สรุปผลการประชุมคณะรัฐมนตรีชุด นายเศรษฐา ทวีสิน (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567

ข่าวการเมือง Tuesday February 27, 2024 16:38 —มติคณะรัฐมนตรี

1
http://www.thaigov.go.th
(โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง)
วันนี้ 27 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 09.00 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทาเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสาคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่
การก่อการร้าย และการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทาลายล้างสูง (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. ?.
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการดาเนินการด้านความปลอดภัยของผู้รับใบอนุญาต กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงมาตรฐาน เกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง และความปลอดภัยในการก่อสร้างสถานประกอบการ ทางนิวเคลียร์และสถานที่ให้บริการ จัดการกากกัมมันตรังสี พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
เศรษฐกิจ-สังคม
3. เรื่อง การจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยและความเสียหายรอบแรก ครั้งที่ 1 และเงินชดเชย ความเสียหายรอบแรก ครั้งที่ 2 ตามพระราชกาหนดการให้ความช่วยเหลือทาง การเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563
4. เรื่อง รายงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 [เรื่อง สิทธิ ของมารดาในช่วงระหว่างก่อนและหลังการคลอดบุตร กรณีการบริโภคโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9)] 5. เรื่อง สรุปภาพรวมดัชนีเศรษฐกิจการค้าประจาเดือนมกราคม 2567 6. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจาเดือนธันวาคม 2566
7. เรื่อง การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO)
ปี 2567 - 2569
8. เรื่อง รายงานผลการดาเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ (กปช.) ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
9. เรื่อง แนวทางการดาเนินงานเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาล เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็น ศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาลในภูมิภาค
10. เรื่อง การปรับวันพิจารณร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
2
ต่างประเทศ
11. เรื่อง เอกสารผลลัพธ์สาหรับการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 6 และร่างแถลงการณ์ระดับสูง (High-Level Statement)
12. เรื่อง การเสนอร่างแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทย
วาระปี 2566-2570 และร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับแผนงานระดับชาติว่าด้วย งานที่มีคุณค่าของประเทศไทย วาระปี 2566-2570
13. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหม อาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ
แต่งตั้ง
14. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดารงตาแหน่งประเภทวิชาการระดับ ทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
15. เรื่อง การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
16. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดารงตาแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
17. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดารงตาแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สานักนายกรัฐมนตรี)
18. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาด
3
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทาลายล้างสูง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ?.
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามที่สานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สานักงาน ปปง.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทาลายล้างสูง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว
2. รับทราบแผนในการจัดทาฎหมายลาดับรอง กรอบเวลา และกรอบสาระสาคัญของกฎหมายลาดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ทั้งนี้ สานักงาน ปปง. ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทาลายล้างสูง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่ สคก. ตรวจพิจารณาแล้ว จึงได้เสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมาเพื่อดาเนินการอีกครั้งหนึ่ง ร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทาลายล้างสูง พ.ศ. 2559 เพื่อกาหนดหลักประกันในสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานแก่บุคคลที่ ถูกกาหนดให้เป็นผู้ที่มีการกระทาอันเป็นการก่อการร้าย หรือการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทาลายล้างสูง ให้สามารถนาทรัพย์สินที่ถูกระงับการดาเนินการ มาใช้เป็นค่าใช้จ่ายจาเป็นพื้นฐานของตนเองและครอบครัว และกาหนดให้บุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องอาจยื่นคาร้องต่อสานักงาน ปปง. เพื่อดาเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ถูกระงับการดาเนินการ เพื่ออานวยความสะดวกแก่ประชาชนและลดขั้นตอนการดาเนินการและภาระค่าใช้จ่ายแก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกาหนดหน้าที่และอานาจของสานักงาน ปปง. ในการรวบรวมหลักฐานและการดาเนินคดีให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประเทศไทยมีมาตรการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายและการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทาลายล้างสูงที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ทั้งนี้ ได้เสนอแผนในการจัดทากฎหมายลาดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสาคัญของกฎหมายลาดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ รวม 2 ฉบับ ได้แก่ กฎกระทรวงการดาเนินการกับทรัพย์สินที่ถูกระงับการดาเนินการเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายจาเป็นพื้นฐาน พ.ศ. .... และกฎกระทรวงการยื่นคาร้องขอดาเนินการกับทรัพย์สินที่ถูกระงับการดาเนินการ พ.ศ. ....
สาระสาคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. กาหนดให้สานักงาน ปปง. มีหน้าที่ดาเนินการให้บุคคลที่ถูกกาหนดให้เป็นผู้ที่มีการกระทาอันเป็นการก่อการร้ายหรือการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทาลายล้างสูง (บุคคลที่ถูกกาหนด) หรือผู้เป็นเจ้าหนี้ในค่าใช้จ่ายจาเป็นพื้นฐาน สามารถนาเงินหรือทรัพย์สินที่ถูกระงับการดาเนินการ มาใช้เป็นค่าใช้จ่ายจาเป็นพื้นฐานได้ เช่น ค่าอาหาร ค่าที่อยู่อาศัย ค่ารักษาพยาบาล รวมถึงค่าใช้จ่ายจาเป็นพื้นฐานของคู่สมรส บิดา มารดา และบุตรซึ่งอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของบุคคลที่ถูกกาหนดด้วย เพื่อเป็นการให้ความคุ้มครองตามสิทธิขั้นพื้นฐานในการดารงชีวิต
2. กาหนดห้ามบุคคลช่วยเหลือทางการเงินแก่บุคคลที่ถูกกาหนด โดยการจัดหา รวบรวม หรือดาเนินการทางการเงินหรือทรัพย์สิน หรือดาเนินการด้วยประการใด ๆ แก่บุคคลที่ถูกกาหนด เพื่อตัดช่องทางการให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนบุคคลที่ถูกกาหนดในการนาเงินหรือทรัพย์สินไปใช้ในการกระทาความผิด
3. กาหนดให้สานักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สานักงานที่ดินจังหวัด สานักงานที่ดินสาขา หรือสานักงานที่ดินอาเภอ ได้รับยกเว้นไม่ต้องกาหนดนโยบายในการประเมินความเสี่ยงหรือแนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกัน มิให้มีการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายหรือการสนับสนุนทางการเงินแก่การแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทาลายล้างสูง เช่น มาตรการในการรายงานธุรกรรมที่มีเหตุอันควรสงสัย (เนื่องจากร่างพระราชบัญญัตินี้กาหนดบทลงโทษกรณีที่มีการฝ่าฝืน ไม่กาหนดนโยบายในการประเมินความเสี่ยงหรือแนวทางปฏิบัติฯ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการตีความ จึงระบุให้ชัดเจนในกรณีสานักงานที่ดิน เนื่องจากไม่ใช่หน่วยงานที่มีความเสี่ยงโดยตรงในการติดต่อกับผู้ใช้บริการที่จะเข้าข่ายเป็นการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย)
4
4. กาหนดให้บุคคลอื่นที่ไม่ใช่บุคคลที่ถูกกาหนดสามารถยื่นคาร้องต่อสานักงาน ปปง. เพื่อนาเงินหรือทรัพย์สินที่ถูกระงับการดาเนินการมาชาระหนี้ให้แก่บุคคลที่ถูกกาหนดซึ่งเป็นลูกหนี้ได้ เพื่อเป็นการอานวยความสะดวกให้แก่บุคคลที่ถูกกาหนด จะไม่ตกเป็นผู้ผิดนัดชาระหนี้
5. กาหนดให้สานักงาน ปปง. มีอานาจหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูลและพยานหลักฐาน เพื่อนามาใช้ในการกาหนดหรือเพิกถอนรายชื่อบุคคลที่ถูกกาหนด หรือการยึด อายัดหรือริบทรัพย์สิน รวมทั้งมีอานาจหน้าที่สอบถามหรือเรียกผู้มีหน้าที่รายงานซึ่งเป็นสถาบันการเงินหรือผู้ประกอบอาชีพส่งเจ้าหน้าที่มาให้ถ้อยคาหรือส่งเอกสารต่าง ๆ มาใช้ในการกาหนด และเพิกถอนรายชื่อบุคคลที่ถูกกาหนด โดยอาจร้องขอข้อมูลที่อยู่ในความครอบครอง หรือควบคุมดูแลของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐก็ได้
6. กาหนดเพิ่มเติมความผิดในฐานต่าง ๆ เช่น ฝ่าฝืนไม่กาหนดนโยบายหรือแนวทางปฏิบัติ หรือมาตรการอื่นใดที่จาเป็นเพื่อป้องกันการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย หรือการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทาลายล้างสูง ฝ่าฝืนให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนทางการเงินแก่บุคคลที่ถูกกาหนด ฝ่าฝืนไม่มาให้ถ้อยคา ไม่ส่งคาชี้แจง หรือไม่ส่งบัญชี เอกสาร หรือหลักฐาน และแก้ไขเพิ่มเติมความผิดเกี่ยวกับการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และความผิดเกี่ยวกับการสนับสนุนทางการเงินแก่การแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทาลายล้างสูง ให้มีอัตราโทษที่เหมาะสม รวมทั้งกาหนดให้ความผิดบางประการที่นิติบุคคลเป็นผู้กระทาความผิด เป็นความผิดที่เปรียบเทียบได้
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการดาเนินการด้านความปลอดภัยของผู้รับใบอนุญาต กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงมาตรฐานเกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง และความปลอดภัยในการก่อสร้างสถานประกอบการทางนิวเคลียร์และสถานที่ให้บริการ จัดการกากกัมมันตรังสี พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการดาเนินการด้านความปลอดภัยของผู้รับใบอนุญาต กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงมาตรฐานเกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง และความปลอดภัยในการก่อสร้างสถานประกอบการทางนิวเคลียร์และสถานที่ให้บริการจัดการกากกัมมันตรังสี พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสานักงาน สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดาเนินการต่อไปได้
2. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดาเนินการต่อไปด้วย
สาระสาคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการดาเนินการด้านความปลอดภัยของผู้รับใบอนุญาต กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี พ.ศ. ....
1.1 กาหนดระดับของเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสีมี 4 ระดับ ได้แก่ (1) เหตุฉุกเฉินสาธารณะ (2) เหตุฉุกเฉินในพื้นที่ตั้งสถานประกอบการ (3) เหตุฉุกเฉินในพื้นที่ปฏิบัติงานทางนิวเคลียร์และรังสี (4) เหตุแจ้งเตือน
1.2 กาหนดให้การดาเนินการของผู้รับใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ แบ่งออกเป็น 4 จาพวก โดยใช้เกณฑ์ของการดาเนินการเพื่อประโยชน์ในการตอบสนองกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสีเป็นเกณฑ์ในการจัดจาพวกดังกล่าว เช่น
จาพวกที่ 1 อาทิ การดาเนินการสถานที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ขนาดกาลังเกินกว่า 100 เมกะวัตต์ (ความร้อน) การดาเนินการสถานที่จัดเก็บเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้วที่เพิ่งนาออกจาก แกนเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ซึ่งมีค่ากัมมันตภาพจากซีเซียม 137 เกินกว่า 0.1 เอกซะเบ็กเคอเรล
5
จาพวกที่ 2 อาทิ การดาเนินการสถานที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ขนาดกาลังเกินกว่า 2 เมกะวัตต์ (ความร้อน) แต่ไม่เกิน 100 เมกะวัตต์ (ความร้อน) การดาเนินการ สถานที่จัดเก็บเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้วที่เพิ่งนาออกจากแกนเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ซึ่งจาเป็นต้องระบายความร้อนตลอดเวลา
จาพวกที่ 3 อาทิ การดาเนินการสถานที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ขนาดกาลัง ไม่เกิน 2 เมกะวัตต์ (ความร้อน) การดาเนินการสถานประกอบการที่อาจก่อให้เกิดอัตรา ปริมาณรังสีต่อร่างกายโดยตรงเกินกว่า 100 มิลลิเกรย์ต่อชั่วโมง ที่ระยะ 1 เมตร หากเสียวัสดุกาบังไป
จาพวกที่ 4 อาทิ การดาเนินการการครอบครองหรือใช้วัสดุกัมมันตรังสีที่ อาจก่อให้เกิดอัตราปริมาณรังสีต่อร่างกายโดยตรงเกินกว่า 1 มิลลิเกรย์ต่อชั่วโมง ที่ระยะ 1 เมตร หากเสียวัสดุ กาบังไป
1.3 กาหนดให้ผู้รับใบอนุญาตต้องจัดทาแผนป้องกันอันตรายจากรังสี กาหนดให้ผู้รับใบอนุญาตมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามแผนป้องกันและมีข้อกาหนดที่ต้องปฏิบัติเพื่อการรักษาความปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสีของผู้ปฏิบัติงาน เช่น การกาหนดขีดจากัดปริมาณรังสีของผู้ปฏิบัติงาน การจัดให้มีบุคคลหรือหน่วยงานในการตอบสนอง การจัดให้มีการอบรมและติดประกาศถึงขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และ รังสี การจัดให้มีการฝึกซ้อมแผน เป็นต้น
1.4 กาหนดให้ผู้รับใบอนุญาตที่ดาเนินการจาพวกที่ 1 ถึงจาพวกที่ 4 มีหน้าที่ในการจัดทาและดาเนินการ
1.4.1 จาพวกที่ 1 มีหน้าที่จัดทาแผนป้องกันอันตรายจากรังสี กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสีทุกระดับ กาหนดเขตพื้นที่เพื่อประโยชน์ในการรองรับเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี (เขตเตรียมการป้องกันล่วงหน้า เขตป้องกันเร่งด่วน เขตป้องกันระยะยาว และเขตป้องกันการบริโภคและโภคภัณฑ์)1 และกาหนดมาตรการฉุกเฉินเพิ่มเติมในแผนป้องกันอันตรายจากรังสี กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี ได้แก่ มาตรการป้องกันล่วงหน้าและป้องกันเร่งด่วน
1.4.2 จาพวกที่ 2 มีหน้าที่จัดทาแผนป้องกันอันตรายจากรังสี กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสีทุกระดับ กาหนดเขตพื้นที่เพื่อประโยชน์ในการรองรับเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี (เขตป้องกันเร่งด่วน เขตป้องกันระยะยาว และเขตป้องกันการบริโภคและโภคภัณฑ์) และกาหนดมาตรการฉุกเฉินเพิ่มเติมในแผนป้องกันอันตรายจากรังสีกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี
1.4.3 จาพวกที่ 3 มีหน้าที่จัดทาแผนป้องกันอันตรายจากรังสี กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี ให้ครอบคลุมระดับเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี ตามข้อ 1.1 (3) และ (4) และกาหนดมาตรการฉุกเฉินเพิ่มเติมในแผนป้องกันอันตรายจากรังสี กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสีในส่วนของมาตรการเร่งด่วน
1.4.4 จาพวกที่ 4 หน้าที่จัดทาแผนป้องกันอันตรายจากรังสี กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี ให้ครอบคลุมระดับเหตุฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี ตามข้อ 1.1 (4)
2. ร่างกฎกระทรวงมาตรฐานเกี่ยวกับความมั่นคงแข็งแรง และความปลอดภัยในการก่อสร้างสถานประกอบการทางนิวเคลียร์และสถานที่ให้บริการ จัดการกากกัมมันตรังสี พ.ศ. ....
2.1 กาหนดให้นากฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารมาใช้บังคับโดยอนุโลม ในเรื่องดังนี้ เช่น (1) การรับน้าหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคาร และพื้นดินที่รองรับอาคาร (2) แบบและวิธีการเกี่ยวกับการติดตั้งระบบประปา ก๊าซ ไฟฟ้า เครื่องกล ความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัยหรือภัยพิบัติอย่างอื่น และการป้องกันอันตรายเมื่อมีเหตุชุลมุนวุ่นวาย (3) แบบและจานวนของห้องน้าและห้องส้วม
2.2 กาหนดให้นากฎหมายว่าด้วยโรงงานสาหรับโรงงานจาพวกที่ 32 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ในเรื่องดังนี้ (1) กาหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับลักษณะอาคารของโรงงานหรือลักษณะภายในของโรงงาน (2) กาหนดลักษณะ ประเภทหรือชนิดของเครื่องจักร เครื่องอุปกรณ์หรือสิ่งที่ต้องนามาใช้ในการประกอบกิจการโรงงาน (3) กาหนดหลักเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติ กรรมวิธีการผลิตและการจัดให้มีอุปกรณ์หรือเครื่องมืออื่นใด เพื่อป้องกันหรือ
6
ระงับหรือบรรเทาอันตราย ความเสียหายหรือความเดือดร้อนที่อาจเกิดแก่บุคคลหรือทรัพย์สินที่อยู่ในโรงงานหรือที่อยู่ใกล้เคียงกับโรงงาน
2.3 กาหนดให้การออกแบบและการก่อสร้างสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ให้คานึงถึงหลักการความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ซึ่งประกอบด้วยหลักการควบคุม อันตรกิริยานิวเคลียร์และรังสี การระบายความร้อนที่เกิดขึ้นจากอันตรกิริยานิวเคลียร์ และการกักเก็บวัสดุกัมมันตรังสีและการกาบังรังสี
2.4 กาหนดให้อาคารและโครงสร้างนอกเหนือจากที่กาหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร ให้รวมถึงข้อกาหนดทางวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องกับฐานราก และโครงสร้างในสถานประกอบการทางนิวเคลียร์
2.5 กาหนดเกี่ยวกับความปลอดภัยในสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ ดังนี้ (1) ระบบป้องกันเพลิงไหม้เป็นข้อกาหนดที่ใช้สาหรับอาคารที่ใช้จัดเก็บหรือใช้วัสดุกัมมันตรังสี วัสดุนิวเคลียร์ เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ กากกัมมันตรังสี หรือเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ใช้แล้ว (2) ระบบระบายอากาศ ระบบกรองอากาศ และระบบน้าทิ้งเพื่อป้องกันมิให้รังสีออกสู่ภายนอกสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ ทั้งทางการระบายอากาศและระบบน้าทิ้งเกินกว่าที่กาหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วยการปล่อยทิ้งกากกัมมันตรังสี โดยกาหนดให้มีการควบคุมช่องทางเข้าออกของอากาศและการกรองวัสดุกัมมันตรังสีที่ปนเปื้อนในอากาศและการบาบัดน้าทิ้งก่อนปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม (3) คอนเทนเมนต์ (containment)3 และคอนไฟน์เมนต์ (confinement)4 เป็นข้อกาหนดเกี่ยวกับระบบกักเก็บรังสี สาหรับสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ ประเภทสถานที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์ทางนิวเคลียร์เพื่อการผลิตพลังงาน โดยควบคุมการกักเก็บกัมมันตรังสีภายในขอบเขตแรงดันน้าหล่อเย็นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และมีข้อกาหนดสาหรับถังหรือบ่อปฏิกรณ์ของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ ประเภทที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่อการวิจัยด้วย
1 (1) เขตเตรียมการป้องกันล่วงหน้า (precautionary action zone หรือ PAZ) ที่เป็นพื้นที่ซึ่งสามารถบริหารจัดการเพื่อรองรับการป้องกันอันตรายจากผลกระทบทางรังสีนอกเหนือจากเขตป้องกันเร่งด่วน
(2) เขตป้องกันเร่งด่วน (urgent protective action planning zone หรือ UPZ) ที่เป็นพื้นที่ซึ่งสามารถดาเนินการตามมาตรการป้องกันอันตรายทางรังสีได้ทันที
(3) เขตป้องกันระยะยาว (extended planning distance หรือ EPD) ที่เป็นพื้นที่ซึ่งสามารถเตรียมการเพื่อรองรับผลกระทบทางรังสีนอกเหนือจากเขตเตรียมการป้องกันล่วงหน้าและเขตป้องกันเร่งด่วน
(4) เขตป้องกันการบริโภคและโภคภัณฑ์ (ingestion and commodities planning distance หรือ ICPD) ที่เป็นพื้นที่ซึ่งมีการเตรียมการตอบสนองเพื่อปกป้องห่วงโซ่อาหารน้าดื่ม และเครื่องอุปโภคจากการปนเปื้อนด้วยวัสดุกัมมันตรังสีอย่างมีนัยสาคัญและเพื่อป้องกันประชาชนจากการบริโภคอาหารและน้าดื่มและจากการใช้เครื่องอุปโภคที่อาจมีการปนเปื้อนด้วยวัสดุกัมมันตรังสี
2 โรงงานที่มีแรงม้าของเครื่องจักรมากกว่า 500 แรงม้า และ/หรือมีจานวนมากกว่า 50 คน หรือเป็นโรงงานที่มีมลภาวะ เป็นโรงงานที่ต้องขอรับใบอนุญาตก่อน จึงจะตั้งโรงงานได้
3 containment หมายความว่า อาคารหรือสิ่งก่อสร้างกักอากาศ (air-tight) ล้อมรอบเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เพื่อกักเก็บวัสดุกัมมันตรังสีที่อาจออกสู่สิ่งแวดล้อมภายนอกในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ โดยมากมักเป็นรูปโดมและทาจากคอนกรีตเสริมเหล็ก
4 confinement หมายความว่า อาคารหรือสิ่งก่อสร้างล้อมรอบเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เพื่อจากัดวัสดุกัมมันตรังสีที่ออกสู่สิ่งแวดล้อมภายนอกในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ โดยผ่านกระบวนการหรือช่องทางที่กาหนดไว้
เศรษฐกิจ-สังคม
3. เรื่อง การจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยและความเสียหายรอบแรก ครั้งที่ 1 และเงินชดเชยความเสียหายรอบแรก ครั้งที่ 2 ตามพระราชกาหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563
7
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินการจัดสรรงบประมาณสาหรับการจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยและเงินชดเชยความเสียหายรอบแรก ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ตามมาตรา 9 และมาตรา 11 แห่งพระราชกาหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พระราชกาหนด Soft Loan) คิดเป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 1,453.11 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
การจ่ายเงินชดเชยตามพระราชกาหนด Soft Loan
จานวน (ล้านบาท)
1) เงินชดเชยดอกเบี้ยให้สถาบันการเงิน (จานวน 24 แห่ง)
1,312.11
2) เงินชดเชยความเสียหายรอบแรก ครั้งที่ 1 (จานวน 12 แห่ง)
60.63
3) เงินชดเชยความเสียหายรอบแรก ครั้งที่ 2 (จานวน 12 แห่ง)
80.37
รวมทั้งสิ้น
1,453.11
ทั้งนี้ หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแล้ว กค. จะดาเนินการยื่นขอรับจัดสรรงบกลาง รายการ เงินสารองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจาเป็นต่อสานักงบประมาณ (สงป.) ตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ กค. เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบกรอบวงเงินการจัดสรรงบประมาณสาหรับการจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยและและเงินชดเชยความเสียหายรอบแรก ครั้งที่ 1 และรอบแรกครั้งที่ 2 ของสถาบันการเงิน ตามมาตรา 9 และมาตรา 11 แห่งพระราชกาหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (พระราชกาหนด Soft Loan) เป็นจานวนเงินรวมทั้งสิ้น 1,453.11 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการกากับการจ่ายชดเชยในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 และในคราวประชุมครั้งที่ 2/2566 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2566 ได้มีมติเห็นชอบผลการคานวณเงินชดเชยดอกเบี้ยและเงินชดเชยความเสียหาย สาหรับการคานวณเงินชดเชยรอบแรก ครั้งที่ 1 ของสถาบันการเงิน จานวน 1,372.74 ล้านบาท และผลการคานวณเงินชดเชยความเสียหายสาหรับการคานวณเงินชดเชยรอบแรก ครั้งที่ 2 ของสถาบันการเงิน จานวน 80.37 ล้านบาท ตามลาดับ โดยได้ผ่านกระบวนการสอบทานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้ว รวมถึงได้แจ้งผลการพิจารณาดังกล่าวให้สถาบันการเงินผู้ยื่นคาขอรับเงินชดเชยเพื่อทราบ โดยสถาบันการเงินไม่มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด และได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแจ้งจานวนเงินชดเชยดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
4. เรื่อง รายงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 [เรื่อง สิทธิของมารดาในช่วงระหว่างก่อนและหลังการคลอดบุตร กรณีการบริโภคโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9)]
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการดาเนินการและความเห็นในภาพรวมของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เรื่อง สิทธิของมารดาในช่วงระหว่างก่อนและหลังการคลอดบุตร กรณีการบริโภคโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9) ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ
เรื่องเดิม
คณะรัฐมนตรีมีมติ (28 พฤศจิกายน 2566) รับทราบรายงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 [เรื่อง สิทธิของมารดาในช่วงระหว่างก่อนและหลังการคลอดบุตร กรณีการบริโภคโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9)] ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผผ.) เสนอ และให้ สธ. เป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของ ผผ. ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงแรงงาน (รง.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) สานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วให้ สธ. สรุปผลการพิจารณา /ผลการดาเนินการ/ความเห็นในภาพรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสาคัญ
สธ. รายงานว่า ได้รวบรวมและสรุปผลการพิจารณาฯ ในภาพรวมแล้ว สรุปได้ ดังนี้
8
ข้อเสนอแนะของ ผผ. [ตามมติคณะรัฐมนตรี
(28 พฤศจิกายน 2566)]
ผลการดาเนินการ/ความเห็นเพิ่มเติม
1. ให้รัฐบาลผลักดันเรื่องการป้องกันความพิการแต่กาเนิดเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ เพื่อผลักดันเชิงนโยบายให้หน่วยงานดาเนินการอย่างต่อเนื่องและเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรต่อไป
ผลการดาเนินการ
สธ. เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนานโยบายและแผนการดาเนินงานด้านการป้องกันความพิการแต่กาเนิดในระดับชาติ โดยมีการดาเนินการ ดังนี้
- จัดทาแผนปฏิบัติการภายใต้นโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2560-2569) ว่าด้วยการส่งเสริมการเกิดและการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพโดยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการร่วมกันกาหนดแผนการดาเนินโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งหมด 4 ยุทธศาสตร์ โดยยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง คือ ยุทธศาสตร์ที่ 2 พัฒนาระบบ
บริการสาธารณสุขและสร้างการเข้าถึงบริการอย่างเท่าเทียม ซึ่งมีการดาเนินงานเรื่องการป้องกันความพิการแต่กาเนิดผ่าน 2 โครงการสาคัญ คือ โครงการป้องกันภาวะโลหิตจางในหญิงวัยเจริญพันธุ์และลดความพิการแต่กาเนิด (โครงการสาวไทยแก้มแดง)1 และโครงการวิวาห์สร้างชาติ2 ซึ่งทั้ง 2 โครงการให้ความสาคัญกับการป้องกันและควบคุมภาวะโลหิตจางและป้องกันความพิการแต่กาเนิดของทารก โดยการส่งเสริมโภชนศึกษาและการเสริมวิตามินธาตุเหล็ก 60 มิลลิกรัม และกรดโฟลิก 2.8 มิลลิกรัม สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ให้แก่หญิงวัยเจริญพันธุ์ตามชุดสิทธิประโยชน์
- ศูนย์ปฏิบัติการตรวจคัดกรองสุขภาพทารกแรกเกิดแห่งชาติได้มีการให้บริการตรวจคัดกรองทารกแรกเกิดครอบคลุมทั่วประเทศและรายงานผลการตรวจคัดกรองเพื่อให้ได้รับการรักษาทันเวลา
- พัฒนาเรื่องการดาเนินงานการจดทะเบียนพิการแต่กาเนิดระดับประเทศ
2. ให้รัฐบาลจัดให้มีคณะกรรมการขับเคลื่อนบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงาน เพื่อดาเนินการตามระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่องการป้องกันความพิการ
แต่กาเนิดในระดับชาติและระดับจังหวัดอันจะเป็นกลไกสาคัญในการบริหารจัดการโครงการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผลการดาเนินการ
สธ. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนแผนงานระดับประเทศในการดูแลรักษาและป้องกันเด็กพิการแต่กาเนิด โดยมีอธิบดีกรมอนามัยเป็นประธาน อนุกรรมการประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีรองอธิบดีกรมอนามัยและรองอธิบดีกรมการแพทย์เป็นเลขานุการ ซึ่งมีหน้าที่ร่วมกันพิจารณาจัดทานโยบาย แผนยุทธศาสตร์และแผนงานระดับประเทศในการดูแลรักษาและป้องกันเด็กพิการแต่กาเนิด นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างจัดทาคาสั่ง สธ. เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการควบคุมและป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กและ
9
กรดโฟลิก เพื่อนาเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนางานอนามัยแม่และเด็ก (MCH Board) 3 ต่อไป
3. ให้รัฐบาลผลักดันให้มีการจัดทากฎหมายสิทธิของมารดาในช่วงระหว่างก่อนและหลังการคลอดบุตร
ผลการดาเนินการ
- คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้พัฒนาคุณภาพบริการสาธารณสุขภายใต้รายการหรือกิจกรรมบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค โดยมีรายการบริการเพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กและลดความพิการแต่กาเนิดภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์ด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เช่น หญิงตั้งครรภ์ได้รับยาเสริมธาตุเหล็ก 60 มิลลิกรัม กรดโฟลิก (วิตามิน B9) 0.4 มิลลิกรัม ไอโอดีน 150 ไมโครกรัมต่อวัน รับประทานทุกวันตลอดการตั้งครรภ์หญิงวัยเจริญพันธุ์ อายุ 25-45 ปี ได้รับธาตุเหล็ก 60 มิลลิกรัมและกรดโฟลิก (วิตามิน B9) 2.8 มิลลิกรัม ต่อสัปดาห์ สปสช. ได้ปรับการจ่ายค่าบริการสาธารณสุขให้แก่หน่วยบริการที่ให้บริการยาดังกล่าวเป็นการจ่ายตามรายการบริการ (Fee Schedule) กรณีบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค สาหรับบริการพื้นฐาน4 เช่น บริการยาเม็ดเสริมธาตุเหล็กและกรดโฟลิก 80 บาทต่อครั้ง (แบบเหมาจ่ายคนละ 1 ครั้งต่อปี) โดยประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุข ณ หน่วยบริการสาธารณสุข ทั้งในสังกัดสานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยบริการร่วม เช่น ร้านขายยา คลินิกพยาบาล
4. ให้รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณให้ สธ. ในด้านบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในระยะยาว รวมถึงการจัดทานโยบายเร่งด่วนเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพประชากรสามารถดาเนินการได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพต่อไป
ผลการดาเนินการ
- สธ. สนับสนุนการจัดสรรงบประมาณและหาแหล่งเงินทุนเพื่อการวิจัยเกี่ยวกับวิตามินโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9) สาหรับพัฒนานโยบายและแผนการดาเนินงานการป้องกันความพิการแต่กาเนิดในระดับประเทศ
- สสส. จัดสรรงบประมาณสนับสนุนโครงการสร้างเสริมสุขภาพต่าง ๆ
5. ให้หน่วยงานของรัฐบูรณาการความร่วมมือในการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ให้หญิงวัยเจริญพันธุ์และมารดาในช่วงระหว่างก่อนและหลังคลอดบุตรทราบถึงประโยชน์ของการบริโภคโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9) โดยประชาสัมพันธ์สร้างความรอบรู้ผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่หลากหลายและช่องทางอื่นตามบริบทของพื้นที่ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
(1) สธ. ประชาสัมพันธ์สร้างความรู้
และรณรงค์ผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อให้ทราบถึงประโยชน์และการเข้าถึงโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9)
ผลการดาเนินการ
- สธ. ได้รณรงค์ ประชาสัมพันธ์ส่งเสริมความรอบรู้และความตระหนักแก่หญิงวัยเจริญพันธุ์และมารดา
10
ตลอดจนรับรู้สิทธิและประโยชน์ของตนเองเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
ในช่วงระหว่างก่อนและหลังคลอดบุตรผ่านช่องทาง ต่าง ๆ ในเรื่องของประโยชน์และการเข้าถึงชุดสิทธิประโยชน์ของตนเองที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคตามประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของการได้รับบริการยาเม็ดเสริมธาตุเหล็กและโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9)
- สธ. ขยายผลโครงการสาวไทยแก้มแดงในสถานประกอบการ โดยกรมอนามัยร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนสู่ระดับพื้นที่เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มหญิงวัยเจริญพันธุ์ได้เป็นจานวนมากโดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566มีสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการฯ 115 แห่ง ครอบคลุมหญิงวัยเจริญพันธุ์ 35,973 คน
(2) ศธ. ร่วมกับ สธ. จัดทาหลักสูตรการเรียนรู้สุขศึกษารอบด้านในทุกระดับชั้นอย่างเหมาะสมกับอายุและมีความต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องถึงประโยชน์ของโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9) รวมถึงเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ผ่านกิจกรรมและมีส่วนร่วมในการประชาสัมพันธ์ เช่น สภานักเรียน สภาเด็กและเยาวชน
ผลการดาเนินการ
ศธ. จัดทากรอบหลักสูตรและพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาการเรียนรู้ด้านสุขศึกษาแก่เยาวชนทุกระดับและเหมาะสมตามวัยโดยมุ่งเน้นให้เด็กเยาวชนหญิงมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประโยชน์ของวิตามินโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9)
(3) กรมการปกครองและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มท. ให้หน่วยงานในสังกัดหรือกากับ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคประชาสัมพันธ์ให้ความรู้กับประชาชนในชุมชนผ่านหอกระจายข่าวอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง
ผลการดาเนินการ
มท. (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) กากับ ดูแลการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับประโยชน์ของวิตามินโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9) ในการป้องกันความพิการแต่กาเนิดทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง
(4) พม. ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ประโยชน์ของโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9) รวมถึงสิทธิประโยชน์และสวัสดิการต่าง ๆ ให้กับประชาชน วัยรุ่น ศูนย์พัฒนาครอบครัว และชุมชนได้รับทราบ
ผลการดาเนินการ
พม. ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพการคุ้มครองพิทักษ์สิทธิแก่เด็กและเยาวชน จัดบริการสวัสดิการ และประชาสัมพันธ์สร้างความรับรู้ถึงประโยชน์ของวิตามินโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9) ในการป้องกันความพิการแต่กาเนิดภายใต้ภารกิจการส่งเสริมและพัฒนาครอบครัวคุ้มครองพิทักษ์สิทธิสตรี
(5) รง. ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้กับหญิงวัยเจริญพันธุ์ เกี่ยวกับประโยชน์ของโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9) และอนามัยเจริญพันธุ์ การเตรียมพร้อมก่อนการตั้งครรภ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ ในสถานประกอบการ
ความเห็นเพิ่มเติม
รง.พร้อมสนับสนุนการบูรณาการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ในเรื่องดังกล่าวผ่านช่องทางต่าง ๆ ในสถานประกอบการ ทั้งนี้ รง. มีภารกิจในการกากับ ดูแล และส่งเสริมให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งสภาพการจ้างงาน สภาพการทางาน สวัสดิการแรงงาน โดยได้ปรับปรุงชุดบริการสุขภาพในสถานประกอบการภายใต้สิทธิประกันสังคมให้มีรายการบริการยาเม็ดเสริมธาตุเหล็กเพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุ
11
เหล็กในกลุ่มหญิงวัยเจริญพันธุ์เช่นเดียวกับการบริหารงานด้านส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคตามชุดสิทธิประโยชน์ของ สปสช.
(6) สปสช. ชี้แจงทาความเข้าใจหลักเกณฑ์และวิธีการดาเนินงานแก่หน่วยงานด้านสาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์ให้ทราบข้อมูลที่ถูกต้องและตรงกัน
ผลการดาเนินการ
สปสช. ได้ดาเนินการจัดให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุข รายการบริการเพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กและลดความพิการแต่กาเนิด ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์ด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ณ หน่วยบริการสาธารณสุข ทั้งในสังกัดสานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยบริการร่วม เช่น ร้านขายยา คลินิกพยาบาล
(7) สสส. บูรณาการขับเคลื่อนการทางานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยการผลิตสื่อและสื่อสารสู่ประชาชนในช่องทางต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
ผลการดาเนินการ
สสส. ได้ผลักดัน สนับสนุน ขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาพภายใต้แผนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว และแผนสนับสนุนการสร้างเสริมระบบบริการสุขภาพ
(8) องค์การเภสัชกรรมควรผลิตโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9) ในราคาที่เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของประชาชน
ผลการดาเนินการ
- องค์การเภสัชกรรมได้วิจัย พัฒนา และผลิตวิตามินโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9) สาหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์ในประเทศที่วางแผนจะมีบุตรและมารดาในช่วงก่อนและหลังการคลอดบุตร จานวน 5 รายการ5
- สธ. สารวจคุณภาพยาเม็ดโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9) ขนาด 5 มิลลิกรัม โดยการตรวจวิเคราะห์ตามข้อกาหนดมาตรฐานของตารับยาสากล เพื่อให้ได้ยาที่มีมาตรฐานสากลและมีความปลอดภัย
ความเห็นเพิ่มเติม
องค์การเภสัชกรรมเห็นว่า หากมีการผลักดันรายการยาดังกล่าวเข้าชุดสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงยาในกลุ่มเป้าหมาย
6. ให้ สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดาเนินการจัดเก็บข้อมูลสุขภาพเข้าสู่ระบบคลังข้อมูลสุขภาพ (HDC)
ผลการดาเนินการ
สธ. พัฒนาระบบเฝ้าระวังความพิการแต่กาเนิดระดับประเทศจากแหล่งข้อมูลความพิการแต่กาเนิดที่มีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ และพัฒนา Template ตัวชี้วัดเฝ้าระวังสถานการณ์ภาวะโลหิตจางในหญิงตั้งครรภ์หญิงวัยเจริญพันธุ์ เด็กปฐมวัย รวมถึงตัวชี้วัดติดตามการได้รับยาน้าและยาเม็ดเสริมธาตุเหล็กในเด็กวัยเรียน เพื่อใช้ในการกากับติดตามสถานการณ์ในระบบคลังข้อมูลสุขภาพ
12
ความเห็นเพิ่มเติม
สธ. เห็นว่า
- การบูรณาการการทางานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องสิทธิของมารดาในช่วงก่อนและหลังการคลอดบุตร กรณีการบริโภคโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9) ยังขาดการเชื่อมโยงบูรณาการระหว่างหน่วยงาน
- ควรเร่งรัดสื่อสารประชาสัมพันธ์แนวทางการปฏิบัติงานตามข้อเสนอของ ผผ. ทั้งในระดับส่วนกลางและส่วนภูมิภาคตลอดจนภาคีเครือข่าย พร้อมทั้งกาหนดกลไกเพื่อขับเคลื่อนการดาเนินงาน การแก้ไขปัญหาอุปสรรคและการกากับ ติดตามประเมินผลที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน
7. ให้มีการอบรมให้ความรู้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจาหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อให้ อสม. เป็นผู้นาความรู้ในเรื่องการป้องกันความพิการแต่กาเนิดแก่ประชาชนในชุมชน
ผลการดาเนินการ
สธ. ได้ผลิตสื่อสาหรับ อสม. เพื่อใช้ในการสื่อสารและติดตามการดาเนินงานในพื้นที่ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมงานอนามัยแม่และเด็ก รวมทั้งพัฒนาทักษะและให้คาปรึกษาเรื่องการเตรียมความพร้อมก่อนการตั้งครรภ์และความสาคัญของการได้รับวิตามินโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9) แก่ อสม.
8. ให้ทุกจังหวัดให้ความสาคัญในเรื่องของการป้องกันความพิการแต่กาเนิดโดยให้มีการเต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนบูรณาการร่วมกับหน่วยงานในระดับจังหวัด
เพื่อสร้างกลไกการบริหารจัดการตามนโยบายไปสู่การปฏิบัติ
ผลการดาเนินการ
สธ. อยู่ระหว่างเตรียมการจัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น มท. เพื่อพิจารณาหารือในเรื่องดังกล่าว
ให้ สธ. เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีจังหวัดนาร่องเรื่องการป้องกันความพิการแต่กาเนิด
ผลการดาเนินการ
สธ. อยู่ระหว่างเตรียมการจัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น มท. เพื่อพิจารณาหารือในเรื่องดังกล่าว ___________
1 โครงการสาวไทยแก้มแดง เป็นโครงการรณรงค์เพื่อลดปัญหาภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กในหญิงวัยเจริญพันธุ์สู่การเตรียมความพร้อมสาหรับการตั้งครรภ์และลดความเสี่ยงของทารกพิการแต่กาเนิด
2โครงการวิวาห์สร้างชาติ เป็นโครงการที่ส่งเสริมให้คู่รักทุกคู่มีการเตรียมความพร้อมก่อนแต่งงานและมีบุตร รวมถึงส่งเสริมให้หญิงวัยเจริญพันธุ์ใช้ชีวิตคู่และวางแผนที่จะมีบุตรได้รับวิตามินเสริมธาตุเหล็กและโฟลิก สัปดาห์ละ 1 เม็ด ก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน เพื่อลดความเสี่ยงของทารกพิการแต่กาเนิด 3คณะกรรมการพัฒนางานอนามัยแม่และเด็ก มีหน้าที่วิเคราะห์สถานการณ์อนามัยแม่และเด็กและจัดทาแผนงาน โครงการเพื่อแก้ไขปัญหาอนามัยแม่และเด็ก มีการกาหนดการประชุมคณะกรรมการฯ ทุก 3 เดือน 4เป็นการจ่ายชดเชยสาหรับบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ที่ต้องการเร่งรัดการเข้าถึงบริการเฉพาะของประชาชนทุกสิทธิ 5วิตามินโฟลิก เอซิด (วิตามิน B9) จานวน 5 รายการได้แก่ (1) Ferrofolic (Iron 60 mg/Folic acid 2.8 mg (2) Folic F GPO (Folic acid 0.4 mg) (3) Triferdine (lodine 0.15 mg Folic acid 0.4 mg/Iron 60.81 mg (4) lolic (Iodine 0.15 mg/Folic acid 0.4 mg และ (5) Folic acid tablet (Folic acid 5 mg)
13
5. เรื่อง สรุปภาพรวมดัชนีเศรษฐกิจการค้าประจาเดือนมกราคม 2567 คณะรัฐมนตรีรับทราบสรุปภาพรวมดัชนีเศรษฐกิจการค้าประจาเดือนมกราคม 2567 ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ สาระสาคัญ และข้อเท็จจริง 1. สรุปภาพรวมดัชนีเศรษฐกิจการค้าเดือนมกราคม 2567 ดังนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย เดือนมกราคม 2567 เท่ากับ 106.98 เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2566 ซึ่งเท่ากับ 108.18 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปลดลงร้อยละ 1.11 (YOY) ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และต่าสุดในรอบ 35 เดือน ตามการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน จากมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของภาครัฐ ประกอบกับราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสดยังคงลดลงต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมาโดยเฉพาะผักสดและเนื้อสัตว์ เนื่องจากปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น รวมทั้งฐานราคาเดือนมกราคม 2566 ที่ใช้คานวณเงินเฟ้อค่อนข้างสูง มีส่วนทาให้อัตราเงินเฟ้อลดลง สาหรับสินค้าและบริการอื่น ๆ ราคาเคลื่อนไหวในทิศทางปกติ อัตราเงินเฟ้อของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ข้อมูลล่าสุดเดือนธันวาคม 2566 พบว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยลดลงร้อยละ 0.83 ซึ่งอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่า โดยอยู่ระดับต่าอันดับ 3 จาก 139 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และยังคงต่าที่สุดในอาเซียนจาก 7 ประเทศที่ประกาศตัวเลข (สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย) สาหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2566 พบว่า ประเทศไทยสูงขึ้นเพียง ร้อยละ 1.23 อยู่ระดับต่าอันดับที่ 9 จาก 139 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลขสอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของหลายประเทศที่มีทิศทางชะลอตัวจากปี 2565 ค่อนข้างชัดเจน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ลดลงร้อยละ 1.11 (YoY) ในเดือนนี้ มีการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าและบริการ ดังนี้ หมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ 1.13 ตามการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มพลังงาน ทั้งน้ามันในกลุ่มดีเซล แก๊สโซฮอล์ 91 E20 E85 และค่ากระแสไฟฟ้า เสื้อผ้าบุรุษและสตรี สิ่งที่เกี่ยวกับทาความสะอาด (ผงซักฟอก น้ายาปรับผ้านุ่ม น้ายาล้างจาน) นอกจากนี้เครื่องใช้ไฟฟ้าราคายังคงลดลงอย่างต่อเนื่องตามการจัดโปรโมชันเพื่อกระตุ้นยอดจาหน่าย ทั้งเครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องซักผ้า และตู้เย็น รวมถึง สบู่ถูตัว ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบารุงผิว และแชมพูสระผม ราคาปรับลดลงเช่นกัน สาหรับสินค้าที่ราคาสูงขึ้นเล็กน้อย อาทิ แป้งทาผิวกาย กระดาษชาระค่าแต่งผมสตรี เครื่องถวายพระ ค่าทัศนาจรต่างประเทศ บุหรี่ สุรา และไวน์ ราคาเปลี่ยนแปลงตามการจัดโปรโมชัน หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ลดลงร้อยละ 1.06 ตามการลดลงของราคาสินค้าในกลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่และสัตว์น้า (เนื้อสุกร ไก่สด ปลาทู กุ้งขาว ปลากะพง) ผักสด (มะเขือ มะนาว แตงกวา) และผลไม้ (ส้มเขียวหวาน ลองกอง มะม่วง) เนื่องจากปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดจานวนมาก สาหรับสินค้าที่ราคาสูงขึ้นเล็กน้อย อาทิ ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว ขนมอบ นมถั่วเหลือง นมเปรี้ยว กะทิสาเร็จรูป น้าพริกแกง กาแฟผงสาเร็จรูป กาแฟ/ชา (ร้อน/เย็น) ก๋วยเตี๋ยว ข้าวแกง/ข้าวกล่อง และอาหารกลางวัน (ข้าวราดแกง) ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมกราคม 2567 เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2566 สูงขึ้นร้อยละ 0.02 (MoM) ตามการสูงขึ้นของหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ 0.28 โดยราคาน้ามันเชื้อเพลิงปรับสูงขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากที่ลดลงติดต่อกัน 4 เดือน ซึ่งปรับสูงขึ้นทั้งกลุ่มน้ามันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ นอกจากนี้ ค่ากระแสไฟฟ้า ค่าโดยสารรถจักรยานยนต์รับจ้าง ค่าโดยสารเครื่องบิน ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล (โฟมล้างหน้า น้าหอม ผลิตภัณฑ์ป้องกันและบารุงผิว) ราคาปรับสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าที่ราคาปรับลดลง อาทิ เสื้อและกางเกงสตรี อาหารสัตว์เลี้ยง และเครื่องรับโทรศัพท์มือถือ ขณะที่หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ลดลงร้อยละ 0.31 ตามการลดลงของข้าวสารเหนียว ขนมปังปอนด์ ไข่ไก่ นมเปรี้ยว ผักสดและผลไม้ (มะเขือเทศ ผักคะน้า พริกสด ส้มเขียวหวาน มะละกอสุก กล้วยน้าว้า) สาหรับสินค้าที่ราคาสูงขึ้นเล็กน้อย อาทิ เนื้อสุกร ไก่สด ปลานิล กะทิสาเร็จรูป ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร น้าหวาน กาแฟ/ชา (ร้อน/เย็น) ข้าวแกง/ข้าวกล่อง ก๋วยเตี๋ยว และอาหารกลางวัน (ข้าวราดแกง)
14
2. แนวโน้มเงินเฟ้อ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกุมภาพันธ์ 2567 มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก (1) มาตรการลดค่าครองชีพด้านพลังงาน ได้แก่ การตรึงราคาค่ากระแสไฟฟ้าในอัตราไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย สาหรับครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ซึ่งมีประชาชนได้รับประโยชน์ 17.77 ล้านราย และมาตรการตรึงราคาน้ามันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร จนถึงวันที่ 19 เมษายน 2567 และ (2) ผลกระทบของปรากฎการณ์เอลนีโญลดลง และบางพื้นที่มีอุณหภูมิลดลง ทาให้ปริมาณผักสดเข้าสู่ตลาดมากกว่าปีก่อนหน้า ส่งผลให้ราคามีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยที่ทาให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ได้แก่ (1) สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังยืดเยื้อ ทาให้ค่าระวางเรือและสินค้าโภคภัณฑ์ที่สาคัญปรับตัวสูงขึ้น (2) เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่า ส่งผลให้ราคาสินค้านาเข้าสูงขึ้น (3) ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้นทั้งจากความต้องการเพิ่มขึ้น และการปรับราคาเพื่อให้มีความสมดุลและเป็นธรรมกับผู้ที่เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน และ (4) การขยายตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว หลังจากภาครัฐมีนโยบายอานวยความสะดวกในการเดินทางมาประเทศไทย ของนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจประเทศต่าง ๆ ส่งผลให้อุปสงค์และราคาสินค้าในหมวดที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2567 อยู่ระหว่างร้อยละ (-0.3) ? 1.7 (ค่ากลางร้อยละ 0.7) ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันและหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสาคัญจะมีการทบทวนอีกครั้ง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม เดือนมกราคม 2567 ยังอยู่ในช่วงความเชื่อมั่นโดยปรับลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 54.5 จากระดับ 54.8 ในเดือนก่อนหน้า เป็นการปรับลดลงทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบัน และในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) ปัจจัยบวกที่ส่งผลให้ดัชนีฯ ยังอยู่ในช่วงความเชื่อมั่น (ดัชนีฯ มีค่าตั้งแต่ระดับ 50 ขึ้นไป) คาดว่ามาจากราคาสินค้าเกษตรสาคัญหลายรายการปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะปาล์มน้ามัน และยางพารา ประกอบกับภาครัฐดาเนินมาตรการลดค่าครองชีพอย่างต่อเนื่องทั้งการปรับลดค่าไฟฟ้าและการตรึงราคาน้ามันดีเซล นอกจากนี้ ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยปรับตัวดีขึ้นตามลาดับ ส่วนปัจจัยกดดันที่ทาให้ ดัชนีฯ ปรับลดลงเล็กน้อย อาทิ ปัญหาหนี้สินในครัวเรือนและรายได้ที่ยังไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพเท่าที่ควร
6. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจาเดือนธันวาคม 2566 คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจาเดือนธันวาคม 2566 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ สาระสาคัญและข้อเท็จจริง ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนธันวาคม 2566 เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) หดตัวร้อยละ 6.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือน และดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศโดยเฉพาะสินค้ากึ่งคงทนและสินค้าคงทนปรับตัวลดลง เช่น รถยนต์ เป็นต้น ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และ CLMV ส่งผลให้การส่งออกชะลอตัวในกลุ่มชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น อุตสาหกรรมสาคัญที่ส่งผลให้ MPI เดือนธันวาคม 2566 หดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีก่อน คือ 1. รถยนต์ หดตัวร้อยละ 20.59 จากรถบรรทุกปิคอัพ รถยนต์นั่งขนาดเล็ก และเครื่องยนต์ดีเซล เป็นหลัก โดยหดตัวจากตลาดในประเทศ (-30.66%) ตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวภายในประเทศ ปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงทาให้สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเช่ามากขึ้น ประกอบราคารถยนต์มือสองปรับตัวลดลงต่อเนื่องกระทบต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ใหม่ 2. น้าตาล หดตัวร้อยละ 22.93 จากการเปิดหีบช้ากว่าปีก่อน 10 วัน (ปีก่อนเปิดหีบ 1 ธ.ค. 65) เนื่องจากฝนตกชุกในหลายพื้นที่เพาะปลูกเป็นอุปสรรคต่อการเข้าตัดอ้อย ส่งผลต่อปริมาณอ้อยเข้าสู่โรงงานน้อยกว่าปีก่อน
15
3. ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ หดตัวร้อยละ 12.61 จาก Integrated circuits (IC) และ PCBA เป็นหลัก เป็นไปตามทิศทางความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อุตสาหกรรมสาคัญที่ยังขยายตัวในเดือนธันวาคม 2566 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน 1. ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม ขยายตัวร้อยละ 7.22 จากน้ามันดีเซลหมุนเร็ว น้ามันเครื่องบิน และก๊าซหุงต้ม เป็นหลัก ตอบสนองการใช้น้ามันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นจากตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ตามการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว รวมถึงปีก่อนโรงกลั่นเริ่มกลับมาผลิตปกติหลังหยุดซ่อมบารุงในช่วงก่อนหน้า 2. สายไฟและเคเบิลอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 43.29 จากสายไฟฟ้าเป็นหลักตามการขยายตัวของตลาดในประเทศ (+55.55%) หลังได้รับคาสั่งซื้อต่อเนื่องจากหน่วยงานการไฟฟ้าของรัฐและความต้องการใช้ในภาคเอกชนขยายตัว 3. กระดาษ ขยายตัวร้อยละ 20.28 จากกระดาษคราฟท์และเยื่อกระดาษเป็นหลักตามความต้องการใช้ในบรรจุภัณฑ์และการขนส่งสินค้า
7. เรื่อง การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2567 - 2569
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลงองค์การการค้าโลก1 [World Trade Organization (WTO)] โดยให้เปิดตลาด 1 ปี (ปี 2567) สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ตามที่คณะกรรมการนโยบายและแผนพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ (คณะกรรมการนโยบายและแผนฯ) เสนอ ดังนี้
ชนิดสินค้าเกษตร
ปริมาณโควตา (ตันต่อปี)
อัตราภาษี
1. เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่
3.15
- ในโควตาร้อยละ 0
- นอกโควตาร้อยละ 218
2. หอมหัวใหญ่ (แห้งเป็นผง และไม่เป็นผง)
1,256.50
- ในโควตาร้อยละ 27
- นอกโควตาร้อยละ 142
3. หัวพันธุ์มันฝรั่ง
ไม่จากัดจานวน
- ในโควตาร้อยละ 0
- นอกโควตาร้อยละ 125
4. หัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป
ปี 2567 จานวน 75,500
- ในโควตาร้อยละ 27
- นอกโควตาร้อยละ 125
และให้คณะกรรมการฯ รับไปพิจารณาหารือเรื่องความเหมาะสม ราคา ช่วงระยะเวลาการนาเข้าไม่ให้กระทบกับการผลิตสินค้าของไทย
ทั้งนี้ การบริหารการนาเข้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขและการกากับดูแลของคณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง (คณะอนุกรรมการ)
สาระสาคัญของเรื่อง
คณะกรรมการนโยบายและแผนฯ รายงานว่า
1. คณะกรรมการนโยบายและแผนฯ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน) ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 มีมติเห็นชอบการเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลง WTO ปี 2567 - 2569 จานวน 4 รายการ ได้แก่ สินค้าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่งและหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ซึ่งมีปริมาณโควตาและอัตราภาษีแตกต่างจากที่ผูกพันไว้กับ WTO โดยมีสาระสาคัญสรุปได้ ดังนี้
16
1.1 ปริมาณโควตาและอัตราภาษี
ชนิดสินค้าเกษตร/รายการ
ที่ผูกพันตามกรอบ WTO2
ที่ขอเปิดตลาดในครั้งนี้
1) เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่
ปริมาณโควตา (ตันต่อปี)
3.15
อัตราภาษีในโควตา
ร้อยละ 30
ร้อยละ 01
อัตราภาษีนอกโควตา
ร้อยละ 218
2) หอมหัวใหญ่ (แห้งเป็นผงและไม่เป็นผง)
ปริมาณโควตา (ตันต่อปี)
365
1,256.502
อัตราภาษีในโควตา
ร้อยละ 27
อัตราภาษีนอกโควตา
ร้อยละ 142
3) หัวพันธุ์มันฝรั่ง
ปริมาณโควตา (ตันต่อปี)
302
ไม่จากัดจานวน3
อัตราภาษีในโควตา
ร้อยละ 27
ร้อยละ 03
อัตราภาษีในนอกโควตา
ร้อยละ 125
4) หัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป
ปริมาณโควตา (ตันต่อปี)
302
ปี 2567 จานวน 75,500
อัตราภาษีในโควตา
ร้อยละ 27
อัตราภาษีนอกโควตา
ร้อยละ 125
หมายเหตุ : 1เป็นการขอลดอัตราภาษีในโควตาจากที่ผูกพันไว้ภายใต้กรอบความตกลง WTO เนื่องจากต้องการส่งเสริมให้เกษตรกรมีเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูงและราคาถูกเพื่อใช้ในการเพาะปลูกหอมหัวใหญ่สาหรับการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกไปยังต่างประเทศ
2เป็นการขอเพิ่มปริมาณโควตาการนาเข้าจากที่ผูกพันไว้ภายใต้กรอบความตกลง WTO เนื่องจากประเทศไทยไม่สามารถผลิตหอมหัวใหญ่ชนิดหั่นผงและหั่นแห้งได้ และมีความจาเป็นต้องนาเข้าเพราะเป็นส่วนผสมของสินค้าแปรรูป เช่น ผงชูรสในอุตสาหกรรมอาหารซึ่งมีความต้องการบริโภคภายในประเทศและต่างประเทศสูงขึ้น ดังนั้น จึงต้องเพิ่มปริมาณโควตาให้สอดรับกับความต้องการดังกล่าว
3ปริมาณโควตาและอัตราภาษีในโควตาไม่เป็นไปตามกรอบความตกลงที่ผูกพันไว้กับ WTO เนื่องจากประเทศไทยไม่สามารถผลิตหัวพันธุ์มันฝรั่งได้เพียงพอกับความต้องการของตลาดจึงต้องพึ่งพาการนาเข้าจากต่างประเทศเพื่อให้มีหัวพันธุ์มันฝรั่งทันกับฤดูกาลเพาะปลูกของเกษตรกรและมีผลผลิตเพียงพอกับการบริโภคภายในประเทศ รวมทั้งประเทศไทยต้องนาเข้าหัวพันธุ์มันฝรั่งเพื่อเพาะปลูกทุกปี การไม่เก็บภาษีจึงช่วยลดภาระต้นทุนของเกษตรกรลงได้
1.2 การบริหารการนาเข้า
ชนิดสินค้าเกษตร
การบริหารการนาเข้า
1) เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่
ให้ชุมนุมสหกรณ์ฯ เป็นผู้นาเข้าแต่เพียงผู้เดียว และอยู่ภายใต้การกากับดูแลของคณะอนุกรรมการฯ
2) หอมหัวใหญ่ (แห้งเป็นผงและไม่เป็นผง)
ให้ชุมนุมสหกรณ์ฯ เป็นผู้บริหารการนาเข้า เพื่อจัดสรรให้นิติบุคคลเป็นผู้นาเข้า และอยู่ภายใต้การกากับดูแลของคณะอนุกรรมการฯ
3) หัวพันธุ์มันฝรั่ง
อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ที่คณะอนุกรรมการฯ กาหนด ได้แก่
1) ให้มีการนาเข้าหัวพันธุ์มันฝรั่งปีละ 3 ครั้ง โดยผู้ที่ต้องการจะนาเข้าต้องจัดทาหนังสือและแจ้งความประสงค์มายังสานักงานเศรษฐกิจการเกษตรภายในระยะเวลาที่กาหนด
2) ให้นิติบุคคลเป็นผู้นาเข้า
17
3) ให้ผู้นาเข้าทาหนังสือรับรองพื้นที่เพาะปลูกซึ่งมีทะเบียนเกษตรกรและข้อมูลปริมาณหัวพันธุ์มันฝรั่ง โดยมีเกษตรจังหวัดหรือสหกรณ์จังหวัดรับรอง และในกรณีที่บริษัทนาเข้าหัวพันธุ์มันฝรั่ง
4) ผู้นาเข้าต้องจาหน่ายหัวพันธุ์มันฝรั่งให้แก่เกษตรกรไม่เกินกิโลกรัมละ 35 บาท และรับซื้อหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปจากเกษตรกร ดังนี้
- ในช่วงฤดูฝน (กรกฎาคม - ธันวาคม) ราคาไม่ต่ากว่ากิโลกรัมละ 14.00 บาท
- ในช่วงฤดูแล้ง (มกราคม - มิถุนายน) ราคาไม่ต่ากว่ากิโลกรัมละ 11.00 บาท
4) หัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป
อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ที่คณะอนุกรรมการฯ กาหนด ได้แก่
1) ผู้นาเข้าต้องเป็นนิติบุคคล
2) ผู้นาเข้าหรือผู้แทนนาเข้าต้องรับซื้อหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปจากเกษตรกร ดังนี้
- ในช่วงฤดูฝน (กรกฎาคม - ธันวาคม) ราคาไม่ต่ากว่ากิโลกรัมละ 14.00 บาท
- ในช่วงฤดูแล้ง (มกราคม - มิถุนายน) ราคาไม่ต่ากว่ากิโลกรัมละ 11.00 บาท
และมอบหมายคณะอนุกรรมการจัดการฯ พิจารณาราคาประกันขั้นต่าเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การผลิตและการตลาดในแต่ละปีต่อไป ซึ่งหากตรวจสอบพบว่าผู้นาเข้าหรือผู้แทนผู้นาเข้ามีการรับซื้อในราคาต่ากว่าที่ระบุไว้ในสัญญาจะมีผลต่อการพิจารณาจัดสรรปริมาณนาเข้าให้แก่ผู้นาเข้าในปีต่อไป
3) ให้มีการนาเข้าในเดือนมกราคม และเดือนกรกฎาคม - ธันวาคมของทุกปี1 โดยการนาเข้าในเดือนมกราคมให้นาเข้าไม่เกินร้อยละ 20 ของปริมาณรวมทั้งหมดที่ได้รับการจัดสรรในโควตาของผู้ประกอบการแต่ละราย
หมายเหตุ : 1ฤดูการเพาะปลูกของมันฝรั่งจะเริ่มในเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม โดยจะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม ดังนั้น การกาหนดให้นาเข้าหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปในเดือนมกราคมและเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม จะเป็นการลดความขาดแคลนของหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปและทาให้อุตสาหกรรมแปรรูปอาหารมีผลผลิตเพียงพอกับความต้องการของตลาด
2. คณะกรรมการนโยบายและแผนฯ ได้มีการวิเคราะห์การเปิดตลาดเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ หัวพันธุ์มันฝรั่ง และหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูป ตามกรอบความตกลง WTO ปี 2567 - 2569 ภายใต้การกากับดูแลของคณะอนุกรรมการฯ ว่าเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่และหอมหัวใหญ่ (ชนิดแห้งเป็นผงและไม่เป็นผง) ไม่สามารถผลิตได้ในประเทศไทย รวมถึงหัวพันธุ์มันฝรั่งและหัวมันฝรั่งสดเพื่อแปรรูปในประเทศไทยมีปริมาณไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด ดังนั้น การเปิดตลาดสินค้าเกษตรทั้ง 4 ชนิด ดังกล่าวจึงไม่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ผลิตภายในประเทศ และเป็นการช่วยสนับสนุนให้เกษตรกรได้ใช้เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่และหัวพันธุ์มันฝรั่งนาเข้าในราคาที่เหมาะสม รวมถึงให้สหกรณ์ซึ่งมีเกษตรกรเป็นสมาชิกมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการด้วย ทั้งนี้ การเปิดตลาดสินค้าเกษตรตามกรอบความตกลง WTO 2567 - 2569 เป็นการดาเนินการตามแนวทางที่เคยปฏิบัติ (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2547) โดยตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นไป โดยหากสินค้ารายการใดจาเป็นต้องเปิดตลาด และมีปริมาณในโควตา อัตราภาษีในและนอกโควตาแตกต่างจากที่กาหนด [มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2539] ให้นาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบทุกรายการเป็นแต่ละครั้งไป
18
1 WTO เป็นองค์กรที่ทาหน้าที่กากับดูแลการค้าระหว่างประเทศและเป็นเวทีสาคัญในการเจรจาลดอุปสรรคและข้อกีดกันทางการค้า รวมทั้งจัดทากฎระเบียบเพื่อสนับสนุนให้การค้าระหว่างประเทศมีความเสรีมากขึ้นบนพื้นฐานของการแข่งขันที่เท่าเทียม โดยประเทศไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ WTO ตั้งแต่ปี 2538 และได้ผูกพันสินค้าเกษตรทั้งหมด 23 รายการ (รวมถึงเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ หอมหัวใหญ่ และมันฝรั่ง) ไว้ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยการเกษตรของ WTO ทั้งนี้ WTO ได้กาหนดมาตรการโควตาอัตราภาษีเพื่อกากับดูแลการนาเข้า ซึ่งการนาเข้าจะต้องมีหนังสือรับรองจากกระทรวงพาณิชย์เพื่อแสดงการได้รับสิทธิชาระภาษีทั้งในและนอกโควตาตามพันธกรณีความตกลงระหว่างประเทศ
2 ปริมาณโควตาและอัตราภาษีที่ผูกพันภายใต้ WTO ตั้งแต่ปี 2539 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2539
8. เรื่อง รายงานผลการดาเนินงานของคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ (กปช.) ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ (กปช.) เสนอดังนี้
1. รับทราบสรุปรายงานผลการดาเนินงานของ กปช. ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2566
2. มอบหมายหน่วยงานภาครัฐรับข้อเสนอของประชาชนไปดาเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
3. มอบหมายกระทรวงมหาดไทย (มท.) เน้นย้าผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัดให้ความสาคัญกับงานประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนในพื้นที่และสั่งการให้หน่วยงานในระดับจังหวัดสนับสนุนและประสานการดาเนินงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนและพัฒนางานประชาสัมพันธ์ในภาพรวมของประเทศให้เกิดประสิทธิภาพ
สาระสาคัญของเรื่อง
กปช. รายงานว่า ได้ดาเนินการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการฯ โดยใช้กลไกคณะอนุกรรมการภายใต้ กปช. ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนการดาเนินงานตามแนวทางการพัฒนาด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศ ผลการดาเนินงานของ กปช. ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 สรุปได้ ดังนี้
1. การสร้างความตระหนักรู้ความเข้าใจเรื่องสื่อสารที่สาคัญของประเทศและเกิดพฤติกรรมที่เหมาะสม เสริมสร้างค่านิยมที่ดีในสังคม โดยคณะอนุกรรมการจัดทานโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ กากับ ติดตาม และประเมินผล
1.1 การประเมินผลการรับรู้และความเข้าใจของประชาชนต่อเรื่องสื่อสารที่สาคัญ ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จานวน 7 เรื่อง สรุปได้ ดังนี้
เรื่อง
ผลการรับรู้/ข้อเสนอของประชาชน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
(1) การพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ
หมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (Bio Circular Green Economy: BCG
Economy)
ประชาชนรับรู้คิดเป็นร้อยละ 78.36 โดยให้ความสนใจแนวคิดโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งหน่วยงานภาครัฐควรสื่อสารโดยมุ่งเน้นให้เห็นถึงวิธีการที่เป็นรูปธรรม เช่น ลดการใช้ทรัพยากร ใช้น้อย ใช้ซ้า และการนากลับมาใช้ใหม่ การใช้โซล่าเซลล์ผลิตพลังงานเพื่อใช้ในครัวเรือนคาร์บอนเครดิตและเศรษฐกิจหมุนเวียน และควรเน้นการสื่อสารแบบสองทางผ่านสื่อบุคคล เพื่อให้ความรู้และรายละเอียดและเมื่อประชาชนมีความเข้าใจมากขึ้น จึงสื่อสารทางเดียวด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย
- กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
- กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(2) การฟื้นฟูเศรษฐกิจ
หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ
ประชาชนรับรู้คิดเป็นร้อยละ 86.93 โดยคาดหวังกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อฟื้นฟูรายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นอันดับแรก เช่น
- กระทรวงการคลัง
- กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.)
19
ไวรัสโคโรนา 2019
โครงการกระตุ้นการใช้จ่ายและการได้รับสิทธิอย่างทั่วถึง มุ่งเน้นการสื่อสารฟื้นฟูตลาดแรงงานโดยเฉพาะเด็กจบใหม่ เพื่อพัฒนาความสามารถให้เป็นแรงงานที่มีคุณภาพ
- กระทรวงพาณิชย์
- กระทรวงแรงงาน (รง.)
(3) การบริหารจัดการระบบสาธารณสุข
และสถานการณ์โรคอุบัติใหม่
ประชาชนรับรู้คิดเป็นร้อยละ 90.41 โดยควรเน้นย้าให้ประชาชนรับรู้ เข้าใจ และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ด้วยรูปแบบการสื่อสารที่น่าสนใจ เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้ในทุกช่วงวัย เช่น การถ่ายทอดองค์ความรู้ทางการแพทย์ที่เข้าใจง่าย และควรเน้นให้ความรู้เรื่องพืชสมุนไพรทางการแพทย์โดยเฉพาะกับกลุ่มเด็กและเยาวชนที่ขาดความรู้ความเข้าใจและอาจนาไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
- กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)
(4) สังคมสูงวัยกับวิถีชีวิต
ในอนาคต
ประชาชนรับรู้คิดเป็นร้อยละ 92.50 โดยส่วนใหญ่ต้องการข้อมูลข่าวสารเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสังคมสูงวัยในทุกมิติ เช่น การดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้สูงอายุ การให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีให้รู้เท่าทันมิจฉาชีพ และควรพัฒนาแอปพลิเคชันทางเลือกสาหรับผู้สูงอายุ เพื่อให้ข้อมูลและบริการครบทุกวงจร เช่น สุขภาพ การเงินและการออมสวัสดิการภาครัฐ ผลิตภัณฑ์และความบันเทิง
- กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
- มท.
- กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)
- สธ.
(5) การรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศและดิจิทัล
ประชาชนรับรู้คิดเป็นร้อยละ 98.75 โดยเสนอว่าควรผลิตสื่อและนาเสนออย่างมีความรับผิดชอบเพื่อให้ประชาชนเกิดภูมิคุ้มกัน รู้เท่าทัน เช่น สนับสนุนมาตรการปกป้องเด็กและเยาวชนจากภัยออนไลน์ จัดกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจต่อยอดจากเกมสู่สายอาชีพ (E-sports) ผลักดันกฎหมายกากับดูแลไซเบอร์ช่องทางการร้องเรียนแนวทางการคุ้มครองดูแลผู้เสียหาย สร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวจากฐานข้อมูลภาครัฐ
- กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.)
- กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.)
- สานักนายกรัฐมนตรี (นร.)
[สานักงานปลัดสานักนายกรัฐมนตรี (สปน.) และกรมประชาสัมพันธ์ (กปส.)]
(6) ส่งเสริมค่านิยมที่ดีของไทย
ประชาชนรับรู้คิดเป็นร้อยละ 97.75 โดยเสนอว่าควรมุ่งเน้นการสื่อสารสร้างค่านิยมไทยร่วมสมัยให้ประชาชนตระหนักว่าการประพฤติตนตามคุณธรรมและค่านิยมพื้นฐานเป็นเรื่องที่ควรทาไม่ควรเป็นการบังคับ เช่น ความรับผิดชอบต่อสังคม การเคารพกฎหมาย การเคารพสิทธิของผู้อื่นและการยอมรับความแตกต่างตลอดจนธารงไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ เช่น ละครเสริมสร้างคุณธรรม การใช้สื่อบุคคลที่เป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม
- วธ.
- ศธ.
- นร. (สปน. และ กปส.)
20
(7) ธรรมาภิบาลในการบริหารงานภาครัฐ
ประชาชนรับรู้คิดเป็นร้อยละ 89.50 โดยเสนอว่าควรเพิ่มความถี่ในการสื่อสารช่องทางการร้องเรียนเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงและมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการดาเนินงานของภาครัฐ หน่วยงานภาครัฐควรขี้แจงนโยบายและข้อเท็จจริงภายใต้ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องตลอดจนเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการปราบปรามการทุจริตที่ประสบความสาเร็จ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการบริหารงานภาครัฐอย่างมีธรรมาภิบาล
- มท.
- กระทรวงยุติธรรม (ยธ.)
- นร. (สปน. และ กปส.)
- สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
- สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐ
- สานักงานตารวจแห่งชาติ
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 คณะอนุกรรมการจัดทานโยบายฯ ได้กาหนดเรื่องสื่อสารสาคัญที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล จานวน 6 เรื่อง ได้แก่ (1) การส่งเสริมเศรษฐกิจเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ (2) การบริหารจัดการระบบสาธารณสุขเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกช่วงวัย (3) การสร้างการรับรู้ความเข้าใจและปลูกฝังพฤติกรรมที่พึงประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน (4) การพัฒนาสังคมและส่งเสริมวัฒนธรรมที่ดีงามของไทยกับยุคปัจจุบัน (5) การรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัล และ (6) ธรรมาภิบาลในการบริหารงานภาครัฐและจะได้ประสานการดาเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
1.2 การประชุมเชิงปฏิบัติการสื่อสารแผนปฏิบัติการด้านการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ (พ.ศ. 2566-2570) และจัดทา (ร่าง) แผนปฏิบัติการตามแนวทางการพัฒนาการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศ ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ภายใต้ชื่องาน ?PR Plan for all สื่อสารอย่างสร้างสรรค์ รวมพลังขับเคลื่อนพร้อมกันทั้งประเทศ? เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2566 เพื่อสื่อสารให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับรู้และเข้าใจแนวทางการดาเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม จานวน 311 คน
2. การสร้างการรับรู้ภาพลักษณ์เชิงบวกของประเทศไทยต่อประชาคมโลกโดยคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติด้านต่างประเทศร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องรวม 23 หน่วยงาน ได้ผลิตและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เรื่องที่สาคัญด้านต่างประเทศ ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จานวน 4 เรื่อง สรุปได้ ดังนี้
เรื่อง
ผลการดาเนินงาน
(1) BCG Economy เศรษฐกิจยุคใหม่... เพื่ออนาคตไทย
เน้นประชาสัมพันธ์โมเดลเศรษฐกิจ BCG Economy การเกษตรอัจฉริยะ ตลอดจนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และ 5 อุตสาหกรรม S-curves หลัก1 และผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ เช่น สกู๊ปข่าว สปอตวิทยุ ข่าวแจก ดิจิทัลโพสต์ การจัดกิจกรรมต่าง ๆ
(2) Tech and Innovation and Cooperation นวัตกรรมไทย
ไฮ-เทคโนโลยี
และความร่วมมือ
ระหว่างประเทศ
เน้นประชาสัมพันธ์ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เทคโนโลยีใหม่ ๆ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ธุรกิจ Start-up เศรษฐกิจดิจิทัล ตลอดจนการประชุมผู้นาความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอล สาหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (The Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation: BIMSTEC) และได้ผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ เช่น สกู๊ปข่าวคลิปวิดีโอ ดิจิทัลโพสต์ รายการวิทยุ การสัมภาษณ์
(3) Health Care
ความก้าวหน้า
ทางการแพทย์
ระดับโลก
เน้นประชาสัมพันธ์การจัดอันดับโลกด้านสาธารณสุข การให้บริการสาธารณสุขการแพทย์ทางไกล และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ รวมทั้งการมอบรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล และได้ผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ในหลากหลายรูปแบบ เช่น ข่าว อินโฟกราฟิก คลิปวิดีโอ รายการวิทยุ สปอตวิทยุ ป้ายแบนเนอร์
(4) Thai Soft Power
ความเป็นไทยสู่สากล
เน้นการประชาสัมพันธ์ความเป็นไทย เช่น อาหารไทย ศิลปะการแสดง งานฝีมือและหัตถกรรม ประเพณีเทศกาล มวยไทย วัฒนธรรมที่มีศักยภาพ 5F (Food, Film,
21
Fashion, Fighting, Festival) เทศกาลประเพณีไทย ตามนโยบายของรัฐบาล และได้ผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ เช่น สกู๊ปข่าว คลิปวิดีโอ แผ่นพับ รายการโทรทัศน์
นอกจากนี้ ได้มีการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนการดาเนินงานของคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ฯ ประจาปี พ.ศ. 2567 ในหัวข้อ ?สื่อสารประเด็นชัด มัดใจไทยและเทศ? เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2566 เพื่อกาหนดประเด็นเรื่องสื่อสารสาคัญด้านต่างประเทศ ดังนี้ (1) Economic Growth การเจริญเติบโต โอกาส และความก้าวหน้าด้านเศรษฐกิจ (2) Health Care ความก้าวหน้าทางการแพทย์ระดับโลก (3) Environmental Management การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม และ (4) Social Development and Cultural Promotion การส่งเสริมการพัฒนาสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์ฯ ได้มีมติเห็นชอบประเด็นเรื่องสื่อสารดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2566
3. การส่งเสริมให้ประชาชนมีทักษะการรู้เท่าทันสื่อและข่าวปลอม (Fake News) สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องผ่านช่องทางที่น่าเชื่อถือ มีผลการดาเนินการที่สาคัญ ดังนี้
3.1 คณะอนุกรรมการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสารภาครัฐเพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่ประชาชน ได้ดาเนินการประชาสัมพันธ์เชิงรุกควบคู่กับการบริหารจัดการข้อมูลข่าวสาร โดยจัดทารายงานสรุปผลการดาเนินงานและผลตอบรับของประชาชนเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ผลิตสื่อสร้างสรรค์ ?รายการเปลี่ยนโฉมประเทศไทย? เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในและต่างประเทศ การพัฒนาประเทศนวัตกรรมที่สาคัญต่าง ๆ ออกอากาศทาง NBT 2 HD และเพจข่าวจริงประเทศไทย การจัดการข่าวปลอมหรือ (Fake News) ผ่านรูปแบบของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม พร้อมระบบชี้แจงประเด็นสาคัญที่ทันต่อสถานการณ์ เพื่อให้ได้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและนาไปขยายผลส่งต่อให้ประชาชนทราบผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งนี้ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมและเพจข่าวจริงประเทศไทย ได้เผยแพร่การแก้ไขข่าวปลอมไปแล้วกว่า 5,000 เรื่อง
3.2 คณะอนุกรรมการพัฒนาคลังข้อมูลข่าวสารอัจฉริยะ ได้จัดทา (ร่าง) โครงการพัฒนาคลังข้อมูลข่าวสารอัจฉริยะ2 เพื่อช่วยในการบริหารจัดการข้อมูลข่าววิกฤตและภาวะปกติ แก้ไขปัญหาการเกิดข่าวปลอมได้อย่างรวดเร็ว และเป็นการป้องกันและเตรียมรับมือกับปัญหาข่าวปลอมในอนาคตที่จะรุนแรงขึ้น โดยที่ประชาชนยังสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างสะดวกและทั่วถึง ทั้งนี้ ปัจจุบันอยู่ระหว่างทบทวนรายละเอียดของโครงการฯ เพื่อให้มีความถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
4. การเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศที่เหมาะสมกับยุคดิจิทัล โดยคณะอนุกรรมการพัฒนาบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศ ได้ขับเคลื่อนการดาเนินงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยกาหนดหลักสูตรเพื่อพัฒนาทักษะเดิม (Up-Skill) และเพิ่มทักษะใหม่ (Re-Skill) ด้านการประชาสัมพันธ์และการสื่อสารมวลชนของภาครัฐในยุคดิจิทัล ได้แก่ หลักสูตร ?รู้เท่าทันสื่อ? และ ?การสื่อสารในภาวะวิกฤต? เพื่ออบรมบุคลากรภาครัฐผู้ปฏิบัติงานด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชน รวมถึงพัฒนาหลักสูตร ?นักประชาสัมพันธ์และสื่อสารของภาครัฐ (PR Change Agent Project)? เพื่ออบรมบุคลากรด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของประเทศทั้ง 20 กระทรวง ให้มีทักษะและความรู้ในการปฏิบัติงานด้านการประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนในยุคดิจิทัล นอกจากนี้ ได้ปรับปรุงหลักสูตรการฝึกอบรมในปี 2566 โดยเน้นรายวิชาการสื่อสารในยุคดิจิทัลเพิ่มขึ้น และส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจนากรอบหลักสูตร ?การสื่อสารยุคดิจิทัล? ไปใช้ในการจัดฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรซึ่งมีผู้เข้ารับการอบรม จานวน 6,934 คน รวมถึงการกาหนดตาแหน่งและสร้างกรอบหลักสูตรเพื่อพัฒนา ?ผู้บริหารจัดการข่าวสารของภาครัฐระดับสูง (Chief Information Management Officer: CIMO) ซึ่งมีหน้าที่ในการดูแลงานประชาสัมพันธ์และสื่อสารมวลชนของหน่วยงานโดยจะนาเสนอ กปช. พิจารณาต่อไป
5. ผลการดาเนินงานตามแนวทางการพัฒนาภายใต้นโยบายและแผนการประชาสัมพันธ์แห่งชาติในระดับจังหวัด โดยคณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติระดับจังหวัด 76 จังหวัด เช่น ประชาสัมพันธ์มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาล ?ฟื้นฟูประเทศด้วยการท่องเที่ยว? กระตุ้นให้เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจภาคบริการทั้งด้านธุรกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นสร้างการรับรู้และเข้าใจให้กับประชาชนผ่านเรื่อง
22
สื่อสารที่สาคัญระดับประเทศตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ด้วยการเผยแพร่ผ่านสื่อวิทยุ สื่อโทรทัศน์ สื่อออนไลน์ของหน่วยงานในพื้นที่ การประเมินความพึงพอใจงานประชาสัมพันธ์ภาครัฐในพื้นที่
1 ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ (2) การแปรรูปอาหาร (3) เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ (4) การแพทย์ครบวงจร และ (5) การท่องเที่ยว
2 ระบบคลังข้อมูลข่าวสารอัจฉริยะมี 5 ส่วน ได้แก่ (1) ระบบฐานข้อมูลข่าวสารภาครัฐ (2) ระบบจัดเก็บและคัดกรองสื่อออนไลน์ (3) ระบบตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข่าวสารภายในประเทศ (4) ระบบแสดงผลตรวจสอบข่าวสาร และ (5) ระบบแจ้งเตือนความน่าเชื่อถือของข่าวสารสาหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
9. เรื่อง แนวทางการดาเนินงานเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาล เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาลในภูมิภาค
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดาเนินงานขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลของกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาลในภูมิภาค และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมดาเนินการตามแนวทางดังกล่าว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสานักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดาเนินการต่อไป
เรื่องเดิม
คณะรัฐมนตรีมีมติ (7 พฤศจิกายน 2566) เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่าปัจจุบันการผลิตอาหารฮาลาลเพื่อส่งออกไปจาหน่ายต่างประเทศมีมูลค่ามากกว่า 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลของไทยที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อเป็นการยกระดับการส่งเสริมและผลักดันอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลของไทยให้เติบโตต่อไป สมควรจะมีหน่วยงานที่มีหน้าที่และอานาจในการส่งเสริม และกากับดูแลการประกอบการอุตสาหกรรมฮาลาลของไทยอย่างเป็นระบบครบวงจรเป็นการเฉพาะ โดยมอบหมายให้ อก. รับเรื่องนี้ไปประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) สานักงาน ก.พ. สานักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาความจาเป็น เหมาะสม และเป็นไปได้ในการยกระดับหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลและจัดตั้งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่และอานาจในเรื่องนี้อย่างครบวงจรเป็นการเฉพาะเพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลในภูมิภาคนี้ต่อไป
สาระสาคัญของเรื่อง
อก. รายงานว่า
1. ตามที่ได้รับมอบหมายให้ดาเนินการยกระดับหน่วยงานในการส่งเสริมและกากับดูแลอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลไทย อก. โดยสานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมได้ดาเนินการหารือกับสานักงาน ก.พ.ร. เพื่อวางกลไกขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศไทย ประกอบด้วย แนวทางการจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบอุตสาหกรรมฮาลาล ในรูปแบบศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล (ระยะสั้น) ภายใต้ (ร่าง) แผนปฏิบัติการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลไทย ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2567 - 2571) (ร่างแผนปฏิบัติการฯ) และแนวทางการจัดตั้งคณะกรรมการอุตสาหกรรมฮาลาลแห่งชาติ (กอฮช.) โดยทั้งสองแนวทางเห็นควรมีข้อเสนอกลไกการบริหารงานที่จะต้องมีผู้แทนการค้าไทยด้านฮาลาล (Halal Thai Trade Representative: HTTR) เพื่อเป็นผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรีในการเจรจากับต่างประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศในด้านการค้าและการลงทุน เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย ยุทธศาสตร์ ท่าที ของรัฐบาลตามประเด็นที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ซึ่งจะทาให้กลไกการขับเคลื่อนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2. อก. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและติดตามนโยบายการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor: SEC) (คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ) ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานกรรมการ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจากระทรวงอุตสาหกรรม ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นรองประธาน
23
กรรมการ และมีผู้อานวยการสานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เป็นกรรมการและเลขานุการ มีหน้าที่และอานาจในการเสนอแนะนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตและบริการที่เกี่ยวข้องกับฮาลาลเสนอแนะสิทธิประโยชน์ให้เกิดการขับเคลื่อนและพัฒนาคุณภาพ ศักยภาพ มาตรฐาน รวมถึงแสวงหาความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ
3. คณะกรรมการขับเคลื่อนฯ ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการจัดตั้ง กอฮช. และเห็นชอบแนวทางการจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบอุตสาหกรรมฮาลาล เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีมติเห็นชอบในหลักการ (ร่าง) กรอบแนวทางการดาเนินงานของศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล
4. อก. ได้จัดทาร่างแผนปฏิบัติการฯ เพื่อเป็นกรอบแนวทางขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลอย่างเป็นรูปธรรม และเสนอจัดตั้ง กอฮช. เพื่อเป็นกลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศไทย โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
4.1 ร่างแผนปฏิบัติการฯ มีสาระสาคัญสรุปได้ดังนี้
หัวข้อ
สาระสาคัญ
(1) หลักการและเหตุผล
(1.1) สถานการณ์อุตสาหกรรมฮาลาล ในปี 2564 ตลาดสินค้าฮาลาลโลกมีมูลค่าสูงถึง 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 7.5 ในปี 2565 ประเทศไทยส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลมีมูลค่าประมาณ 6,114 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นสินค้าในกลุ่มอาหารฮาลาลธรรมชาติ เช่น ข้าว ธัญพืช น้าตาลทราย (เติบโตร้อยละ 12.5) เป็นต้น และกลุ่มอาหารที่ต้องผ่านการรับรอง เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล อาหารแปรรูป (เติบโตเฉลี่ยลดลงร้อยละ 8.6) เป็นต้น โดยตลาดส่งออกส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มประเทศอาเซียน ร้อยละ 62 รองลงมา ได้แก่ กลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ แอฟริกาใต้ทะเลทรายซาฮาราและเอเชียใต้ ทั้งนี้ ประเทศไทยมีผู้ผลิตอาหารฮาลาลกว่า 15,000 บริษัท มีผลิตภัณฑ์และร้านอาหารที่ได้รับตราฮาลาลกว่า 166,000 ผลิตภัณฑ์ และ 3,500 ร้าน ตามลาดับ โดยประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารฮาลาลอันดับที่ 11 ของโลก คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.7 (มีแนวโน้มลดลงจากช่วง 10 ปีก่อน) สะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศคู่แข่งที่มีมากกว่าประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังมีศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลทั้งด้านสินค้าและบริการโดยเฉพาะสินค้าอาหาร เนื่องจากไทยเป็นแหล่งวัตถุดิบในการผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารที่สาคัญแห่งหนึ่งของโลก ดังนั้น หากประเทศไทยมีแผนขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลอย่างบูรณาการและเป็นระบบร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะถือเป็นโอกาสสาคัญในการขยายส่วนแบ่งในตลาดโลกให้สูงขึ้น อันจะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตต่อไป
(1.2) ปัญหาและอุปสรรคในการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศ ปัจจุบันประเทศไทยมีหน่วยงานดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับฮาลาลกระจายอยู่ในกระทรวงต่าง ๆ เช่น กษ. (กรมปศุสัตว์ และสานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ) อก. (กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) กระทรวงสาธารณสุข (สานักงานคณะกรรมการอาหารและยา) พณ. (กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ) และกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เป็นต้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการประสบปัญหาในการติดต่อหน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละเรื่อง นอกจากนี้ หน่วยรับรองมาตรฐานฮาลาลไม่ครอบคลุม/ทั่วถึงทุกพื้นที่ ส่งผลต่อการรับรองมาตรฐานฮาลาลที่อาจจะล่าช้า รวมถึงอายุการรับรองมีระยะสั้นและค่าใช้จ่ายสูงเป็นอุปสรรคต่อผู้ประกอบการ
24
(2) วิสัยทัศน์
ยกระดับอุตสาหกรรมฮาลาลไทยสู่ ASEAN Halal Hub ภายในปี 2571
(3) วัตถุประสงค์
(3.1) เพื่อสร้างการรับรู้และยอมรับผลิตภัณฑ์ของฮาลาลของประเทศไทย ผ่านการเชื่อมโยงภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการ และขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก สร้างงาน สร้างอาชีพ กระจายรายได้ พัฒนาคุณชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่ประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งลดความเหลื่อมล้า ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งและความมั่นคงให้แก่ประเทศอย่างยั่งยืน
(3.2) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าฮาลาลของไทยให้มีคุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอุตสาหกรรมฮาลาลในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาลที่มีอัตลักษณ์ความเป็นไทย เชื่อมโยงวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น เพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อน Soft Power ของไทย
(3.3) เพื่อลดข้อจากัดและแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค รวมทั้งบูรณาการการทางานหน่วยงานต่าง ๆ เพื่ออานวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมฮาลาล
(4) ผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาลเป้าหมาย (ระยะแรก) ที่ถูกต้องตามบทบัญญัติศาสนาอิสลาม
(4.1) อาหารฮาลาล เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล อาหารแปรรูป อาหารพร้อมรับประทาน (Ready-to-Eat) อาหารฮาลาลโดยธรรมชาติ อาหารมุสลิมรุ่นใหม่ (เช่น Snack Bar)
(4.2) แฟชั่นฮาลาล เช่น สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อัญมณีและเครื่องประดับ รองเท้าและเครื่องหนัง
(4.3) ยา สมุนไพร และเครื่องสาอางฮาลาล
(4.4) โกโก้ฮาลาล ทั้งสินค้าอาหารและผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง
(4.5) บริการและท่องเที่ยวฮาลาล
(5) ตัวชี้วัด (ระยะ 5 ปี)
(5.1) ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 หรือ 55,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี
(5.2) แรงงานในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น จานวน 100,000 คนต่อปี ต่อเนื่องจนถึงปี 2571
(6) มาตรการภายใต้แผนปฏิบัติการฯ
(6.1) มาตรการที่ 1 การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทานการผลิตฮาลาลไทย (Demand) ประกอบด้วย 2 มาตรการย่อย ได้แก่ การสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ศักยภาพสินค้าและบริการฮาลาลไทย และการขยายตลาดสินค้าและบริการฮาลาลไทยในประเทศและต่างประเทศ
(6.2) มาตรการที่ 2 การพัฒนาการผลิตและมาตรฐานอุตสาหกรรมฮาลาลไทย (Supply) ประกอบด้วย 2 มาตรการย่อย ได้แก่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ฮาลาลไทยต้นแบบ และการยกระดับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมฮาลาลไทยเพื่อการส่งออก
(6.3) มาตรการที่ 3 การยกระดับปัจจัยแวดล้อมอุตสาหกรรมฮาลาลไทย (Thai Halal Ecosystems) ประกอบด้วย 5 มาตรการย่อย ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลไทย (Thai Halal Industry Center) (ศูนย์ฯ) การจัดทาระบบข้อมูลสารสนเทศอัจฉริยะอุตสาหกรรมฮาลาล (Halal Intelligence Unit: Halal IU) การพัฒนาห้องปฏิบัติการทดสอบผลิตภัณฑ์ฮาลาลไทย การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมฮาลาลในพื้นที่ภาคใต้ และการพัฒนาฝีมือแรงงานและบุคลากรฮาลาลไทย
(7) กรอบแนวทางการดาเนินงานของศูนย์ฯ
(7.1) ในปีแรกใช้พื้นที่ของสถาบันอาหารเพื่อจัดตั้งเป็นศูนย์ฯ ภายใต้ อก. (อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ : สถาบันอาหาร) และในระยะต่อไป ให้สานักงาน ก.พ.ร.
25
ประเมินผลสัมฤทธิ์การดาเนินงานตามตัวชี้วัด เพื่อยกระดับจัดตั้งเป็นหน่วยงานระดับกรม หรือองค์การมหาชน ตามความเหมาะสมต่อไป
(7.2) องค์ประกอบของศูนย์ฯ ประกอบด้วย ผู้แทนการค้าไทย (ด้านฮาลาล) ทาหน้าที่กากับการดาเนินงานของศูนย์ฯ ในส่วนของผู้อานวยการศูนย์ฯ ให้ยืมตัวข้าราชการพลเรือนตาแหน่งประเภทอานวยการหรือบริหารใน อก. เพื่อปฏิบัติราชการในตาแหน่งผู้อานวยการศูนย์ฯ (ในระยะทดลอง 1 ปี) สาหรับเจ้าหน้าที่ของศูนย์ ให้ยืมตัวข้าราชการ พนักงานราชการ หรือบุคลากรจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง [ตามข้อ (1.2)] (ในระยะทดลอง 1 ปี)
(7.3) โครงสร้างของศูนย์ฯ ประกอบด้วย 2 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และฝ่ายพัฒนาการผลิตและมาตรฐาน
(8) ตัวชี้วัดการดาเนินงานในระยะ 1 ปีแรก
(8.1) การจัดงานเปิดตัว (Kick Off) อุตสาหกรรมฮาลาลไทย เพื่อแสดงศักยภาพสินค้าฮาลาลไทย จานวน 1 ครั้ง (กาหนดจัดในเดือนมีนาคม 2567)
(8.2) การจัดทากรอบความร่วมมือและเจรจาภายใต้กรอบความร่วมมือในการขยายตลาดสินค้าและบริการฮาลาลไทย จานวน 2 กรอบความร่วมมือ
(8.3) การขยายตลาดสินค้าและบริการฮาลาลไทยทั้งในประเทศและในต่างประเทศ โดยเข้าร่วมงาน Halal Fair ในประเทศไทย จานวน 2 ครั้ง และร่วมงานแสดงสินค้าฮาลาล (Halal Expo) ในต่างประเทศ จานวน 2 ครั้ง
(8.4) การจัดทาระบบข้อมูลสารสนเทศอัจฉริยะอุตสาหกรรมฮาลาล (Halal Intelligence Unit: Halal IU) จานวน 1 ระบบ
(8.5) การจัดตั้งศูนย์ฯ และศึกษารูปแบบองค์กรที่เหมาะสมในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลในอนาคต โดย อก. จะนาเรื่องดังกล่าวเสนอสานักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอให้พิจารณาการจัดตั้งศูนย์ฯ และกรอบแนวทางการดาเนินงานของศูนย์ฯ และประเมินผลสัมฤทธิ์จากการดาเนินงานในระยะ 1 ปีแรกเพื่อปรับบทบาทหน่วยงานตามความเหมาะสมในระยะต่อไป
(9) งบประมาณ
วงเงินจานวน 1,230 ล้านบาท
(10) ระยะเวลา
5 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ 2567 - 2571)
4.2 การจัดตั้ง กอฮช.
4.2.1 องค์ประกอบ ประกอบด้วย 1) รองนายกรัฐมนตรี (ที่กากับการบริหารราชการ อก. หรือผู้แทนการค้าไทยที่รับผิดชอบเรื่องฮาลาล) ประธานกรรมการ 2) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รองประธานกรรมการ 3) กรรมการจากภาครัฐ เอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจานวน 15 คน โดยมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นกรรมการและเลขานุการ และผู้อานวยการสานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ผู้อานวยการสถาบันอาหาร ผู้อานวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ และผู้อานวยการสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
4.2.2 หน้าที่และอานาจ เช่น
(1) กาหนดนโยบายและแนวทางในการพัฒนาสินค้าฮาลาล โดยเชื่อมโยงเอกลักษณ์ Soft Power ของไทย เพื่อส่งเสริมการผลิต การจาหน่ายในประเทศและการส่งออก
(2) บูรณาการแนวทาง มาตรการ แผนงานและงบประมาณของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ให้มีความสอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาล
(3) กากับ ดูแล และเร่งรัดการดาเนินการของส่วนราชการและองค์กร ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กาหนด พร้อมทั้งติดตามและประเมินผลการดาเนินงานของส่วนราชการต่าง ๆ
(4) ดาเนินการอื่นใดตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมาย
26
5. การดาเนินการในระยะต่อไป อก. จะได้ขับเคลื่อนตามแนวทางข้างต้น ดังนี้
5.1 กราบเรียนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแต่งตั้งผู้แทนการค้าไทย (ด้านฮาลาล) หรือมอบหมายผู้แทนการค้าไทยท่านใดท่านหนึ่ง เพื่อทาหน้าที่กาหนดนโยบาย ทิศทาง และกากับการดาเนินงานของศูนย์ฯ รวมถึงพิจารณาองค์ประกอบของ กอฮช. และพิจารณาให้มีคาสั่งแต่งตั้ง กอฮช. ตามขั้นตอนต่อไป
5.2 นาเรื่องการจัดตั้งศูนย์ฯ และกรอบแนวทางการดาเนินงานของศูนย์ฯ เสนอสานักงาน ก.พ.ร. พิจารณา และประเมินผลสัมฤทธิ์จากการดาเนินงานในปีแรกเพื่อปรับบทบาทหน่วยงานตามความเหมาะสมในระยะต่อไป
5.3 นา (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ เสนอสานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
6. การดาเนินการตามแนวทางการดาเนินงานเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมฮาลาลจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทย รวมถึงกระตุ้นการบริโภค การลงทุนและการส่งออกสินค้าของไทย ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ภาคอุตสาหกรรมจะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 ภายใน 5 ปี ส่งผลให้การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น จานวน 100,000 คนต่อปี ต่อเนื่องจนถึงปี 2571 และส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาลในภูมิภาค
10. เรื่อง การปรับวันพิจารณร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
คณะรัฐมนตรีรับทราบการปรับวันพิจารณร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (ร่างพระราชบัญญัติงบฯ ปี พ.ศ. 2567) ตามที่สานักงบประมาณ (สงป.) เสนอ
สาระสาคัญ
สงป. รายงานว่า
การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบฯ ปี พ.ศ. 2567 สามารถดาเนินการได้เร็วกว่าที่กาหนดไว้ตามปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ งบฯ ปี พ.ศ. 25671 จึงมีมติเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ให้ปรับกาหนดวันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบฯ ปี พ.ศ. 2567 ดังนี้
ลาดับ
วัน/เดือน/ปี
ขั้นตอนและกิจกรรม
เดิม
ปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 (มติคณะรัฐมนตรี
14 พฤศจิกายน 2566)
ข้อเสนอในครั้งนี้
มติคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ
งบฯ ปี พ.ศ. 2567
(14 กุมภาพันธ์ 2567)
การอนุมัติงบประมาณ
1
3 - 4 เมษายน 2567
20 - 21 มีนาคม 2567
สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบฯ ปี พ.ศ. 2567 วาระที่ 2 - 3
2
9 - 10 เมษายน 2567
25 - 26 มีนาคม 25672
วุฒิสภา พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบฯ ปี พ.ศ. 2567
3
17 เมษายน 2567
3 เมษายน 2567
สานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นาร่างพระราชบัญญัติงบฯ ปี พ.ศ. 2567 ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป
27
1 คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบฯ ปี พ.ศ. 2567 ได้รับการแต่งตั้งในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระที่ 1 มีหน้าที่และอานาจในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบฯ ปี พ.ศ. 2567 ให้แล้วเสร็จทันภายในกรอบระยะเวลาที่กาหนด
2 เนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีกาหนดแถลงข้อเท็จจริงหรือเข้าชี้แจงปัญหาสาคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่มีการลงมติต่อที่ประชุมวุฒิสภาในวันจันทร์ที่ 25 มีนาคม 2567 ส่งผลให้วันพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบฯ ปี พ.ศ. 2567 ของวุฒิสภา คงเหลือวันที่ 26 มีนาคม 2567 เพียงวันเดียว
ต่างประเทศ
11. เรื่อง เอกสารผลลัพธ์สาหรับการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 6 และร่างแถลงการณ์ระดับสูง (High-Level Statement)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการต่อร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีสาหรับการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อม แห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 6 (ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีฯ) และร่างแถลงการณ์ระดับสูง High-Level Statement on Plastic Pollution, including in the Marine Environment (ร่างแถลงการณ์ระดับสูงเกี่ยวกับมลพิษจากพลาสติก โดยกลุ่มเอเชียแปซิฟิก สมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (ร่างแถลงการณ์ระดับสูงฯ)
2. อนุมัติให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทย หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีฯ และร่างแถลงการณ์ระดับสูงฯ ทั้งนี้ หากมีความจาเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่มิใช่สาระสาคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทยขอให้เป็นดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้พิจารณาโดยไม่ต้องนากลับไปเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
(จะมีการรับรองร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีฯ และร่างแถลงการณ์ระดับสูงฯ ในการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 6 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ? 1 มีนาคม 2567 ณ สานักงานใหญ่โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา)
สาระสาคัญ
การประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 6 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม 2567 ณ สานักงานใหญ่โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา ภายใต้หัวข้อหลัก ?การดาเนินการพหุภาคีที่มีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และยั่งยืน เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และมลพิษ? เพื่อเตรียมความพร้อม และระดมความมุ่งมั่นจากทุกภาคส่วนในการร่วมกันแก้ไขวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีรองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย พร้อมด้วยผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และผู้แทน ทส. เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวด้วย ซึ่งในการประชุมจะมีการรับรองร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีฯ และร่างแถลงการณ์ระดับสูงฯ ดังนี้
1. ร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีฯ มีเป้าหมายเพื่อรับมือกับความท้าทายปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ทั่วโลก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ มลพิษ และการตัดไม้ทาลายป่า อย่างมีประสิทธิผล ครอบคลุม และยั่งยืน ซึ่งมีสาระสาคัญสรุปได้ ดังนี้ 1) ภัยคุกคาม สภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพและมลพิษ เช่น (1) รับทราบถึงภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และมลพิษต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม (2) ตระหนักว่าการจากัดภาวะโลกร้อนไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส จาเป็นต้องมีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิทั่วโลกให้ได้ถึงร้อยละ 43 ภายในปี ค.ศ. 2030และลดลงร้อยละ 60 ภายในปี ค.ศ. 2035 และมุ่งไปสู่การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050* 2) การดาเนินการบนพื้นฐานของความ
28
รับผิดชอบร่วมกัน เช่น มุ่งมั่นที่จะจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และปกป้องชุมชนจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาทิ ภัยแล้ง ฝนตกหนัก ไฟป่า และน้าท่วม
2. ร่างแถลงการณ์ระดับสูงฯ ซึ่งเสนอโดยสาธารณรัฐสิงคโปร์มีเป้าหมายเพื่อแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือและการมีส่วนร่วมที่แข็งแกร่งของภูมิภาคในการสนับสนุนและส่งเสริมความพยายามระดับโลกในเรื่องมลพิษจากพลาสติก ซึ่งมีสาระสาคัญสรุปได้ ดังนี้ 1) สนับสนุนแนวทางที่ครอบคลุมเพื่อจัดการกับมลพิษจากพลาสติก รวมทั้งสิ่งแวดล้อมทางทะเล 2) ตระหนักถึงความจาเป็นในการปรับปรุงและการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อส่งเสริมการหมุนเวียนของพลาสติก 3) พยายามเสริมภูมิปัญญาดั้งเดิม ความรู้ของชนเผ่าพื้นเมือง และระบบภูมิปัญญาท้องถิ่นในการแก้ปัญหาของมลภาวะจากพลาสติก 4) มุ่งมั่นที่จะดาเนินการ และระบุแนวทางแก้ไขเพื่อยุติมลพิษจากพลาสติกที่สอดคล้องกับสถานการณ์เฉพาะของประเทศนั้น ๆ
*ในส่วนของประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ถึงร้อยละ 30 - 40 ภายในปี พ.ศ. 2573
12. เรื่อง การเสนอร่างแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทย วาระปี 2566-2570 และร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทย วาระปี 2566-2570
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอดังนี้
1. ร่างแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่า1ของประเทศไทย (Decent Work Country Program: DWCP) (ร่างแผนงาน DWCP) วาระปี 2566-2570 และร่างบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทย วาระปี 2566-2570 (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) โดยหากจาเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ขอให้ รง. ดาเนินการได้โดยนาเสนอคณะรัฐมนตรีทราบในภายหลัง
2. ให้ปลัดกระทรวงแรงงานหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในฐานะรัฐบาลไทย ร่วมกับผู้แทนองค์กรนายจ้าง องค์กรลูกจ้าง และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization: ILO)
(มีกาหนดจัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจฯ พร้อมทั้งเปิดตัวแผนงาน DWCP วาระปี 2566-2570 ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ณ โรงแรมเดอะ สุโกศล กรุงเทพมหานคร)
สาระสาคัญของเรื่อง
รง. รายงานว่า
1. ร่างแผนงาน DWCP วาระปี 2566-2570 เป็นแผนงาน DWCP ฉบับที่ 2 ของไทย (ฉบับแรก คือ วาระปี 2562-2564 และขยายระยะเวลาไปจนถึงปี 2565) โดยแผนงาน DWCP เป็นกรอบความร่วมมือที่ ILO จัดทาร่วมกับประเทศสมาชิกเพื่อใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในการให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนประเทศสมาชิกผ่านการวางกลยุทธ์แนวทางและเป้าหมายที่ชัดเจน สอดรับกับบริบทและวาระเร่งด่วนทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อบรรลุเป้าหมายในการส่งเสริมการทางานที่มีคุณค่าสาหรับทุกคน ซึ่งสอดคล้องกับมิติและพันธสัญญาในการพัฒนาระดับชาติและระดับนานาชาติของไทย รวมถึงยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566-2570) และกรอบความร่วมมือว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนของไทย ทั้งนี้ การจัดทาและขับเคลื่อนแผนงาน DWCP จะต้องดาเนินการในลักษณะไตรภาคีผ่านกลไกคณะกรรมการไตรภาคีขับเคลื่อนการดาเนินงานตามแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทย
2. เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2566 คณะกรรมการไตรภาคีขับเคลื่อนการดาเนินงานตามแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่าของประเทศไทยได้มีมติเห็นชอบโครงร่างแผนงาน DWCP เพื่อให้ ILO ขอรับความเห็นต่อร่างแผนงานฯ ฉบับสมบูรณ์จากกลไกรับรองคุณภาพของสานักงานแรงงานระหว่างประเทศ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส และเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ร่างแผนงาน DWCP วาระปี 2566-2570 ได้ผ่านความเห็นชอบจากกลไกรับรองคุณภาพของสานักงานแรงงานระหว่างประเทศฯ เรียบร้อยแล้ว โดยร่างแผนงาน DWCP วาระปี 2566-2570 มีประเด็นความสาคัญ 3 ประการ2 ดังนี้
29
2.1 ความสาคัญที่ 1 อนาคต (Future) พัฒนาตลาดแรงงานไทยให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมีกิจกรรมที่สาคัญ ได้แก่ พัฒนาทักษะและอาชีพสาหรับแรงงานในอนาคต โดยระบุทักษะที่จาเป็นในอนาคต เพิ่มการจับคู่ในตลาดแรงงาน และเพิ่มการลงทุนในทุนมนุษย์ ปรับปรุงการเข้าถึงดิจิทัลและทักษะดิจิทัลเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในเศรษฐกิจฐานศิจิทัลและตลาดแรงงาน ส่งเสริมงานสีเขียวเพื่องานที่มีคุณค่าและการพัฒนาที่ยั่งยืน เพิ่มความสามารถในการแข่งขันระดับโลกของไทยด้วยการให้สัตยาบันพิธีสารระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาหลัก ปรับปรุงกฎหมายแรงงานไทย และการเพิ่มการตระหนักรู้ สร้างงานที่มีคุณค่าที่ครอบคลุมทุกช่วงอายุ โดยยกระดับการแนะแนวอาชีพ บริการจัดหางานภาครัฐ สร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ตลอดชีวิต และพัฒนาทักษะดิจิทัล สาหรับเยาวชน สตรี คนพิการและผู้สูงอายุ
2.2 ความสาคัญที่ 2 เข้าถึง (Reach) รับรองการคุ้มครองทางสังคม และงานที่มีคุณค่าที่ครอบคลุมสาหรับทุกคน โดยมีกิจกรรมที่สาคัญ ได้แก่ การเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบการคุ้มครองทางสังคมเพื่อมอบสิทธิคุ้มครองที่ครอบคลุมและเพียงพอ โดยเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบประกันสังคม สร้างความมั่นคงทางสังคมสาหรับแรงงานนอกระบบและกลุ่มเปราะบาง ส่งเสริมให้องค์กรนายจ้างและลูกจ้างครอบคลุมถึงกลุ่มแรงงานและวิสาหกิจที่ยังไม่ได้รับการดูแลที่ทั่วถึง โดยเพิ่มตัวแทนในกลุ่มต่าง ๆ และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มการมีส่วนร่วมและเสริมสร้างศักยภาพ เพิ่มโอกาสในการทางานที่มีคุณค่าสาหรับประชากรกลุ่มเปราะบางและกลุ่มพิเศษ โดยสร้างโอกาสที่เท่าเทียม ขจัดรูปแบบการทางานที่ไม่เป็นที่ยอมรับ และเพิ่มการคุ้มครองสิทธิแรงงานข้ามชาติ
2.3. ความสาคัญที่ 3 เชื่อมต่อ (Connect) เสริมความแข็งแกร่งในการจัดการข้อมูล การสื่อสาร และศักยภาพของรัฐบาล เพื่อส่งเสริมงานที่มีคุณค่า โดยมีกิจกรรมที่สาคัญ ได้แก่ การพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อการกาหนดเป้าหมายและการจัดการโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการพัฒนาฐานข้อมูล Big data ระหว่างหน่วยงาน การจัดทาเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ และเผยแพร่เครื่องมือและความรู้ในวงกว้าง ส่งเสริมการเจรจาทางสังคมและการผลักดันนโยบาย โดยยกระดับการเจรจาทางสังคมระดับทวิภาคี การให้สัตยาบันอนุสัญญาที่เกี่ยวข้อง และการปรับปรุงพัฒนาการสื่อสารระหว่างองค์การแรงงานระหว่างประเทศ องค์กรคู่งานและสาธารณชน โดยเพิ่มความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับกระบวนการติดตามและประเมินผล เพิ่มการสื่อสารระหว่าง ILO และองค์กรคู่งาน รวมถึงเพิ่มการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์สู่สาธารณชน
3. ร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกัน 4 ฝ่าย ได้แก่ รัฐบาลไทย (รง.) องค์กรลูกจ้าง องค์กรนายจ้าง และ ILO เพื่อดาเนินการตามแผนงาน DWCP วาระปี 2566-2570 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาตลาดแรงงานไทยให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบการคุ้มครองทางสังคมที่ครอบคลุมและเพียงพอสาหรับแรงงานทุกคน เสริมความเข้มแข็งในการจัดการข้อมูล สื่อสาร และศักยภาพของรัฐบาล ให้บรรลุเป้าหมายในการส่งเสริมการทางานที่มีคุณค่าสาหรับทุกคน รวมทั้งยึดถือประเด็นสาคัญ 3 ประการ (ตามข้อ 2) ทั้งนี้ ILO จะให้ความช่วยเหลือในการระดมทรัพยากรและให้ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาในการดาเนินการตามแผนงาน DWCP โดยรัฐบาลจะอนุญาตให้ ILO บุคลากรของ ILO และบุคคลใด ๆ ที่ได้รับมอบหมายจาก ILO ให้เข้าร่วมในกิจกรรมของ ILO เพื่อการดาเนินการตามแผนงาน DWCP และได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติอนุสัญญาว่าด้วยเอกสิทธิ์และการคุ้มกันของทบวงการชานัญพิเศษ ค.ศ. 1947 รวมถึงให้การสนับสนุนงบประมาณที่เกิดขึ้นจากการดาเนินงานภายใต้ร่างแผนงานฯ และร่างบันทึกความเข้าใจฯ ข้างต้น โดยบันทึกความเข้าใจฯ จะมีผลบังคับใช้นับแต่การลงลายมือชื่อจากคู่ภาคี และในกรณีที่ข้อกาหนดที่อยู่ในแผนงาน DWCP ไม่สอดคล้องกับข้อกาหนดของบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ ให้บันทึกความเข้าใจฯ มีผลบังคับใช้และมีผลเหนือกว่าแผนงาน
1งานที่มีคุณค่า หมายถึง งานที่สามารถตอบสนองความต้องการเกี่ยวกับชีวิตการทางานของคนได้ เช่น งานที่นามาซึ่งโอกาสในการทางานและรายได้ที่เป็นธรรม งานที่ทาให้รู้สึกมั่นคงและปลอดภัยเมื่ออยู่ที่ทางาน งานที่สามารถสร้างความมั่นคง/ความคุ้มครองทางสังคมให้กับครอบครัว งานที่ช่วยให้ได้พัฒนาตนเอง
2 ร่างแผนงาน DWCP วาระปี 2566-2570 มีสาระสาคัญในการขับเคลื่อนการดาเนินงานเพื่อขยายผลจากความสาเร็จในอดีต และครอบคลุมถึงประเด็นสาคัญและความท้าทายที่ถูกระบุผ่านกระบวนการการปรึกษาหารือร่วมกับองค์กรคู่งานไตรภาคีซึ่งมีความแตกต่างจากแผนงาน DWCP วาระปี 2562-2564 (ฉบับแรก) ที่มีประเด็นสาคัญ 3 ประการใน
30
การขับเคลื่อน ประกอบด้วย (1) ส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้ออานวยต่อการเติบโตของการจ้างงานที่ดีและมีประสิทธิผล (2) สร้างความเข้มแข็งในการคุ้มครองแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานที่เปราะบาง และ (3) เสริมสร้างการกากับดูแลตลาดแรงงานให้สอดคล้องกับมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศ
13. เรื่อง การขอความเห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Defence Ministers' Meeting Retreat: ADMM Retreat) (การประชุม ADMM Retreat) จานวน 1 ฉบับ คือ ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนว่าด้วยผลสาเร็จของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนภายใต้การดาเนินงานตามแผนงานประชาคมการเมืองและความมั่นคง ค.ศ. 2025 (ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ) โดยหากมีความจาเป็นต้องแก้ไขร่างเอกสารในส่วนที่ไม่ใช่สาระสาคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ขอให้ กห. ดาเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก
2. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ดังกล่าว
[จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในการประชุม ADMM Retreat ระหว่างวันที่ 4-6 มีนาคม 2567 ณ เมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)]
สาระสาคัญของเรื่อง
กห. รายงานว่า
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงป้องกันประเทศ สปป.ลาว ได้มีหนังสือเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ณ สปป.ลาว ซึ่งในห้วงการประชุมดังกล่าวจะมีรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์เชิงนโยบายร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียน โดยมีประเด็นที่สาคัญ ดังนี้
1.1 วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน 2025 แน่วแน่ในการจัดตั้งอาเซียนที่ยึดมั่นในกฎกติกาทาเพื่อประโยชน์ของประชาชน และมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และมี ?หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งอัตลักษณ์ หนึ่งประชาคม? เพื่อพัฒนาศักยภาพในการตอบสนองต่อความท้าทายอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างให้เป็นประชาคมที่มองออกไปนอกภูมิภาคในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก โดยยังรักษาความเป็นแกนกลางของอาเซียนไว้ (ซึ่งวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนด้านการเมืองและความมั่นคง ณ ปัจจุบัน ใกล้จะสิ้นสุดลงในปี 2568 และอยู่ระหว่างการจัดทาวิสัยทัศน์อาเซียน 2045 ซึ่งคาดว่าจะมีการรับรองในปี 2568)
1.2 ความร่วมมือ ประเทศสมาชิกอาเซียนจะเสริมสร้างความร่วมมือภายใต้การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน ส่งเสริมความเป็นแกนกลางของอาเซียนผ่านกลไกการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ส่งเสริมความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนและการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับมิตรประเทศของอาเซียนและคู่เจรจา
1.3 การขับเคลื่อน เรียกร้องของประเทศสมาชิกอาเซียนให้เอาชนะความท้าทายร่วมกันและความเป็นหนึ่งของอาเซียน สะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาและเจตนารมณ์ร่วม ที่จะอาศัยอยู่ในภูมิภาคที่มีสันติภาพ ความมั่นคง และเสถียรภาพที่ยืนยง มีการส่งเสริมและดารงความเป็นสามัคคีและความร่วมมือด้านความมั่นคงร่วมกัน เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของแผนงานประชาคมการเมืองและความมั่นคง 2025*
1.4 มุ่งมั่นที่จะดาเนินการ ดังนี้
(1) รักษาบทบาทของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (ADMM) และ การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ADMM-Plus) ในฐานะที่เป็นกลไกความร่วมมือด้านความมั่นคงระดับสูงสุดของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสาหรับประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่
31
เจรจา และรับทราบถึงความสนใจของมิตรประเทศอาเซียนและคู่เจรจาในการมีส่วนร่วมในความมั่นคงและเสถียรภาพของภูมิภาค
(2) เสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการป้องกันประเทศและการทหาร ผ่านทางกลไกที่มีอยู่เพื่อพัฒนาศักยภาพ สร้างความเข้มแข็ง ยกระดับการทางานร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก และปฏิบัติตามแผนงานประชาคมการเมืองและความมั่นคง 2025 อย่างเต็มที่
(3) มีส่วนร่วมในการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์สาหรับประชาคมการเมืองและความมั่นคงภายใต้วิสัยทัศน์อาเซียน 2045 เพื่อให้สาขาด้านความมั่นคงสามารถรับมือกับประเด็นด้านความมั่นคงที่อุบัติใหม่และในอนาคตได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งมีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความเป็นแกนกลางอาเซียน
(4) หวังที่จะให้การจัดทาวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน 2045 จะสามารถยกระดับบทบาทของสาขาด้านความมั่นคงในการเสริมสร้างสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงให้เกิดขึ้นในภูมิภาค
2. ประโยชน์และผลกระทบ
ร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม ADMM Retreat เป็นการแสดงเจตนารมณ์เชิงนโยบายร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน โดยผลสาเร็จของการดาเนินงานด้านการป้องกันประเทศภายใต้กรอบ ADMM และ ADMM-Plus เป็นการขับเคลื่อนความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมภายใต้ประชาคมการเมืองและความมั่นคง บนพื้นฐานความเป็นแกนกลางอาเซียนในด้านความมั่นคงในภูมิภาคที่จะช่วยรักษาดุลยภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ เสริมสร้างการมีปฏิสัมพันธ์และความไว้เนื้อเชื่อใจกันกับประเทศนอกภูมิภาคอย่างสร้างสรรค์ เพื่อธารงรักษาไว้ซึ่งสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงของภูมิภาคให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน
3. กห. แจ้งว่า ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ไม่มีรูปแบบ ถ้อยคา หรือบริบท ที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งไม่มีการลงนามในเอกสารดังกล่าว ดังนั้น จึงไม่มีประเด็นต้องพิจารณาเกี่ยวกับมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
4. กระทรวงการต่างประเทศ (กรมอาเซียน) พิจารณาแล้วเห็นว่า
4.1 ไม่มีข้อขัดข้องต่อสารัตถะและถ้อยคาโดยรวมของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ หาก กห. เห็นว่ามีความเหมาะสม สอดคล้องกับนโยบาย และผลประโยชน์ของไทย สามารถปฏิบัติได้ภายใต้อานาจหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่มีอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนเป็นไปตามพันธกรณีของไทยภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้จัดสรรงบประมาณเพื่อการนี้ไว้แล้ว
4.2 ในกรณีที่ร่างเอกสารดังกล่าว ไม่ใช่ร่างสุดท้าย (final agreed text) หากมีการปรับแก้ ขอให้ กห. พิจารณาให้ร่างสุดท้ายของร่างเอกสารฯ เป็นไปตามแนวทางข้างต้นด้วย
4.3 ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือที่เกี่ยวกับองค์การระหว่างประเทศ ที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย กห. ในฐานะส่วนราชการเจ้าของเรื่อง จึงควรพิจารณาเสนอร่างเอกสารดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 4 (7) ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2558
*แผนงานประชาคมการเมืองและความมั่นคง 2025 มีองค์ประกอบ 4 ประการ ได้แก่ (1) การเป็น ประชาคมที่อยู่บนพื้นฐานของกฎเกณฑ์ (rules-based) มุ่งเน้นให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง (people-centred) (2) การเป็นประชาคมที่สามารถตอบสนองต่อปัญหาความมั่นคงทั้งในรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยึดหลักการของความมั่นคงที่ครอบคลุมในทุกมิติ (comprehensive security) (3) การรักษาความเป็นแกนกลางของอาเซียน ในสถาปัตยกรรมของภูมิภาค และ (4) การมีสถาบันและกลไกอาเซียนรวมถึงสานักเลขาธิการอาเซียนที่เข้มแข็งและ มีประสิทธิภาพมากขึ้น
32
แต่งตั้ง
14. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดารงตาแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดารงตาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ จานวน 5 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นายเกษม ตั้งเกษมสาราญ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านควบคุมป้องกันโรค [นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน)] สานักงานปลัดกระทรวง ดารงตาแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิด้านควบคุมป้องกันโรค [นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน)] สานักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566
2. นางน้าทิพย์ หมั่นพลศรี นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขารังสีวิทยา) สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ ดารงตาแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขารังสีวิทยา) สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2566
3. นางสาวสมจินต์ จินดาวิจักษณ์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาโสต ศอ นาสิก) โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ดารงตาแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาโสต ศอ นาสิก) โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2566
4. นางดวงกมล ตั้งวิริยะไพบูลย์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงสุขภาพจิตชุมชน) โรงพยาบาลสวนปรุง กรมสุขภาพจิต ดารงตาแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงสุขภาพจิตชุมชน) โรงพยาบาลสวนปรุง กรมสุขภาพจิต ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2566
5. นางสาววนิดา สมบูรณ์ศิลป์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สานักงานสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี สานักงานปลัดกระทรวง ดารงตาแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สานักงานสาธารณสุขจังหวัดสุพรรณบุรี สานักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2566
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง
15. เรื่อง การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติมอบหมายเป็นหลักการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในกรณีที่ไม่มีผู้ดารงตาแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
16. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดารงตาแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดารงตาแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง จานวน 2 ราย เพื่อทดแทนตาแหน่งที่จะว่างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 ซึ่งอยู่ระหว่างการนาความกราบบังคมทูล พระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามลาดับ ดังนี้
1. นายสุริยา จินดาวงษ์ เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจาสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ให้ดารงตาแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา
2. นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ให้ดารงตาแหน่ง เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจาสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
33
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ซึ่งการแต่งตั้งข้าราชการให้ไปดารงตาแหน่งเอกอัครราชทูตประจาต่างประเทศในลาดับที่ 1 ได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว
17. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดารงตาแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (สานักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) เสนอแต่งตั้ง นายสุทธิเกตติ์ ทัดพิทักษ์กุล ที่ปรึกษาด้านการลงทุน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สกท. ให้ดารงตาแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สกท. สานักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตาแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
18. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาด
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอให้คณะกรรมการองค์การตลาดมีจานวนกรรมการเกินกว่าสิบเอ็ดคนแต่ไม่เกินสิบห้าคน ตามมาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสาหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อแทนกรรมการอื่นเดิมที่พ้นจากตาแหน่งเนื่องจากขอลาออก จานวน 1 คน และแต่งตั้งเพิ่มเติม จานวน 3 คน รวม 4 คน ดังนี้
1. นางชลิดา พันธ์กระวี
2. นายวรวงค์ ระฆังทอง
3. นายสร้างรัฐ หัตถวงษ์ แทน นายสุรเชษฐ์ ลักษมีพงศ์
4. นางสาวสุชาวดี พิทักษ์พรพัลลภ
โดยผู้ได้รับแต่งตั้ง ราย นายสร้างรัฐ หัตถวงษ์ อยู่ในตาแหน่งได้เพียงเท่ากาหนดเวลาของผู้ซึ่งตนแทน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ