกข้าวที่สำคัญ เช่น เวียดนาม อินเดีย ประสบปัญหาผลิตได้ไม่เพียงพอต่อการส่งออก รวมทั้งมีการนำพืชอาหาร เช่น ข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ อ้อยโรงงาน ไปผลิตเป็นพลังงานทดแทนมากขึ้น ในขณะที่ความต้องการอาหารและจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นทำให้พืชที่เป็นอาหารมีราคาสูงขึ้น และเกิดปัญหาการวิตกกังวลเรื่องวิกฤตอาหารขาดแคลนนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะที่ดูแลด้านการผลิตสินค้าอาหารเห็นว่าไทยมีศักยภาพในการผลิตและมีโอกาสเป็นผู้นำในการผลิตอาหารโลก จึงได้วิเคราะห์สถานการณ์ดังนี้
1. สถานการณ์การผลิตสินค้าอาหารที่สำคัญ
1.1 ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ทำการเกษตร 130.28 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 40.62 ของพื้นที่ทั้งประเทศซึ่งมีอยู่ประมาณ 320.7 ล้านไร่ ในจำนวนพื้นที่ทำการเกษตรดังกล่าวเป็นพื้นที่นาประมาณ 63.6 ล้านไร่ โดยแต่ละปีปลูกข้าวนาปีประมาณ 57 ล้านไร่ และข้าวนาปรัง 11 ล้านไร่ สำหรับพื้นที่พืชไร่มีประมาณ 27.5 ล้านไร่ พื้นที่ไม้ผลไม้ยืนต้น 27.7 ล้านไร่ ที่เหลือเป็นพืชอื่น ๆ
1.2 ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตอาหารที่สำคัญรายใหญ่ของโลก เช่น ข้าว มันสำปะหลัง อ้อยโรงงาน ทุเรียน ลำไย มังคุด สับปะรด เป็นต้น และยังเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลกในสินค้าอาหารที่สำคัญได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง และผลไม้ นอกจากนี้ บางสินค้า เช่น น้ำตาล ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 3 ของโลก
1.3 ผลผลิตสินค้าอาหารที่สำคัญของไทยทั้งพืช ปศุสัตว์ และประมง ส่วนใหญ่มีปริมาณผลผลิตพอเพียงกับความต้องการใช้ภายในประเทศ และมีเหลือส่งออกนำรายได้เข้าสู่ประเทศมาโดยตลอด นอกจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งมีผลผลิตภายในประเทศไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ และโคเนื้อที่มีปริมาณผลิตใกล้เคียงกับความต้องการบริโภคภายในประทศ สำหรับปี 2551 คาดว่าสถานการณ์การผลิตและความต้องการใช้สินค้าอาหารสำคัญของไทยมีดังนี้
1.3.1 พืชไร่และพืชพลังงาน
ข้าว ผลิตได้ 30.93 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 16.94 ล้านตันหรือร้อยละ 55 ของ ผลผลิต ส่งออก 13.26 ล้านตันหรือร้อยละ 45 ของผลผลิต
มันสำปะหลัง ผลิตได้ 27.40 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศในรูปของมันเส้นเพื่อใช้เลี้ยงสัตว์และในรูปแป้งมันสำปะหลังเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อาหารสารความหวาน กระดาษ สิ่งทอ เป็นต้น 8.55 ล้านตันหรือร้อยละ 30 ของผลผลิต และส่งออกในรูปมันเส้น มันอัดเม็ดและแป้งมันสำปะหลัง 19.10 ล้านตันหรือร้อยละ 70 ของผลผลิต
อ้อยโรงงาน ผลิตได้ 66.0 ล้านตัน หรือในรูปน้ำตาล 7.0 ล้านตัน เป็นความต้องการบริโภคภายในประเทศ 2.0 ล้านตันหรือร้อยละ 29 ของผลผลิต และส่งออก 5.0 ล้านตันหรือร้อยละ 71 ของผลผลิต ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ผลิตได้ 3.60 ล้านตัน ซึ่งผลผลิตภายในประเทศ เพื่อใช้ผลิตเป็นอาหารสัตว์ไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
ปาล์มน้ำมัน ผลิตได้ 7.873 ล้านตัน หรือในรูปน้ำมันปาล์มดิบ 1.40 ล้านตัน ซึ่งเป็นการบริโภคภายในประเทศในรูปน้ำมัน 0.90 ล้านตัน และเพื่อผลิตไบโอดีเซล 0.35 ล้านตัน และส่งออก 0.13 ล้านตัน
1.3.2 ผลไม้
สับปะรด ผลิตได้ 2.25 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 0.3 ล้านตัน และส่งออกในรูปสับปะรดกระป๋อง น้ำสับปะรด 1.95 ล้านตัน
ลำไย ผลิตได้ 0.50 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 0.05 ล้านตัน และส่งออกในรูปลำไยสดและผลิตภัณฑ์ 0.45 ล้านตัน
ทุเรียน ผลิตได้ 0.74 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 0.35 ล้านตัน และส่งออกในรูปทุเรียนสด ทุเรียนแช่แข็ง และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ 0.39 ตัน
มังคุด ผลิตได้ 0.30 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 0.23 ล้านตัน และส่งออกในรูปมังคุดสด มังคุด
แช่แข็ง 0.07 ล้านตัน
1.3.3 ปศุสัตว์
สุกร ผลิตได้ 14.06 ล้านตัว หรือ 1.12 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 1.01 ล้านตัน และส่งออก 0.012 ล้านตัน
ไก่เนื้อ ผลิตได้ 900.17 ล้านตัว หรือ 1.13 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 0.80 ล้านตัน และส่งออก 0.33 ล้านตัน
ไข่ไก่ ผลิตได้ 9,341 ล้านฟอง ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 9,141 ล้านฟอง และส่งออก 200 ล้านฟอง
โคเนื้อ ผลิตได้ 1.27 ล้านตัว หรือ 0.183 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 0.180 ล้านตัน
กุ้งเพาะเลี้ยง ผลิตได้ 0.5 ล้านตัน ความต้องการบริโภคภายในประเทศ 0.075 ล้านตัน และส่งออก 0.37 ล้านตัน
2. สถานการณ์พืชพลังงาน
พืชอาหารและพลังงานที่สำคัญของไทย ได้แก่ มันสำปะหลัง อ้อยโรงงาน และปาล์มน้ำมัน มีปริมาณผลผลิตเพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม จากความต้องการทั้งด้านอาหารและพลังงานที่เพิ่มมากขึ้น
นโยบายสำคัญเน้นการรักษาระดับพื้นที่ปลูก แต่ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ด้วยการใช้พันธุ์ดี และการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมี กำหนดเป้าหมายเพิ่มผลผลิตต่อไร่อย่างน้อยร้อยละ 10 สำหรับสถานการณ์การผลิต และความต้องการใช้เพื่อเป็นพลังงาน มีดังนี้
2.1 มันสำปะหลัง คงพื้นที่ปลูกที่ 7.4 ล้านไร่ เพิ่มผลผลิตต่อไร่จาก 3.7 ตันเป็น 4.7 ตัน โดยมีสัดส่วนพื้นที่เพื่อพลังงาน (ความต้องการพลังงาน) ร้อยละ 8.4 ของพื้นที่ปลูก (0.62 ล้านไร่)
2.2 อ้อยโรงงาน คงพื้นที่ปลูกที่ 6.0 ล้านไร่ เพิ่มผลผลิตต่อไร่จาก 11.0 ตันเป็น 12.0 ตัน โดยมีสัดส่วนพื้นที่เพื่อพลังงาน (ความต้องการพลังงาน) ร้อยละ 2.5 ของพื้นที่ปลูก (0.15 ล้านไร่)
2.3 ปาล์มน้ำมัน ขยายพื้นที่ปลูกจาก 3.0 ล้านไร่ เป็น 5.5 ล้านไร่ ในเขตนาร้าง ไร่ร้าง และพื้นที่เสื่อมโทรม เพิ่มผลผลิตต่อไร่จาก 3.0 ตัน เป็น 3.5 ตัน โดยมีสัดส่วนพื้นที่เพื่อพลังงาน (ความต้องการพลังงาน) ร้อยละ 30 ของพื้นที่ปลูก (1.65 ล้านไร่)
3. ปัญหา
3.1 จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน เนื่องจากปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นมากกว่ากำลังการผลิต ส่งผลให้ประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายประเทศในโลกได้มีนโยบายส่งเสริมการประหยัดพลังงานโดยการใช้พืชพลังงานทดแทน เช่น มันสำปะหลัง อ้อยโรงงาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปาล์มน้ำมัน ทำให้มีการแย่งพื้นที่ปลูกพืชอาหารไปปลูกพืชพลังงานทดแทนเพื่อผลิตพืชให้น้ำมันรับกระแสพลังงานทางเลือกอย่างเอทานอลและไบโอดีเซล
3.2 พืชอาหารสำคัญหลายชนิด ซึ่งเคยใช้เพื่อเป็นอาหารหรือเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตอาหารในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น แป้งจากมันสำปะหลัง น้ำมันจากปาล์มน้ำมัน น้ำตาลจากอ้อยโรงงาน เป็นต้น ได้ถูกนำบางส่วนไปใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตพลังงานทดแทน ทำให้เกิดภาวะอาหารขาดแคลนและมีราคาสูงขึ้น
3.3 จากการผลิตพืชพลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้น จนส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตอาหารที่มีปริมาณผลผลิตลดน้อยลง ในขณะที่ความต้องการอาหารในตลาดโลกมีสูง ทำให้ราคาอาหารปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าประเทศไทยสามารถผลิตอาหารจากพืชและสัตว์เพียงพอกับความต้องการสำหรับประชากรภายในประเทศ และมีเหลือส่งออกเลี้ยงประชากรโลกได้ แต่หากมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการส่งออก โดยไม่พิจารณาสถานการณ์ภายในประเทศ ซึ่งในปัจจุบันราคาสินค้าเกษตรขยับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งค่าครองชีพอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา อาจส่งผลให้เกิดปัญหาวิกฤติอาหารขาดแคลนในประเทศได้
3.4 จากการเปลี่ยนแปลงด้านกลไกตลาดและสภาวะโลกร้อน จะส่งผลให้ราคาข้าวอยู่ในระดับสูง อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้ว่าอาจจะส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เป็นตัวเงิน (Nominal Income) เพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเมื่อราคาสินค้าอาหารพื้นฐานในประเทศสูงขึ้น ย่อมจะส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) ตามมา ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงกว่ารายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้รายได้ที่แท้จริง (Real Income) ของเกษตรกรลดลง
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 22 เมษายน 2551--จบ--